ส่วนที่ 2 ดอกท้อผลิบาน ตอนที่ 2 กลับคืนสู่เส้าหยาง

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

ตอนอาหารเย็น ฉู่เหล่ยที่เอาแต่ยุ่งจนไม่เห็นแม้แต่เงาถึงกลับมา จงหมิ่นเหยียนถูกเหอตันผิงรั้งให้อยู่กินข้าวเย็นด้วยกัน ยามนี้เขากินอาหารอยู่เต็มปาก พอเงยหน้าเห็นอาจารย์ก็เกือบพ่นออกมาแต่รีบยั้งไว้ทัน ลุกขึ้นคุกเข่าคำนับ “ศิษย์คารวะอาจารย์”

 

 

ฉู่เหล่ยดูแล้วอารมณ์ดีไม่เลว ใบหน้ามีรอยยิ้มเล็กน้อยที่หาได้ยากยิ่ง โบกมือให้เขา “ลุกขึ้น กินข้าว”

 

 

เหอตันผิงยิ้มกล่าวว่า “ท่านพี่ สองวันนี้ยุ่งอยู่กับกำหนดรายชื่อศิษย์รุ่นเยาว์ลงเขาฝึกตนหรือ กำหนดแล้วหรือยัง”

 

 

หลิงหลงรอให้ท่านพ่อกลับมาเร็วๆ จะได้ถามเขา ยามนี้อดถามขึ้นไม่ได้ “ท่านพ่อ มีเสวียนจีด้วยไหม”

 

 

ฉู่เหล่ยเงียบไปครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “สมุดรายชื่อกำหนดเบื้องต้นแล้ว เพียงแต่จำนวนคนมากไป เมื่อครู่ได้ร่วมหารือกับศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลายอยู่ครู่หนึ่ง ตั้งใจว่าแต่ละยอดเขาเสนอชื่อสามคนลงเขา แต่ละคนเลือกสรรเสร็จสรรพ กำหนดรายชื่อก่อนปีใหม่ หลังปีใหม่ก็ให้ลงเขา”

 

 

หลิงหลงร้อนใจกล่าวว่า “ท่านพ่อ ไยท่านกล่าวมากมายเพียงนี้ แท้จริงแล้วมีเสวียนจีไหม ข้าไม่ได้เจอนางมาสี่ปีกว่าแล้ว!”

 

 

ฉู่เหล่ยยิ้ม “นั่นก็ต้องดูว่าหลายปีนี้นางบำเพ็ญเพียรได้ผลอย่างไร หากได้เป็นศิษย์โดดเด่น ศิษย์น้องฉู่ก็ต้องเสนอชื่อนาง หากยังไม่ได้ ข้าก็ไม่อาจแทรกแซง”

 

 

เหอตันผิงถอนใจกล่าวว่า “ลูกคนนั้นแต่ไรมาก็เกียจคร้าน เกรงแต่ว่า…”

 

 

ฉู่เหล่ยเองก็ส่ายหน้า เขาเองไม่ใช่ว่าไม่ได้เจอบุตรสาวคนเล็กมาสี่ปีกว่าเหมือนกันหรือ แต่ผู้บำเพ็ญเพียรต้องฝึกฝนวิชาบำเพ็ญเพียรเป็นอันดับแรก นางหากยังไม่เป็น ก็ทำอะไรไม่ได้

 

 

“เส้าหยางเราครั้งนี้ ข้าเลือกหมิ่นเหยียนกับหลิงหลงสองคน เดิมกะจะให้หมิ่นหังไปด้วย แต่พอคิดว่าปีหน้างานชุมนุมปักบุปผาจะเริ่มอีกรอบแล้ว หมิ่นหังอาจต้องกักตนบำเพ็ญเพียร ก็คงไม่ได้แล้ว”

 

 

หลิงหลงพอได้ยินว่ารายชื่อลงเขาฝึกฝนมีตนด้วยก็ดีใจกอดคอฉู่เหล่ย ตะโกนดังว่า “ท่านพ่อแสนดี! ท่านพ่อแสนดี! ในที่สุดข้าก็ได้ลงเขาไปเที่ยวแล้ว!”

 

 

เหอตันผิงยิ้มกล่าวว่า “เจ้ารู้แต่เที่ยว เป็นแม่นางอายุสิบห้าแล้ว ยังทำตัวเหมือนเด็กน้อย ครั้งนี้ลงเขาไม่เหมือนครั้งก่อน เจ้าต้องสุขุมหน่อย ไม่อนุญาตให้ก่อเรื่อง หมิ่นเหยียน ช่วยข้าเฝ้านางไว้ด้วย อย่าปล่อยให้นางก่อเรื่อง”

 

 

จงหมิ่นเหยียนรีบรับคำ

 

 

“เชอะ เขากล้า!” หลิงหลงเหลือบมองบน

 

 

“หมิ่นเหยียนเป็นศิษย์พี่เจ้า ทำไมไม่รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่” เหอตันผิงตำหนิบุตรสาว “ตอนนี้พวกเจ้าก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว นิสัยเอาแต่ใจก็ควรเก็บไว้บ้าง ออกจากบ้านไปอยู่ข้างนอก อย่าได้ทำสำนักเส้าหยางเสียหน้า”

 

 

หลิงหลงเกรงว่าท่านแม่จะพร่ำบ่นต่อ ก็รีบรับคำติดๆ กัน

 

 

ยามนั้น สมุดรายชื่อศิษย์ลงเขาฝึกตนของแต่ละยอดเขา แต่ละหอที่เลือกมาสามคนก็มาถึง ก่อนปีใหม่จะต้องได้รายชื่ออย่างเป็นทางการ

 

 

ตอนฉู่อิ่งหงไปส่งสมุดรายชื่อ ฉู่เหล่ยกำลังอยู่ในลานฝึกยุทธ์ ไม่เกรงกลัวลมหิมะ ชี้แนะบรรดาศิษย์ฝึกกระบวนท่ากระบี่

 

 

“เจ้าสำนัก ข้านำสมุดรายชื่อมาส่งแล้ว”

 

 

ฉู่อิ่งหงเดินเข้ามา พลันเห็นศิษย์ใหม่ลื่น เห็นว่ากำลังจะล้มลงพื้น นางจึงยื่นมือเข้าประคอง ยิ้มกล่าวว่า “ระวังหน่อย พื้นมีน้ำแข็ง”

 

 

ฉู่เหล่ยรีบเข้ามารับสมุดรายชื่อ อ่านรายชื่อสามคนที่แต่ละยอดเขาเสนอมา หออวี้หยางถังแห่งยอดเขาเสี่ยวหยางเขียนชื่อฉู่เสวียนจีกระจ่างชัดสามคำ ในใจเขาตกใจระคนดีใจ ถามว่า “เสวียนจีลงเขาได้แล้วหรือ”

 

 

ฉู่อิ่งหงยิ้มกล่าวว่า “แน่นอน เสวียนจีแม้กลับมาเส้าหยาง ก็กล่าวได้ว่ามีความสามารถเหนือคนอื่นแล้ว”

 

 

ฉู่เหล่ยดีใจยิ่ง “วาจานี้จริงหรือ”

 

 

“อิ่งหงเคยกล่าวเท็จเมื่อใด”

 

 

ฉู่อิ่งหงยิ้มกล่าวอีกว่า “ศิษย์พี่ยังจำได้ไหม ตอนแรกที่รับนางไปยอดเขาเสี่ยวหยาง ข้าก็บอกแล้ว ว่าเสวียนจีเป็นเด็กพิเศษ ไม่อาจใช้วิธีปกติสอนสั่ง”

 

 

ฉู่เหล่ยบำเพ็ญเพียรมาทั้งชีวิต แต่ไรมาไม่เคยคิดว่าไม่อาจใช้วิธีปกติสอนสั่ง เขาก็ฝึกมาแต่เล็กเช่นนี้ ศิษย์ในปกครองทุกคนก็เช่นกัน ผู้มีพรสวรรค์ย่อมอยู่ต่อ ไร้พรสวรรค์ย่อมถูกคัดออกจากเส้าหยางไป

 

 

ไม่อาจปฏิเสธว่า แต่ไรมาในใจเขาคิดว่าเสวียนจีไร้พรสวรรค์ ไม่อาจขัดเกลาให้เป็นไม้งาม ผู้ใดจะรู้ว่าถึงกับมีคนนำท่อนไม้ไปแกะสลักเป็นนกหงส์ได้ จะไม่ยินดีแกมประหลาดใจก็คงไม่ได้

 

 

“ในเมื่อรายชื่อกำหนดแล้ว เช่นนี้ปีหน้าก็ให้พวกเขาลงเขาได้”

 

 

ฉู่เหล่ยสอดสมุดรายชื่อเข้าในแขนเสื้อ ในใจรู้สึกบอกไม่ถูก

 

 

ฉู่อิ่งหงเห็นพวกหลิงหลงสองสามคนอยู่บนลานฝึกยุทธ์ ขมวดคิ้วหลิ่วตามองมาทางนี้ รู้ว่าพวกเขาคิดฟังอันใด ดังนั้นจึงยิ้มกล่าวว่า “เสวียนจีก็อยู่ยอดเขาเสี่ยวหยางมาสี่ปีกว่า คิดว่าเจ้าสำนักก็อยากให้กลับมาอยู่พร้อมหน้าเป็นแน่ ไม่สู้ว่าข้าให้เสวียนจีขึ้นมาเส้าหยางก่อนลงเขา จะได้ถือโอกาสร่วมฉลองปีใหม่กัน”

 

 

ฉู่เหล่ยเดิมคิดปฏิเสธ แต่เขาเองก็คิดอยากพบเสวียนจี ดูว่านางเป็นดังที่ฉู่อิ่งหงว่า มีความสามารถเหนือคนอื่นจริงไหม ดังนั้นจึงพยักหน้ากล่าวว่า “ก็ดี หลายวันนี้ภรรยาข้าก็เอ่ยถึงเสวียนจีพอดี ให้นางกลับมาแล้วกัน ปีหน้าก็ตามพี่สาวและศิษย์พี่นางลงเขา”

 

 

อีกทางด้านหนึ่ง พวกหลิงหลงชะเง้อคอยื่นหูแอบฟัง ได้ยินแต่อะไรว่า “เสวียนจี กลับมา ลงเขา” พวกนี้ ก็ดีใจร้องเสียงดังว่า “เป็นเสวียนจีจริง! เยี่ยมเลย! จะได้พบนางแล้ว!”

 

 

ฉู่อิ่งหงได้ยินได้ยินเด็กๆ พากันร้องยินดี ก็ยิ้มประสานมือกล่าวกับฉู่เหล่ยว่า “เช่นนั้นข้าจะรีบให้เสวียนจีเก็บของกลับเส้าหยาง เจ้าสำนัก ข้าขอตัวก่อน”

 

 

พอนางจากไป พวกหลิงหลงก็ไม่มีกะจิตกะใจฝึกกระบี่แล้ว แม้แต่ฉู่เหล่ยเองก็ไม่มีกะจิตกะใจสอนศิษย์ต่อ ได้แต่กล่าววาจาสองสามประโยคให้พวกเขาฝึกต่อเอง

 

 

เขากลับไปนั่งบนเก้าอี้ ค่อยๆ เป่าชาร้อนเบาๆ ควันกรุ่นเบื้องหน้า

 

 

ผ่านไปอีกครู่หนึ่งก็คิดถึงว่าบุตรสาวคนเล็กที่จากไปสี่ปีกำลังจะกลับมาแล้ว ไม่รู้ว่านางเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เหมือนหลิงหลงหรือไม่ สูงและผอมบางหรือไม่ เป็นดรุณีน้อยราวหยกสลักงดงามหรือไม่ จะเบิกบานขึ้นอีกสักหน่อยหรือไม่

 

 

แม้ว่าเสวียนจีกับหลิงหลงเป็นพี่น้องฝาแฝด แต่หน้าตากลับไม่เหมือนกัน หลิงหลงงดงามฉูดฉาดกว่าสักหน่อย เสวียนจีกลับราวกับสาวงามผลึกแก้วที่เปราะบางงามประณีต เขานึกภาพไม่ออกจริงๆ ว่าเสวียนจีตอนนี้จะเปลี่ยนเป็นเช่นไร เงยหน้าขึ้นพลันเห็นหลิงหลงไม่ฝึกกระบี่ เอาแต่ชะโงกหน้ามองมาทางนี้ วันนี้เขาอารมณ์ดี ไม่คิดตำหนินาง ได้แต่กวักมือเรียก เอ่ยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “หลิงหลง มานี่”

 

 

หลิงหลงรีบวิ่งเข้ามา ใจร้อนกล่าวว่า “ท่านพ่อ น้องใกล้จะกลับมาแล้วใช่หรือไม่?!”

 

 

ฉู่เหล่ยพิเคราะห์มองนางละเอียดแวบหนึ่ง ดรุณีน้อยตรงหน้ารูปร่างอรชรอ้อนแอ้น ท่าทางเบิกบานมีชีวิตชีวา เขาลองวาดภาพเสวียนจีจากภาพหลิงหลงสักหน่อย มองจนตกในภวังค์

 

 

หลิงหลงร้อนใจมาก คว้ามือบิดาสะบัดไปมา “ท่านพ่อ! น้องจะกลับมาใช่หรือไม่ ท่านพูดสิ!”

 

 

ฉู่เหล่ยได้สติคืนมา ยิ้มกล่าวว่า “แน่นอน อาจารย์อาเจ้าไปยอดเขาเสี่ยวหยางเพื่อตามนางแล้ว คิดว่าสักครู่ก็คงมาถึง”

 

 

หลิงหลงทั้งตื่นเต้นและดีใจ รีบถามกล่าวว่า “เช่นนั้น ศิษย์ลงเขาครั้งนี้ก็มีนาง?”

 

 

ฉู่เหล่ยพยักหน้า ยังรู้สึกคาดไม่ถึง “อาจารย์อาเจ้าบอกว่านางเก่งกล้าโดดเด่นเกินใครบนยอดเขาเสี่ยวหยาง ศิษย์ลงเขาคนแรกก็ย่อมเป็นนาง ครั้งนี้ให้นางกลับมา จะได้ร่วมฉลองปีใหม่กับครอบครัว ปีหน้าพวกเจ้าก็จะได้ลงเขาไปด้วยกัน”

 

 

หลิงหลงกระโดดขึ้นทันที ในใจรู้สึกดีใจจนไม่รู้จะบรรยายออกมาเป็นวาจาได้อย่างไร แทบอยากจะตีลังกาหลายสิบตลบ หรือไม่ก็ร้องตะโกนออกมาจึงจะรู้สึกปลอดโปร่งขึ้น

 

 

นางหันกลับไปกวักมือเรียกอย่างแรง ทั้งยิ้มทั้งตะโกน “เจ้าหก! ศิษย์พี่ใหญ่! พวกท่านรีบมาเร็ว! เสวียนจีนาง…เสวียนจีนางกำลังจะกลับมาแล้ว!”

 

 

ทุกคนได้ยิน พากันโยนกระบี่ทิ้งวิ่งเข้ามา บ้างก็ดีใจ บ้างก็ปรบมือ

 

 

จงหมิ่นเหยียนยิ้มกล่าวว่า “ไม่รู้ว่านางเป็นจอมยุทธ์หญิงไปแล้วหรือไม่ ครั้งนี้ต้องดูให้ดีๆ สักหน่อย”

 

 

ตู้หมิ่นหังยังคงสงบนิ่ง ยิ้มเพียงเล็กน้อยกล่าวว่า “เป็นจอมยุทธ์หญิงหรือไม่เป็นเรื่องรอง ไม่รู้ศิษย์น้องเล็กยังจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเช่นนั้นหรือไม่ ได้แต่หวังให้นางเบิกบานหน่อยจึงจะดี”

 

 

“ใช่ ใช่” เฉินหมิ่นเจวี๋ยส่ายหน้าไปมา “นิสัยนางเช่นนั้น อย่างไรก็ควรแก้ไขจริงๆ ไม่เช่นนั้น ลงเขาก็เท่ากับไม่ได้ลง”

 

 

ในที่นั้น ทุกคนพากันแย่งกันพูดถึงเสวียนจี อีกทางหนึ่ง ศิษย์ที่เฝ้าประตูเขาก็เข้ามารายงาน “เจ้าสำนัก มีคนเหินกระบี่มาจากยอดเขาเสี่ยวหยาง ไม่ได้ผ่านประตูใหญ่ ไม่ได้แสดงป้าย ไม่รู้ว่าผู้ใด…”

 

 

วาจาจบลง ทุกคนเพียงหันไปมองลำแสงสีขาวสายหนึ่ง ขณะกำลังจ้องมองไม่กะพริบตา ก็มีจอมยุทธ์หญิงชุดเขียวยืนอยู่กลางลานฝึกยุทธ์

 

 

ยามนี้หิมะเริ่มตกอีกแล้ว หิมะขาวราวขนห่านลงแรง ห่างกันไกลเพียงนั้น ถึงกับมองหน้าตานางไม่ชัด รู้เพียงนางสวมชุดบาง ร่างอรชรอ้อนแอ้น ชุดสีเขียวอ่อนทั้งชุดปลิวไสวท่ามกลางหิมะ กลัวใจว่านางจะถูกลมหิมะพัดแตกสลาย

 

 

นางเก็บกระบี่ใต้ฝ่าเท้าคืนฝัก ค่อยๆ ก้าวขึ้นหน้ามาสองสามก้าว ผมดำขลับด้านหลังปลิวไสวระเรื่อย เครื่องประดับบุปผาจากไข่มุกข้างใบหูนั่นสั่นไหวท่ามกลางสายลม

 

 

แก้มนางกับสองมือคู่นั้นยังขาวผ่องยิ่งกว่าบุปผาไข่มุกนั่น ราวกับคนที่ปั้นขึ้นจากแก้วผลึกและน้ำแข็งหิมะ

 

 

“อา นั่นคือ…”หลิงหลงส่งเสียงร้องขึ้นเบาๆ

 

 

ดรุณีน้อยผู้นั้นเข้ามาใกล้ ก่อนลงคารวะกล่าวเสียงเบาว่า “หออวี้หยางถังศิษย์ฉู่เสวียนจี คารวะเจ้าสำนัก”