ส่วนที่ 2 ดอกท้อผลิบาน ตอนที่ 3 บำเพ็ญเพียรแปลกประหลาด

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

กล่าวจบ นางลุกขึ้นอมยิ้ม ทุกคนรู้สึกเพียงว่าคิ้วและดวงตานางใสกระจ่าง มองเค้าโครงแล้วเหมือนว่าเป็นเสวียนจีในความทรงจำ แต่มองให้ละเอียดก็เหมือนว่าไม่เหมือนแล้ว

 

 

ดรุณีน้อยผู้นี้ผมดำขลับผิวขาวผ่อง รอยยิ้มอบอุ่น ท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ ทำให้คนรู้สึกสบายราวกับอยู่ท่ามกลางลมวสันต์

 

 

หลิงหลงได้สติเร็วสุด ตะโกนดังว่า “เสวียนจี!” แต่ขากลับเหมือนลังเลอยู่ ไม่อาจวิ่งปรี่เข้าไปคลอเคลียใกล้ชิดเช่นวัยเด็ก ช่วงเวลาสี่ปี เห็นได้ชัดถึงความเหินห่าง นางพลันไม่รู้ว่าจะเข้าใกล้ดรุณีน้อยตรงหน้านี้อย่างไร

 

 

เสวียนจียิ้มให้นางเล็กน้อย ผายมือออก กล่าวอ่อนโยนว่า “หลิงหลง ทำไมไม่เข้ามา”

 

 

ยามนี้นางไร้ความกังวลสงสัย พุ่งเข้าไปหาอย่างยินดียิ่ง คว้ามือนางไว้ กล่าวตื่นเต้นว่า “เจ้า…เจ้าคือเสวียนจี? เจ้าคือเสวียนจี?! สวรรค์! เหตุใดเปลี่ยนไปเช่นนี้! ข้า…ข้าเมื่อครู่ยังไม่แน่ใจว่าเป็นเจ้าหรือไม่!”

 

 

นางดึงมือเสวียนจีวิ่งกลับไป พลางร้องตะโกนดังราวกับนำสมบัติมีค่าออกมาแสดง “เป็นเสวียนจี! ท่านพ่อ เจ้าหก ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รอง! เป็นเสวียนจีจริงๆ!”

 

 

ตะโกนโหวกเหวกจบก็คว้าเสวียนจีมาลูบตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่ง ผู้คนทั่วทั้งบริเวณมีแต่นางที่ดูมีชีวิตชีวาที่สุด

 

 

“สูงขึ้นแล้ว! สูงเท่ากับข้า!”

 

 

หลิงหลงเทียบความสูงกับนาง ทุกคนเห็นนางสองคน หนึ่งเงินหนึ่งเขียวท่ามกลางหิมะ ล้วนเป็นดรุณีงดงามแรกแย้ม ภาพในตอนนี้ทำให้คนที่ได้เห็นต่างนึกชื่นชมในใจ

 

 

ฉู่เหล่ยยิ้มส่งเสียงกระแอมไอขึ้นเสียงหนึ่ง ในที่สุดก็ทำให้คลื่นดีใจแห่งการพบกันครั้งแรกสงบลงได้ เขากวักมือเรียกเสวียนจี “เสวียนจี เจ้ามาให้พ่อดูเจ้าสักหน่อย เมื่อครู่ทำไมไม่แจ้งสักหน่อยก็มาเลย ทำพวกเราเป็นห่วง”

 

 

เสวียนจีเดินไปเบื้องหน้าบิดา นางเองก็ไม่ได้เจอครอบครัวมาสี่ปีแล้ว ครั้งนี้ได้พบ ก็รู้สึกเพียงหลิงหลงงามขึ้น ส่วนท่านพ่อมีจอนผมขาวสองข้าง ดูชราลงไปสักหน่อยแล้ว

 

 

นางกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า “ข้ารีบขึ้นมาพบทุกคน ลืมแจ้ง ครั้งหน้าจะไม่ลืมอีกแล้ว”

 

 

นางไม่ได้มีท่าทีเกียจคร้านที่ทำให้คนรู้สึกหมดทางเยียวยาเหมือนตอนสมัยเด็กอีกแล้ว คำตอบก็ดูมีมารยาท ทำเอาทุกคนล้วนยิ้มกล่าวว่า “ตอนนี้มองดูแล้วก็เหมือนมีกลิ่นอายจอมยุทธ์หญิงอยู่สักหน่อยแล้วจริงๆ! อาจารย์อาสั่งสอนเป็นจริงๆ!”

 

 

ตู้หมิ่นหังเห็นเสื้อชุดพลิ้วบางของนางท่ามกลางลมหิมะ นางสวมชุดสำหรับฤดูใบไม้ผลิสีเขียวมรกตชุดเดียว แขนเสื้อถูกลมพัดปลิวไปมา อดกล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลไม่ได้ว่า “ทำไมสวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นเช่นนี้ เป็นหวัดไปจะทำเช่นไร”

 

 

นางกลับยิ้มท่าทางไม่สนใจนัก “ไม่เป็นไร ไม่หนาวสักนิด”

 

 

หลิงหลงคว้ามือนางมากุมไว้ อบอุ่นและนุ่มดังคาด กล่าวอย่างแปลกใจว่า “ตอนนี้สุขภาพเจ้าดีกว่าเมื่อก่อนมากไหม” นางจำได้ว่าเมื่อก่อนพอถึงหน้าหนาว เสวียนจีก็จะห่อตัวเป็นหมี ยังเอาแต่บ่นว่าหนาว เดิมนางก็เกียจคร้าน ดังนั้นก็ยิ่งไม่คิดเคลื่อนไหว

 

 

เสวียนจีไม่กล่าวอันใด เฉินหมิ่นเจวี๋ยข้างๆ ยิ้มกล่าวว่า “ศิษย์น้องถามเช่นนี้ไม่ถูก ศิษย์น้องเสวียนจีไปยอดเขาเสี่ยวหยางมาสี่ปี ต้องติดตามอาจารย์อาศึกษาความรู้มามากมาย พลังวัตรก็ย่อมหนักแน่น อากาศหนาวแค่นี้จะนับเป็นอะไร!”

 

 

หลิงหลงถลึงตาใส่ “เจ้าเรียนวิชาหยางเชวี่ยกงแล้ว? ทำไมเจ้า…เรียนรู้เร็วเช่นนี้!”

 

 

“ไม่รู้ใช่วิชาหยางเชวี่ยกงไหม…” เสวียนจีคิดไปมา “ข้าจำได้ว่าพอถึงยอดเขาเสี่ยวหยาง ไม่ร้องร้อนก็ร้องหนาว อากาศที่นั่นไม่เหมือนเส้าหยาง ต่อมาอาจารย์ถามว่าข้าจะเรียนวิชาแอบเกียจคร้านที่ทำให้หน้าหนาวอบอุ่น หน้าร้อนเย็นสบายหรือไม่ ข้าจึงถามว่าหน้าหนาวอบอุ่น หน้าร้อนเย็นสบาย มีวิธีเกียจคร้านได้ด้วยหรือ นางบอกว่ามี หน้าหนาวสวมเสื้อผ้ายุ่งยากที่สุด เรียนวิธีนี้แล้ว ก็จะเกียจคร้านไม่ต้องสวมเสื้อชุดยัดฝ้ายได้ ไม่รู้สึกหนาว หน้าร้อนเหงื่อออกมาก ทำลายสมาธิ เรียนวิธีนี้แล้วจะไม่รู้สึกร้อนมาก…ดังนั้นข้าจึงเรียนกับนาง เริ่มแรกไม่รู้สึก ต่อมาเริ่มรู้สึกหน้าหนาวอบอุ่น หน้าร้อนเย็นสบายขึ้นมาจริงๆ”

 

 

ทุกคนได้ยินก็รู้สึกสุดยอดมาก ที่แท้อาจารย์อาใช้วิธีนี้มาดึงดูดให้เสวียนจีฝึกพลังวัตร! มิน่านางกล่าวอันใดว่าไม่อาจใช้วิธีการแบบปกติ คิดถึงนิสัยเสวียนจี หากกล่าวกับนางถึงเรื่องบำเพ็ญวิถีเซียนหรือให้ก้าวขึ้นไปเหนือผู้คนอันใด เกรงแต่ว่านางคงกลับไปเสียก่อน มีเพียงอาจารย์อาที่คิดวิธีการหลอกล่อเช่นนี้ออกมาได้ ถึงกับสอนสั่งให้เสวียนจีดูดีขึ้นเช่นนี้ได้

 

 

แม้แต่ฉู่เหล่ยพอได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ ยังอดยิ้มไปส่ายหน้าไปไม่ได้ เขาไม่เคยคิดใช้วิธีนี้สอนศิษย์ คิดไม่ถึงว่ามีแต่วิธีสอนเช่นนี้เท่านั้น เสวียนจีจึงจะเรียนรู้ได้

 

 

“แล้วเจ้ายังได้เรียนรู้อะไรอีก รีบเล่ามา!” หลิงหลงเขย่ามือนาง อยากรู้มาก

 

 

เสวียนจีคิดไปคิดมา “อ้อ ข้าไปถึง เรื่องแรกก็คือเรียนเหยียบกระบี่บิน…อาจารย์เรียกว่าเหินกระบี่ เริ่มแรกข้าเหินไม่เร็ว อาจารย์ก็บอกว่า หากในหนึ่งชั่วยามข้าไปกลับเขาลู่ไถซานกับเขาแรกอรุณได้สามรอบ นางก็จะให้ข้าพักสามวัน ไปมาหลายรอบเข้า วันพักก็ยิ่งมาก…”

 

 

ทุกคนรู้สึกสุดยอดอีกครั้ง ตู้หมิ่นหังยิ้มเฝื่อนกล่าวว่า “คิดไม่ถึงว่าอาจารย์อาถึงกับหลอกล่อ…ศิษย์น้องเล็กเรียนวรยุทธ์เช่นนี้”

 

 

เสวียนจีมองเขา ราวกับกำลังถาม ‘นี่คือการหลอกล่อข้าเรียนวรยุทธ์หรือ’ ตู้หมิ่นหังสบตากับนาง ในใจพลันสะดุ้ง หลบสายตา รู้สึกประดักประเดิดอยู่บ้าง ใบหน้าเริ่มแดงขึ้น

 

 

“กล่าวเช่นนี้ เจ้าเรียนแค่วิชาหยางเชวี่ยกงกับเหินกระบี่?” ฉู่เหล่ยราวกับรู้สึกไม่พอใจ พลังวัตรกับเหินกระบี่ย่อมต้องเรียน แต่ผู้บำเพ็ญเซียนมักต้องปราบปีศาจ วิชาไว้ป้องกันตนสักหน่อยไม่มี ก็เท่ากับยากจะก้าวเดินต่อข้างหน้า

 

 

เสวียนจีส่ายหน้า “ข้ายังเรียนรู้อีกมากมาย…ไม่รู้ชื่อ อาจารย์ก็ไม่เคยบอก”

 

 

นางขมวดคิ้ว ราวกับแม้แต่วิชาหยางเชวี่ยกงก็ยังไม่รู้ว่าอะไร

 

 

“รีบเล่ามาเร็ว เร็ว! ยังมีอันใด”

 

 

หลิงหลงร้อนใจยิ่งกว่าผู้ใด น้องสาวในความทรงจำที่ไม่เป็นอันใดสักอย่าง ไม่เจอกันสี่ปี นางพลันเปลี่ยนเป็นเป็นทุกอย่าง แม้แต่ตนเองก็เรียนวิชาหยางเชวี่ยกงได้ไม่ดี นางกลับเรียนได้ไม่เลว หลิงหลงร้อนใจอยากฟัง แท้จริงนางเรียนอันใดที่ตนเองไม่ได้เรียนบ้าง

 

 

“อ้อ ยังมีวิชาเสกวิเศษ!” เสวียนจีคิดอยู่จริงจังครู่หนึ่ง ในที่สุดก็คิดออก “ข้าไปถึง ในห้องไม่มีไฟจุดเทียน ไปขออาจารย์ นางกลับบอกคาถาข้ามากหลายคำวุ่นวายไปหมด ให้ข้าจุดไฟส่องสว่างเอง ข้าท่องไปมาครึ่งเดือนกว่า ในที่สุดก็กลายเป็นไฟได้ จุดเทียนสว่างได้”

 

 

ครั้งนี้ทุกคนไม่อาจกล่าวอันใดอีก แต่ละคนฟังแล้วได้แต่ตาโตอ้าปากค้าง หนึ่ง คิดไม่ถึงว่าฉู่อิ่งหงสอนวิชานางเช่นนี้ สอง คิดไม่ถึงว่าแม้แต่วิชาเซียนเสวียนจีก็เป็น

 

 

สำนักเส้าหยางศิษย์ฝึกวิชาเพลงยุทธ์ก็ต้องพยายามฝึกอย่างหนัก สามถึงห้าปีก็จะเห็นผลบ้าง ฝึกวิชาหยางเชวี่ยกงอันเป็นเคล็ดพลังวัตรนี้ ขอเพียงก้มหน้าก้มตาฝึกไม่สนใจเรื่องภายนอก ทุกวันตั้งใจศึกษา สุดท้ายก็จะพ้นด่านที่หนึ่งมาได้ แต่วิชาเซียนไม่ใช่ว่าทุกคนจะฝึกได้ มีบางคนต้องใช้เวลาทั้งชีวิต ทุกวันท่องคาถาวาดยันต์ ท่องจนปากฉีก วาดจนมือหัก ก็อาจจะเสกลูกไฟออกมาไม่ได้ นี่ล้วนเป็นเรื่องวาสนาเซียนของแต่ละคน ไม่มีวาสนาเซียน ตลอดชีวิตก็เป็นได้แค่ผู้บำเพ็ญเซียนไม่เต็มขั้น ห่างไกลกับคนที่เรียนวิชาเซียนเป็นง่ายดายเหล่านี้ยิ่ง

 

 

ครั้งนี้ฉู่เหล่ยทั้งตกใจและดีใจ ร้อนใจกล่าวว่า “เจ้าเรียนวิชาห้าธาตุแล้ว?! วาจานี้จริงหรือ”

 

 

เสวียนจีรู้สึกลำบากใจบิดเสื้อไปมา แต่เล็กพอเจอเรื่องลำบากใจนางก็มักจะมีนิสัยเช่นนี้

 

 

ตอนนี้ถึงกับยังเหมือนเดิม “วิชาห้าธาตุคืออันใดข้าก็ไม่รู้…” นางกล่าวช้าๆ เนิบนาบ “แต่วิชาเสกวิเศษข้าเรียนเป็นแล้ว อาจารย์บอกว่าไม่ยากมาก ขอเพียงท่องคาถาหลายๆ รอบทุกวัน อย่าลืมก็พอ…”

 

 

นางเห็นทุกคนมีสีหน้าประหลาดใจ ก็รีบหุบปาก ในใจเต้นแรง ไม่รู้ว่าตนเองกล่าวผิดอันใดไป

 

 

“พูดมาไร้หลักฐาน เจ้าทำให้ข้าดูหน่อย” ฉู่เหล่ยยังไม่อยากจะเชื่อ น่าจะเพราะว่าภาพบุตรสาวคนเล็กที่อันใดก็ไม่เป็นนั้นสลักอยู่ในใจลึกเกินไป ครานี้เปลี่ยนไปมาก ไม่กล้าจะยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง

 

 

เสวียนจี “อ้อ” ขึ้นเสียงหนึ่ง ค่อยๆ ยกมือขึ้นช้าๆ ไม่เห็นนางวาดยันต์โยนยันต์คาถาใด เห็นเพียงพลิกฝ่ามือหงายขึ้นฟ้า ปากท่องเงียบๆ อย่างรวดเร็ว เห็นเกล็ดหิมะที่ปลิวอยู่กลางท้องฟ้าพอเข้าใกล้นางก็เหมือนว่าถูกร่างนางดูดเข้ามา ค่อยๆ มารวมกันอยู่เหนือฝ่ามือนาง สุดท้ายกลายเป็นก้อนหิมะขนาดราวฝ่ามือ ค่อยๆ ตกลงสู่ฝ่ามือนาง ถูกนางขยี้เบาๆ ก็แตกออก

 

 

ฉู่เหล่ยลุกขึ้นยืน กล่าวชมเสียงดังว่า “เยี่ยม! เยี่ยมมาก!” เขาหัวเราะดังลั่น ในใจรู้สึกดีใจยิ่งนัก บุตรสาวคนเล็กที่ไม่เอาไหนที่สุด เป็นดังปมในใจเขามาหลายปี ในที่สุดตอนนี้ก็แก้ปมออกแล้ว

 

 

“เจ้าไม่ได้วาดยันต์ เอาพลังมาจากไหน” เฉินหมิ่นเจวี๋ยตกใจถามเสียงติดอ่าง

 

 

แต่ถามจบเขาก็เข้าใจ ที่แท้ชุดเขียวบนกายเสวียนจีชุดนี้ มองให้ดี ด้านบนปักลายบุปผามากมายแน่นขนัดด้วยด้ายสีเงินที่ซ่อนอยู่ตั้งแต่บนลงล่าง ไม่รู้ว่ามียันต์คาถามากมายเท่าไร นางเองจึงไม่ต้องวาดยันต์ เพียงแค่ท่องคาถา ย่อมใช้งานวิชาเซียนได้ดังใจ

 

 

ครานี้เขารู้สึกเลื่อมใสจากใจ ยิ้มชื่นชมว่า “ศิษย์น้องเล็กเป็นจอมยุทธ์หญิงแล้วจริงด้วย! น่ายินดี! น่าชื่นชม!”

 

 

เสวียนจีหัวเราะแหะๆ สองเสียง กล่าวตามจริง อาจารย์พานางไปยอดเขาเสี่ยวหยาง สอนอะไรนางเยอะจริงๆ แต่ให้นางกล่าวมาทีละอย่าง นางกล่าวไม่ออก แต่ไม่ว่าอย่างไรอาจารย์ก็สอนวุ่นวายไปหมด นางก็เรียนอย่างวุ่นวายไปหมดเช่นกัน นับประสาอันใดกับในใจนาง ของบางอย่างไม่เรียกว่าเรียน แต่เรียกว่าเล่น ดังนั้นต่อมา นางจึงไม่อาจกล่าวได้กระจ่างนักว่าได้เรียนอันใดเป็นบ้าง ไม่เป็นอันใดบ้าง

 

 

ฉู่เหล่ยอารมณ์ดีมาก ตบบ่านาง กล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ไปกันเถอะ ไปพบแม่เจ้าที่เรือนดอกเหมยหลังเขา สองสามวันนี้นางกำลังคิดถึงเจ้าอยู่ หมิ่นเจวี๋ย เจ้าไปตามศิษย์พี่ศิษย์น้องมา คืนนี้ร่วมกินอาหารกันสักมื้อ”

 

 

เฉินหมิ่นเจวี๋ยรีบรับคำ วิ่งออกไปตามอย่างตื่นเต้น

 

 

หลิงหลงเห็นน้องถูกท่านพ่อโอบเดินออกไปก่อน ไม่รู้ทำไมจึงคิดถึงภาพเมื่อก่อนที่เคยพูดคุยหัวเราะใกล้ชิดสนิทสนมกับเสวียนจี นางกลับก้าวขาไม่ออก

 

 

เงาแผ่นหลังอรชรอ้อนแอ้นดรุณีน้อยนั่นถึงกับดูราวคนแปลกหน้า ห่างไกลเพียงนั้น นางราวกับตามไม่ทัน

 

 

นางเม้มปากก้มหน้าเดินตามไปด้านหลัง ไหล่นางพลันถูกคนตี พอเงยหน้าเห็นจงหมิ่นเหยียนยิ้มเล็กน้อย กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “ช้าอยู่ไย รีบไปสิ มีวาจาส่วนตัวอันใด คืนนี้ค่อยแอบคุยกันก็ไม่สาย”

 

 

ในใจนางคิดได้ ในที่สุดก็พยักหน้าอมยิ้มจูงมือเขาเดินไปทางหลังเขา