ส่วนที่ 2 ดอกท้อผลิบาน ตอนที่ 4 ฉลองปีใหม่ (1)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

ตอนมาถึงเรือนดอกเหมยหลังเขาก็พบเหอตันผิง ย่อมเป็นความดีใจอย่างบอกไม่ถูก

 

พอถึงเวลาอาหารเย็น ทุกคนมาพร้อมหน้า ศูนย์กลางบทสนทนาอยู่ที่เสวียนจีเป็นครั้งแรก เสียงจ้อกแจ้กคุยกันครึกครื้นอย่างยิ่ง เหอตันผิงพูดคุยอยู่ครู่หนึ่ง พลันรู้สึกว่าหลิงหลงที่ชอบความครึกครื้นที่สุดกลับไปแอบนั่งกินข้าวเงียบๆ อีกทาง ถึงกับไม่กล่าวอันใดสักคำ อดเข้าไปใกล้กระซิบเบาๆ ไม่ได้ว่า “เป็นอะไรไป ไม่สบายหรือ วันๆ เอาแต่อยากให้น้องกลับมา ตอนนี้นางกลับมาแล้ว ทำไมกลายเป็นน้ำเต้าเบื่อโลกไปเล่า”

 

หลิงหลงฝืนยิ้ม “ไหนกัน…ข้า ข้าเพียงแต่ดีใจมากไป…ไม่รู้กล่าวอันใด”

 

จงหมิ่นเหยียนที่ด้านข้างยิ้มกล่าวว่า “นางสองคนแต่ไรก็วาจามากที่สุด อาจารย์หญิงไม่ต้องเป็นห่วง รอคืนนี้นอนด้วยกัน ก็คงมีวาจากล่าวกันถึงเช้าจนไม่อาจตื่นนอน”

 

เหอตันผิงยังไม่วางใจ ได้แต่ยิ้มหันกลับไปคุยเล่นกับพวกเขาต่อ

 

หลิงหลงกลับรู้สึกกินอะไรไม่ลงเท่าไร ลากจงหมิ่นเหยียนไปแอบคุยกันสองคน

 

“เจ้าหก เจ้าเองก็รู้สึกว่าเสวียนจีเปลี่ยนไปมาก?” นางถาม

 

ตั้งแต่เสวียนจีปรากฏตัวออกมา จงหมิ่นเหยียนก็แอบเอาแต่ลอบสังเกตนาง ยามนั้นจึงได้แต่ส่ายหน้า “ก็เปลี่ยนไปมากอยู่ แต่นิสัยไม่เปลี่ยนเลย” ยังคงดูไม่ยี่หระ ไม่แลมองสิ่งใด เห็นท่าทางนางยิ้มเซ่อซ่าก็พอรู้ ตอนนี้คงกำลังส่งจิตคิดไปไหนสักแห่ง ไม่รู้มัวเหม่อลอยอันใด

 

หลิงหลงกลับกล่าวเบาๆ ว่า “ข้า ข้ารู้สึกนางเปลี่ยนไปมาก สวยขึ้นมาก ร้ายกาจขึ้นมาก…ราวกับคนละคนกับน้องสาวข้าเมื่อก่อน”

 

ที่ไหนกัน! จงหมิ่นเหยียนมองไปทางเสวียนจีแวบหนึ่ง นางเหมือนกับเมื่อก่อนทุกอย่าง! ใบหน้าอาจจะไม่เหมือนเท่าไร เติบโตแล้ว คิ้วและตายิ่งกระจ่างแลสูงส่ง ส่วน ‘สวยขึ้นมาก ร้ายกาจขึ้นมาก’ พวกนี้ เขามองไม่ออก อย่างไรก็ผ่านไปสี่ปีแล้ว หากนางไม่เรียนรู้อะไรเลย ก็ย่อมทำให้คนกรามค้างได้

 

“เจ้าคิดมากไปแล้ว” จงหมิ่นเหยียนกล่าวอ่อนโยน “หลักๆ คือไม่เจอกันสี่ปี เจ้ารู้สึกแปลกหน้ากระมัง รอได้คุยกับนางสักพักก็จะดีเอง”

 

หลิงหลงได้แต่ส่ายหน้า ตนเองก็บอกไม่ถูกว่าจิตใจที่ร้อนรนไม่เป็นสุขนี้ แท้จริงเป็นเพราะเหตุใด ใจนางแต่ไรก็หวังจะได้พบกับน้อง แต่บางทีอาจเพราะหวังว่าได้พบคนเมื่อสี่ปีก่อน น้องสาวที่อ่อนแอต้องการที่พึ่งราวนกพิราบน้อย ไม่ใช่ดรุณีน้อยงดงามตรงหน้านี้

 

จงหมิ่นเหยียนกล่าวไม่ผิด เสวียนจีกำลังเหม่อลอย เหมือนว่าแต่เล็กไม่ชินกับสถานที่ที่มีคนมากและครึกครื้น ไม่รู้ควรรับมืออย่างไร ทุกคนตรงหน้ากำลังพูดกับนางให้นางเบิกบานใจ นางกลับรู้สึกว่าจอมยุทธ์หญิงเก่งกล้าที่ออกจากปากพวกเขาเป็นคนแปลกหน้า ไม่ใช่นาง ฉู่เสวียนจี

 

นางอยู่ยอดเขาเสี่ยวหยางมาสี่ปี ไม่เคยคิดว่าตอนแรกที่เคยรู้สึกว่ายาวนานนับปี จะผ่านไปพริบตาราวกับโบยบินเช่นนี้

 

ท่านอาหงทุกวันเป็นเพื่อน ‘เล่น’ ทุกวันนางล้วนมีความสุขและอิสระ ต่อมานางก็สวมเสื้อผ้าบางของฤดูใบไม้ผลิในเหมันต์โดยไม่รู้สึกหนาวได้ในที่สุด สุดท้ายก็เหินกระบี่ไปกลับเขาลู่ไถซานหลายสิบรอบได้ในช่วงเช้า สุดท้ายก็ใช้วิชาเสกวิเศษได้ราวดังใจคิด ท่านอาหงลูบศีรษะนาง กล่าวอ่อนโยนว่า “เสวียนจี เจ้าเป็นเด็กฉลาดที่สุดที่ข้ารู้สึกนับถือจริงๆ ท่านอาหงไม่มีอะไรเล่นเป็นเพื่อนเจ้าแล้ว วันหน้าลงเขาไปเล่นเอง ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้นแล้ว”

 

ดังนั้นในใจนาง สี่ปีนี้ก็คือเอาแต่เล่นมาตลอด ส่วนพวกท่านพ่อพูดถึงวิชาหยางเชวี่ยกง วิชาห้าธาตุอะไรนั้น นางไม่เคยได้ยิน แต่นางไม่กล้าพูด บารมีท่านพ่อข่มนางมาหลายปี ทำให้นางรู้สึกว่ายามนี้เงียบไว้ดีที่สุด จะได้ไม่ถูกพวกเขารู้ว่าตนเองเอาแต่เล่นมาตลอดสี่ปี กลัวว่าจะจับนางเตะกลับไปในทันที หาเรื่องทำลายตัวเองโดยแท้

 

กำลังตกในภวังค์ความคิด พลันได้ยินตู้หมิ่นหังยิ้มกล่าวว่า “ศิษย์น้องเล็กตอนนี้เรียนสำเร็จแล้ว อาจารย์ก็สบายใจให้พวกเขาลงเขาไปฝึกฝนตนได้แล้วกระมัง”

 

ทุกคนมองไปทางฉู่เหล่ย เห็นเขาลูบคาง ยิ้มเล็กน้อย “เรื่องนี้ข้าถึงกับลืมไปเลย วันนี้ดีใจ เลยลืมเรื่องงานไป เสวียนจี หลิงหลง หมิ่นเหยียน”

 

เขาเรียกชื่อศิษย์เล็กสุดสามคนมา ทั้งสามรีบรับคำลุกขึ้นรอคำสั่ง

 

“ตอนนี้พวกเจ้าก็ฝึกเคล็ดวิชาพื้นฐานของสำนักเราได้แล้ว พวกอาจารย์ก็ไม่มีอันใดสอนพวกเจ้าแล้ว ประสบการณ์ที่เหลือก็ต้องอาศัยพวกเจ้าไปค้นหาลองดูเอาเองแล้ว ฉลองปีใหม่เสร็จ พวกเจ้าก็ตามศิษย์แต่ละหอร่วมกันลงเขาไปฝึกตนหาประสบการณ์แล้วกัน พบกับมารปีศาจทำร้ายก่อกวนผู้คนที่ใด จำไว้ว่าหน้าที่ผู้บำเพ็ญเซียน ไม่อาจปล่อยให้ชาวบ้านรับเคราะห์กรรม อีกหนึ่งปีค่อยกลับมา”

 

ทั้งสามรับคำอย่างนอบน้อมพร้อมกัน

 

ฉู่เหล่ยยิ้มกล่าวว่า “เมื่อก่อนอาจารย์พร่ำบ่น คิดว่าบ่นมากจนพวกเจ้าไม่อยากจะฟังแล้ว สรุปว่าหลังลงเขาไปต้องระวังให้มาก จำไว้ว่าพวกเจ้าเป็นศิษย์สำนักเส้าหยาง ไม่อาจทำเรื่องเสื่อมเกียรติสำนัก เรื่องอื่นก็ฝึกฝนตนเองแล้วกัน”

 

เหอตันผิงเองก็ยิ้มกล่าวว่า “ท่านพี่วันนี้อารมณ์ดี หายากมากที่ท่านจะได้คุยยิ้มแย้มกับเด็กพวกนี้ พอแล้ว ตอนกินข้าว ไยต้องกล่าวเรื่องพวกนี้ ฉลองปีใหม่จึงค่อยไป พวกเสวียนจียังอยู่บนเขาอีกเกือบเดือน ถึงตอนนั้นค่อยพูดกันก็ไม่สาย”

 

ทั้งสามจึงได้นั่งลงกินข้าวต่อ

 

ตู้หมิ่นหังพลันคิดอันใดขึ้นมาได้ กล่าวว่า “อาจารย์ ครั้งนี้ขอให้ศิษย์ตามศิษย์น้องลงเขา พวกเขาอายุยังน้อย จิตใจฮึกเหิม ศิษย์จะได้คอยชี้แนะได้”

 

ฉู่เหล่ยส่ายหน้า “ไม่ได้ ปีหน้างานชุมนุมปักบุปผาถึงคราวเจ้าได้เข้าร่วมแล้ว ต้องตั้งใจฝึกบำเพ็ญให้มาก ตอนนั้นพวกเจ้ารุ่นศิษย์อายุน้อยก็ไม่ใช่ลงเขากันเองหรือ ไม่จำเป็นต้องมีคนไปเป็นเพื่อน หนุ่มสาวพบกับอุปสรรคก็เป็นเรื่องดี”

 

ตู้หมิ่นหังได้แต่น้อมรับ หันกลับไปมองเสวียนจี นางกำลังก้มหน้ากินข้าว ผมหนาปกคลุมใบหน้าเล็กไปครึ่งหนึ่ง ทั้งน่ารักและน่าทะนุถนอม ไม่เจอกันสี่ปี เด็กน้อยในวันเก่าพริบตากลายเป็นดรุณีน้อยงามราวหยกสลัก เขาถึงกับไม่อาจละสายตา

 

เสวียนจีราวกับรู้สึกมีคนกำลังมองตนจากด้านข้าง พอเงยหน้ามองก็ปะทะกับสายตาเขาพอดี ตู้หมิ่นหังใบหูร้อนขึ้นมา ได้แต่ยิ้มให้นางเล็กน้อย จากนั้นจึงละสายตาไปที่อื่น

 

หลังอาหารเย็น ทุกคนพากันรำลึกความหลังกันสักครู่ก่อนจะกลับห้องไปพักผ่อน

 

เหอตันผิงโอบไหล่เสวียนจี ยิ้มกล่าวว่า “วันนี้เสวียนจีกลับมาแล้วไปนอนกับแม่ไหม หรือว่ากลับไปห้องเดิมของเจ้าเมื่อก่อน ที่นั่นแม้แต่เก้าอี้สักตัวก็ไม่ได้เคลื่อนย้าย เก็บไว้ให้เจ้าอย่างดี!”

 

เสวียนจีกำลังจะเอ่ย หลิงหลงกลับร้อนใจกล่าวว่า “ท่านแม่! ข้าจะนอนกับน้อง! ข้า ข้ามีวาจามากมายจะคุยกับนาง!”

 

เหอตันผิงขยี้ผมนางอย่างเอ็นดู ยิ้มชื่นชม “เจ้านี่นะ น้องเปลี่ยนไปมาก เจ้ากลับไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย ยังนิสัยโหวกเหวกเหมือนเดิม ตกลง เจ้าพาน้องไปห้องเจ้าแล้วกัน ดึกหน่อยแม่จะให้คนยกผ้าห่มไปเพิ่มให้อีกชุด”

 

หลิงหลงอดแก้ตัวไม่ได้ คว้ามือเสวียนจีไว้ ยิ้มกล่าวว่า “เสวียนจี ไปกับข้า วันหน้าพวกเรานอนด้วยกัน ค่อยๆ เล่าเรื่องยอดเขาเสี่ยวหยางให้ข้าฟังอย่างไร”

 

กล่าวจบก็ลากนางเข้าไปกอด ทิ้งจงหมิ่นเหยียนไว้อีกทาง ไม่เหลือบมองแม้แต่น้อย

 

แต่เขาเองก็เคยชินกับนิสัยหลิงหลงแล้ว ไม่คิดมากอันใด เพียงประสานมือไปทางฉู่เหล่ยและเหอตันผิง คำนับกล่าวว่า “ศิษย์ขอตัวก่อน อาจารย์และอาจารย์หญิงจะได้พักผ่อนเร็วหน่อย”

 

เป็นหลิงหลงที่บุ่มบ่ามลากเสวียนจีเข้าห้องตน ยามอยู่ต่อหน้านางถึงกับกล่าวไม่ออกสักคำ ได้แต่จ้องใบหน้าน้องอึ้งไป

 

“หลิงหลง? เจ้าเป็นอะไร” เสวียนจีโบกมือไปมาหน้านาง

 

นางพลันได้สติคืนมา ลังเลครู่หนึ่ง จึงได้กล่าวว่า “เสวียน…เสวียนจี เจ้ากระหายน้ำไหม หิวไหม ข้ามีชาและของว่าง”

 

เสวียนจีรินชาให้ตนเองแก้วหนึ่งก่อนแล้ว ยกขึ้นดื่ม พลางยิ้มให้นาง “เกรงใจกันเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด ไม่เจอเจ้าสี่ปี ถึงกับเป็นแม่นางน้อยของทุกคนไปแล้ว”

 

หลิงหลงค้อนนางทีหนึ่ง ในที่สุดก็ค้นหาความรู้สึกคุ้นเคยใกล้ชิดแบบเมื่อก่อนพบแล้ว “เจ้าสิเป็นแม่นางน้อยของทุกคน ข้าแค่…ไม่ได้เจอเจ้านาน ไม่รู้ว่าจะกล่าวอันใด”

 

เสวียนจีดูคุ้นเคยดี ดื่มชาเสร็จก็ถอดเสื้อผ้าและรองเท้าปีนขึ้นเตียง เท้าศีรษะยิ้ม “มีอันใดไม่รู้กัน เจ้าก็คือเจ้า ข้าก็ยังเป็นข้า เหมือนเมื่อก่อนทุกอย่าง!”

 

เหมือนเมื่อก่อนได้จริงหรือ ในใจหลิงหลงเงียบงัน ได้แต่ปีนขึ้นเตียง นอนหันหน้าเข้าหานาง ถึงกับไม่รู้จะกล่าวอันใดเป็นนาน