นิสัยอย่างพี่รองเป็นคนทื่อๆไม่ค่อยแสดงออก แต่ไหนแต่ไรมาเวลาอยู่ข้างนอกเขาไม่เคยแสดงความรักแบบนี้ ไม่ได้มีคารมหวานๆ แต่กลับเต็มไปด้วยความรัก
“สู้ๆฮะแม่ แม่เก่งที่สุดเลย” พ่านพ่านทำท่าสู้ตายให้ต้าอี เธอหอมแก้มลูกชายแล้วมองสามีด้วยความซึ้งใจ เธอจะเข้าแข่ง เธอต้องช่วงชิงชัยชนะมาให้ประธานเชี่ยนให้ได้
ยอมสู้จนตายดีกว่าต้องคุกเข่าร้องไห้ ถ้าไม่ลุกขึ้นสู้จะมีหน้าไปเจอประธานเชี่ยนได้อย่างไร
ไหนจะกำลังใจที่ได้จากสามีอีก
ต้าอีมองพี่รองที่มองเธอด้วยสายตาที่เชื่อมั่น ความรักในหัวใจเบ่งบาน ไม่เพียงแค่เพื่อประธานเชี่ยน เธอยังต้องตอบแทนความไว้วางใจจากผู้ชายที่เธอรัก
“ต่อให้ชาตินี้ฉันจะเป็นพระจันทร์ที่ส่องสว่างแบบประธานเชี่ยนไม่ได้ ฉันก็จะกลายเป็นดวงดาวที่เจิดจรัสบนท้องฟ้า โลกนี้มีประธานเชี่ยนคนเดียว และก็มีฉันเพียงคนเดียวเหมือนกัน”
พี่รองพยักหน้า “ใช่ พูดแบบนี้ออกมาได้คุณก็ชนะไปครึ่งทางแล้ว”
ต้าอีก้าวเข้าไปในสนามแข่ง ครั้งแรกที่เธอรู้สึกได้ถึงภารกิจอันหนักหน่วง
ประธานเชี่ยนในเวลานี้ยังคงกำลังล้างสมองคนร้ายอยู่
ภายใต้การพูดคุยที่ไม่มีสาระสำคัญอะไรของเธอ อารมณ์ของคนร้ายกลับค่อยๆผ่อนคลายลง
“ออกมาเถอะค่ะ ข้างในมันร้อนจริงๆนะคะ บางทีสายลมอาจช่วยพาความกลุ้มใจของคุณไปได้ ความรู้สึกแย่ๆจะถูกสายลมหอบไปค่ะ”
น้ำเสียงของเสี่ยวเชี่ยนเริ่มแหบ ความกดดันกับอากาศที่ร้อนมากทำให้คอเธอที่เพิ่งหายได้ไม่กี่วันเริ่มเจ็บอีกแล้ว
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเธอว่าเบื้องหลังการพูดคุยแบบสบายๆนี้จะเต็มไปด้วยความหมายแฝงเฉพาะทาง
ชาวบ้านที่อยู่รอบๆเริ่มไม่พอใจ ถึงขนาดที่มีบางคนกระซิบบอกให้เปลี่ยนคน นักเจรจาคนนี้ไม่เป็นมืออาชีพ คุยอะไรก็ไม่รู้ ทำไมไม่ถามเข้าประเด็น คุยแต่เรื่องดินฟ้าอากาศทำบ้าอะไร
แต่ในช่วงเวลาสำคัญนั้นเองปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น
ประตูรถที่ปิดสนิทมานานเริ่มแง้มออกทีละนิด
คนร้ายโผล่หน้าออกมาถามเสี่ยวเชี่ยน
“แกพูดจริงเหรอที่ว่าลมจะพาความกลุ้มใจไปได้?”
หูฟังของอวี๋หมิงหลางมีเสียงถามมาจากมือสไนเปอร์ของเขา
“One เป้าหมายอยู่ในระยะยิง ให้ยิงช่วยตัวประกันเลยไหม?”
อวี๋หมิงหลางมองใบหน้าด้านข้างของเสี่ยวเชี่ยน ถึงเขากับเธอจะไม่ได้พูดคุยกัน เสี่ยวเชี่ยนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขามาแล้ว แต่จากมุมปากที่ถูกยกขึ้นเล็กน้อยของเธอ อวี๋หมิงหลางก็สัมผัสได้ถึงความมั่นใจของเธอ
มีแค่ตอนที่เสี่ยวเชี่ยนมั่นใจมากเท่านั้นถึงจะยกมุมปากแบบนี้ ความรู้ใจกันของสามีภรรยาทำให้อวี๋หมิงหลางออกคำสั่งโดยไม่ลังเล
“อย่าเพิ่งยิง”
เขาเลือกที่จะเชื่อในฝีมือของเสี่ยวเชี่ยน
ถ้าไม่ถึงคราวจำเป็นทหารไม่มีทางยิง ชีวิตของทุกคนล้วนมีค่า การยิงคือการทำโดยไม่มีทางเลือก
“สายลมเป็นยาดีที่สุดบนโลกใบนี้ ออกมาเถอะค่ะ ออกมาแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น ตามเสียงของฉันมานะคะ ก้าวขาของคุณออกมา…”
ประตูรถค่อยๆถูกเปิดออก คนร้ายมีท่าทางเชื่องช้า ชาวบ้านที่อยู่รอบๆต่างไม่กล้าส่งเสียง
ช่วงเวลาที่รอคอยยาวนานมาก ทุกครั้งที่ประตูเริ่มเปิกกว้างทีละนิด ทุกคนต่างลุ้นตามไปด้วย
“ยื่นมือของคุณออกมา สัมผัสได้ถึงสายลมในฤดูร้อนไหมคะ ใช่ค่ะ ก้าวขาของคุณออกมา ก้าวสู่ชีวิตใหม่ ทีละก้าว…”
ในขณะที่เสี่ยวเชี่ยนพูดจูงใจไปเรื่อยๆอยู่นั้น คนร้ายก็ค่อยๆก้าวลงมา ห่างจากรถตู้หนึ่งเมตร สองเมตร ห่างไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ
เขาเข้าใกล้เสี่ยวเชี่ยนทีละนิด ถึงขนาดที่เสี่ยวเชี่ยนเห็นมีดที่เขาถืออยู่ รอยเลือดบนนั้นแห้งกรังแล้ว
ทันใดนั้นคนของหลินเจ๋อกว่างกับคนของอวี๋หมิงหลางได้เข้าไป คนร้ายยังไม่ทันจะรู้สึกตัวมีดในมือเขาก็ถูกดึงออก จากนั้นก็อยู่ในสภาพถูกล็อคตัว
วินาทีนั้นเกิดความเงียบไปชั่วขณะ แล้วตามมาด้วยเสียงเฮและเสียงปรบมือ
เสี่ยวเชี่ยนโล่งอก สำเร็จแล้ว
“เมื่อกี้ฉันได้ยินที่พวกคุณวิจารณ์ฉันหมดค่ะ ฉันฉันขออธิบายนะคะว่าทำไมฉันถึงไม่ใช้วิธีแบบในหนังที่พวกคุณเคยดู”
เวลานี้เสี่ยวเชี่ยนกลับไปพูดภาษากลางแล้ว สำเนียงกวางตุ้งเมื่อครู่ก็แค่เพื่อทำให้คนร้ายไว้วางใจเธอ
ตอนนี้บริเวณนั้นเกิดความเงียบ เสี่ยวเชี่ยนเริ่มอธิบาย
“เขามีอาการของคนเป็นโรคหลายบุคลิกค่ะ เขาจะควบคุมอารมณ์ไม่ได้ หรือถึงขนาดที่ว่าพลั้งทำพฤติกรรมรุนแรงหรือเกิดความเพ้อฝันต่างๆที่คล้ายกับโรคจิตเภท การรับมือกับอาการแบบนี้ทางที่ดีที่สุดก็คือพูดจูงใจค่ะ เขาจะเปิดใจยอมรับการทำแบบนี้ได้ง่ายกว่า หากเผลอไปพูดผิดเข้าอาจกลายเป็นการกระตุ้นอารมณ์เขา ถ้าเอาแต่ถามว่ากลุ้มใจอะไร ต้องการให้ช่วยเหลืออะไร เขาก็จะนึกถึงเรื่องไม่ดีแล้วทำเรื่องสุดโต่งได้ เมื่อครู่ฉันใช้เทคนิคเฉพาะทางพูดจูงใจเขาค่ะ”
ผู้คนแถวนั้นพากันส่งเสียงชื่นชม พวกเขาฟังพวกเรื่องเฉพาะทางแบบนี้ไม่เข้าใจหรอก แต่รู้สึกว่ามันน่าจะยอดเยี่ยมมาก
แม้แต่นักข่าวยังถ่ายภาพเหตุการณ์นี้ทัน เสี่ยวเชี่ยนกลายเป็นฮีโร่ทันที
เมื่อครู่คนที่บอกว่าเสี่ยวเชี่ยนไม่เป็นมืออาชีพ ตอนนี้ถูกประธานเชี่ยนล้างสมองกันหมดแล้ว อยู่ๆชาวบ้านที่มามุงดูก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจที่ได้เป็นพยานในการเจรจากับร้ายของผู้เชี่ยวชาญในครั้งนี้ กลับไปจะได้เอาไปโม้ให้เพื่อนฟังได้
แต่เสี่ยวเชี่ยนในเวลานี้ไม่ได้มีเวลามานั่งสนใจว่าคนพวกนี้คุยอะไรกัน เธอเดินเข้าไปหาคนร้าย สายตาของคนร้ายดูล่องลอย เสี่ยวเชี่ยนเอามือไปโบกข้างหน้าเขา
“มองตามนิ้วฉันนะคะแล้วคุณจะรู้สึกตัวเบา อ่อนเพลีย…นอนพักนะคะ…”
ผู้ป่วยโรคนี้ถึงจะมีจินตนาการความเพ้อฝันที่ไม่แน่นอน แต่กลับถูกชักจูงได้ง่าย
ดวงตาของคนร้ายค่อยๆปิดลง คนแถวนั้นพอเห็นแบบนี้ก็รู้สึกเหมือนเสี่ยวเชี่ยนเล่นกล เทพมาก
พ่อของคนร้ายเข้ามาร้องไห้คร่ำครวญต่อหน้าลูกชายที่ถูกพาตัวไป
และในเวลานี้ทีมแพทย์ก็ได้เข้าไปดูตัวประกันที่อยู่บนรถแล้ว ผู้หญิงสองคนนั้น คนหนึ่งอยู่ในอาการตกใจ อีกคนถูกแทงหนึ่งที โชคดีที่จุดที่ถูกแทงคือตรงแขน ไม่ได้ตัดโดนเส้นเลือดใหญ่ อาการไม่วิกฤติ
เสี่ยวเชี่ยนดูเวลารู้สึกว่าถ้าไปแข่งก็ยังทัน
อวี๋หมิงหลางเดินเข้ามาตบบ่าเธอ
“เมียจ๋า คุณสร้างชื่อให้บ้านเราอีกแล้ว เก่งมาก”
เสี่ยวเชี่ยนเห็นเขามาก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เธอยิ้มให้เขา “ดูท่าเสื้อไนกี้ที่นายเลือกให้ฉันจะเรียกความซวยมานะ ฉันต้องรีบไปแข่ง…”
“ลูกพ่อ ลูกพ่อไม่เป็นไรนะ” ผู้ชายวัยกลางคนที่มาโวยวายเมื่อครู่รีบวิ่งเข้าไปที่รถตู้ ลูกสาวของเขาคือผู้หญิงคนที่ไม่ได้บาดเจ็บ เวลานี้ผู้หญิงคนนั้นกำลังถูกประคองลงมา ขาเธอหมดแรง
“พ่อคะ” หญิงสาววัยรุ่นอายุไม่ถึงยี่สิบปีพอเห็นพ่อก็ร้องไห้ฟูมฟายออกมา เหตุการณ์เมื่อครู่ทำเธอขวัญเสียมาก
ผู้หญิงอีกคนที่ถูกแทงแขนก็ร้องไห้ด้วยความเจ็บ หลังจากที่เห็นอวี๋หมิงหลางผู้หญิงคนนี้ก็ดวงตาเป็นประกาย เลิกร้อง เอามือจับแผลแล้ววิ่งไปหาอวี๋หมิงหลาง
“ผู้มีพระคุณ”
เสี่ยวเฉียงหันไป รู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลที่พุ่งเข้ามา เขาเบี่ยงตัวหลบอัตโนมัติมีทหารหน่วยรบพิเศษพุ่งมาทางข้างหลังเขาสองคนรีบล็อคตัวผู้หญิงร่างอวบคนนั้นไว้
เสี่ยวเชี่ยนทำตาตี่ ทำไมเป็นยัยนี่อีกแล้ว