ตอนที่ 327 ลงโทษอันหลิงอี
ตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินอันอิงเฉิงพูดขอร้องแทนอันหลิงอีก็รู้สึกโกรธจนหมดสติ เมื่อได้สติฟื้นขึ้นมา อันอิงเฉิงที่รู้สึกผิดจึงทำได้แค่ปลอบให้นางรักษาสุขภาพ ส่วนเรื่องของอันหลิงอี เขาก็มิกล้าเอ่ยขึ้นอีก
ตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าได้แต่คิดน้อยใจที่บุตรชายซึ่งตนเลี้ยงดูมาอย่างยากลำบากและมิใช่เรื่องง่ายกว่าที่เขาจักประสบความสำเร็จ สุดท้ายเขากลับไปเข้าข้างคนอื่น ต่อให้คนอื่นที่ว่าจักเป็นบุตรีของเขาเองก็เถิด ภายในใจของฮูหยินผู้เฒ่าก็ยังเป็นทุกข์อยู่ดี
อีกทั้งอันอิงเฉิงยังกล้าฉีกหน้านางเพื่อปกป้องอันหลิงอีเช่นนี้ แล้วจักให้ฮูหยินผู้เฒ่ามิโกรธได้เยี่ยงไร ?
เป็นเหตุให้ใบหน้าของนางมืดครึ้ม ริมฝีปากเม้มแน่น ดูออกว่ากำลังอารมณ์มิดี
แต่เมื่อเห็นอันหลิงเกอเดินเข้ามา ฮูหยินผู้เฒ่าจึงฝืนยิ้ม “มิเป็นไร ข้ายังร่างกายแข็งแรงอยู่ จักเป็นอันใดไปได้เล่า ? หากข้าเป็นอันใดไปก็สมใจบางคนน่ะสิ ! ”
ความขัดแย้งระหว่างนางกับหลี่ซื่อนั้น อันอิงเฉิงย่อมทราบดี
เวลานี้มาได้ยินประโยคแฝงความนัยของฮูหยินผู้เฒ่า คิ้วของเขาก็ขมวดขึ้นทันที แม้มิกล้าเถียงมารดาแต่ก็อดออกตัวแทนหลี่ซื่อมิได้ “ท่านแม่ ท่านดูถูกเสวี่ยเอ๋อเกินไปแล้วขอรับ นางจักหวังให้ท่านเป็นอันใดได้เยี่ยงไร ? ”
ฮูหยินผู้เฒ่าส่งเสียง หึ ออกมา แต่มิได้กล่าวสิ่งใดต่อก็เห็นได้ชัดว่ามิอยากสนทนากับเขาอีก
ส่วนหลี่ซื่อได้แต่ก้มหน้าลงและมิได้กล่าวสิ่งใดออกมานอกจากแสร้งทำสีหน้าราวกับโดนรังแกให้อันอิงเฉิงสงสาร
นางเข้ามาอยู่ในจวนโหวนานถึงเพียงนี้ย่อมรู้ดีว่าควรใช้วิธีใดแล้วอันอิงเฉิงถึงจักช่วยออกหน้าแทนนาง
หลังจากที่นางเสียเปรียบมาหลายครั้ง หลี่ซื่อก็ตระหนักได้ว่านางมิสามารถเผชิญหน้ากับฮูหยินผู้เฒ่าโดยตรงได้ แค่ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวถึงเรื่องฐานะของนางและยกความอาวุโสขึ้นมา นางก็หมดโอกาสแม้แต่จักเปิดปากด้วยซ้ำ
แต่ท่านโหวมิเหมือนกัน เขาเป็นบุตรชายแท้ ๆ ของฮูหยินผู้เฒ่า ทั้งยังเป็นนายท่านของจวนแห่งนี้ หากให้ท่านโหวเผชิญหน้ากับฮูหยินผู้เฒ่า อีกฝ่ายก็ทำอันใดเขามิได้อยู่ดี
หลี่ซื่อก้มหน้าลงแต่มุมปากยกยิ้มขึ้นและนึกเย้ยหยันฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ภายในใจ
นางยังมิทันได้ทำอันใด ฮูหยินผู้เฒ่าก็โมโหจนหมดสติไปเสียแล้ว หากเกิดเรื่องเช่นนี้บ่อยครั้งเข้า ร่างกายของยายเฒ่าจักทนได้สักเท่าไร !
อันหลิงเกอเห็นว่าบรรยากาศภายในห้องเคร่งเครียดจึงเอื้อมไปจับมือฮูหยินผู้เฒ่า “ท่านย่าอย่าโมโหไปเลยเจ้าค่ะ บางทีที่ท่านพ่อให้คนปล่อยตัวน้องหญิงสามออกมาอาจมีเหตุผลก็ได้ พวกเราลองถามท่านพ่อให้กระจ่างก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ ? ”
“ยังมีสิ่งใดต้องถามอีก” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวอย่างมิแยแส แต่ท่าทีอ่อนลงมิน้อย “อีเอ๋อทำผิด ข้าลงโทษให้คุกเข่าที่โถงบรรพบุรุษก็ถูกต้องแล้วมิใช่หรือ ? ”
อันอิงเฉิงยังมิทราบเรื่องราวทั้งหมดในจวนติ้งกั๋วกง เพียงคิดว่าอันหลิงอีเอาแต่ใจจึงเผลอล่วงเกินคุณหนูท่านไหนภายในงานเลี้ยง ใบหน้าอันน่าเกรงขามจึงเต็มไปด้วยความอ่อนใจ “ท่านแม่ขอรับ อีเอ๋อยังเด็ก ต่อให้ทำสิ่งใดผิดไปบ้างท่านก็แค่ตักเตือนนางก็พอ เหตุใดต้องให้นางไปคุกเข่าที่โถงบรรพบุรุษด้วยขอรับ ? ”
“เจ้าพูดง่ายดีนี่”
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นท่าทางมิใส่ใจของอันอิงเฉิงก็รู้สึกโมโหขึ้นมาอีก ทำให้แน่นหน้าอกไปหมดจนรู้สึกเจ็บที่หัวใจขึ้นมาด้วย แต่ใบหน้ายังเผยรอยยิ้มเย็นชามิเปลี่ยน
“การที่นางเกือบสังหารบุตรีคนอื่น ข้าแค่ให้คุกเข่าสำนึกผิดวันเดียวยังถือว่าทำเกินไปอีกหรือ ? ”
อันอิงเฉิงได้ยินก็เบิกตากว้างแล้วจ้องไปยังอันหลิงอีทันที
“อีเอ๋อ นี่มันเรื่องอันใด ? เหตุใดท่านย่าจึงบอกว่าเจ้าเกือบสังหารผู้อื่น ? ”
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก ภายในใจของอันหลิงอีก็เกิดความตระหนก แต่หลี่ซื่อได้สอนวิธีเผชิญหน้าให้นางแล้ว นางจึงนิ่งไปครู่หนึ่งและมิได้กล่าวสิ่งใดพลางปล่อยให้น้ำตารินไหลออกมาแทน
เมื่อเห็นน้ำตาของนางรินไหลออกมา อันอิงเฉิงก็มิกล้าเอ่ยถามอันใดออกมาอีก
เป็นหลี่ซื่อที่อยู่ด้านข้างเอ่ยออกมาแทน “ท่านพี่ เรื่องนี้พอกลับมาที่จวน อีเอ๋อได้เล่าให้ข้าฟังแล้วเจ้าค่ะ”
“ตอนอยู่ที่งานเลี้ยงจวนติ้งกั๋วกง ฝ่ายติ้งกั๋วกงฮูหยินให้เหล่าคุณหนูออกไปเดินเล่นในสวน แต่อีเอ๋อมิทันระวังจึงเผลอชนคุณหนูของจวนราชครูตกน้ำเจ้าค่ะ”
หลี่ซื่อกล่าวเสร็จก็ถอนหายใจออกมาแล้วยื่นมือไปตีอันหลิงอีหนึ่งที
“ข้าได้แต่โทษที่นางประมาทเพราะนั่นคือชีวิตคน ต่อให้ภายหลังอีเอ๋อจักขอโทษและอีกฝ่ายก็ให้อภัยแล้ว ยังถือว่านางทำผิดอยู่ดี ท่านแม่ลงโทษนางถือว่าสมควรแล้วเจ้าค่ะ”
หลี่ซื่อใช้วิธียอมถอยเพื่อเอาชนะ แม้นางบอกว่าอันหลิงอีสมควรโดนลงโทษและบอกว่าอีกฝ่ายก็ให้อภัยอันหลิงอีแล้ว ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ายังดึงดันที่จักลงโทษอันหลิงอีมิเลิก
อันอิงเฉิงได้ยินว่าอันหลิงอีได้รับการให้อภัยจากเฉินเฉินแล้วจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ขอเพียงคนมิเป็นอันใดก็พอ เรื่องนี้ย่อมมิถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อันใด
เช่นนั้นเขาจึงหันไปมองฮูหยินผู้เฒ่า “ท่านแม่ขอรับ ในเมื่ออีเอ๋อขอโทษและคนของจวนราชครูก็มิได้สืบสาวราวเรื่องอันใด เรื่องนี้ก็ปล่อยไปเถิดขอรับ ท่านแม่อย่าโมโหไปเลย เรื่องของเด็ก ๆ ก็ให้พวกเด็ก ๆ ไปคุยกันเองเถิดขอรับ”
ขณะเดียวกันดวงตาของอันหลิงเกอก็เปล่งประกายออกมาเมื่อสังเกตเห็นรอยยิ้มได้ใจของหลี่ซื่อ
นางจึงชิงกล่าวแทนฮูหยินผู้เฒ่าว่า “ท่านพ่อคงยังมิทราบว่าเมื่อวานนี้ท่านราชครูได้ส่งคนมาที่จวนโหวของเราเพื่อมอบของขวัญแทนคำขอบคุณ ต่อหน้าทำเป็นบอกว่าขอบคุณที่สาวใช้ของลูกช่วยคุณหนูของพวกเขาเอาไว้ แต่ทุกคำที่กล่าวออกมาล้วนแต่ชี้ให้เห็นถึงความผิดของน้องหญิงสาม หากมิใช่เพราะเหตุนี้ ท่านย่าก็คงมิทราบเรื่องและยิ่งมิมีทางโกรธถึงเพียงนี้หรอกเจ้าค่ะ”
คำกล่าวของอันหลิงเกอสื่อให้เห็นว่าจวนราชครูมิได้อภัยให้อันหลิงอี เพียงแต่เกรงว่าจักเสียหน้าจึงมิสามารถพูดตามตรงได้ และอาศัยเรื่องส่งของขวัญขอบคุณเพื่อมาบอกเรื่องนี้ให้ฮูหยินผู้เฒ่าทราบ
อันอิงเฉิงที่มิรู้แม้แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในศาลาจวนติ้งกั๋วกงก็ย่อมมิมีทางรู้เรื่องที่จวนราชครูส่งคนมามอบของขวัญให้อย่างแน่นอน
ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันทีเมื่อฟังคำบอกเล่าของอันหลิงเกอจบ เพราะการที่ราชครูทำเช่นนี้เท่ากับว่าต้องการให้พวกเขาจัดการอันหลิงอีแทน
และในเวลานี้หลี่ซื่อก็ฝืนยิ้มออกมา แววตาเต็มไปด้วยความชั่วร้ายอยากฆ่าอันหลิงเกอให้ตายไปเสีย “เกอเอ๋อ เจ้าพูดเป็นเล่นไปได้ คุณหนูของจวนราชครูให้อภัยอีเอ๋อแล้วจักให้คนเอาเรื่องนี้มาฟ้องอีกได้เยี่ยงไร ? ”
“หลังจากคุณหนูเฉินกลับจวนไปแล้วได้ตามท่านหมอมาดูอาการ ท่านราชครูจึงได้ทราบว่านางตกน้ำจนมิสบาย จากนั้นจึงให้คนมาที่จวนของเรา”
อันหลิงเกอเล่าเรื่องนี้ออกมาอย่างละเอียดว่าผู้ที่ส่งคนมายังจวนโหวมิใช่เฉินเฉินแต่เป็นท่านราชครู ความหมายที่ได้ย่อมแตกต่างกัน
หากเฉินเฉินส่งคนมาที่จวนโหวก็ถือเป็นเรื่องเข้าใจผิดระหว่างเด็กสาว อันหลิงอีแค่ขออภัยแล้วส่งของไปให้เพื่อเป็นการขอโทษก็สิ้นเรื่อง
แต่คนที่ส่งมากลับเป็นคนของท่านราชครูย่อมแสดงให้เห็นถึงท่าทีของราชครูแห่งองค์รัชทายาทว่าหากจวนโหวมิสามารถทำให้เขาพอใจได้ เขาก็สามารถถวายฎีกาให้ฮ่องเต้ได้ทันที
อันอิงเฉิงที่ทราบถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้จึงมีท่าทีครุ่นคิดอย่างหนัก
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงหันไปมองค้อนหลี่ซื่อ “ที่ข้าให้อีเอ๋อไปคุกเข่าสำนึกผิดก็เพื่อตัวนางเอง หากราชครูเอาเรื่องจวนโหวไปทูลให้ฝ่าบาททรงทราบ เรื่องที่นางเกือบฆ่าคุณหนูจวนราชครูก็จักแพร่ออกไปให้คนภายนอกรับรู้ ถึงตอนนั้นผู้ใดยังกล้ามาสู่ขอสตรีใจคอโหดเหี้ยมเช่นนี้อีก ? ”