ตอนที่ 258: ใครเป็นคนทำ ?

เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god)

ตอนที่ 258: ใครเป็นคนทำ ?

เจี้ยนเฉินนั่งอยู่บนเตียงพร้อมทั้งมีแกนอสูรระดับ 4 อยู่ในมือแต่ละข้าง ในขณะที่เขากำลังดูดซับพลังงานเข้าสู่ร่างกายของเขา หลังจากที่เขาได้กลายเป็นเซียนผู้เชี่ยวชาญพิเศษแล้ว ปริมาณพลังงานที่เขาสามารถดูดซึมเข้าไปได้ก็เพิ่มขึ้นมากจนเขาโล่งใจ หลังจากที่จิตวิญญาณกระบี่ม่วง-ฟ้าตื่นขึ้นมา พลังงานที่พวกเขาเอาไปจากเจี้ยนเฉินก็ลดลงอย่างมาก ในตอนนี้ เขาสามารถูดซึมพลังงานจากแกนอสูรได้กว่าครึ่ง เทียบกับก่อนหน้านี้ที่ไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนในตอนที่จิตวิญญาณกระบี่ดูดเอามันไป

ในตอนนี้จิตวิญญาณกระบี่ม่วง-ฟ้าได้ตื่นขึ้นมาและมีความคิดเป็นของตัวเองแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่ได้พูดคุยกับเจี้ยนเฉินบ่อยนัก พวกเขาสื่อสารกับเจี้ยนเฉินด้ยวิธีเฉพาะและบางครั้งก็ติดต่อกับเขาด้วยวีธีที่ลึกลับ

ภายในตระกูลไค่ หลังจากที่เจี้ยนเฉินเริ่มฝึกฝนแล้ว คนของกลุ่มทหารรับจ้างอัคนีทั้งหมดก็เอาแกนอสูรหลายอันออกมาและเริ่มฝึกฝนฝนตัวเอง แต่ละคนรู้สึกกดดันอย่างมากในการที่ตระกูลเซียและนิกายเทียนหัวปรากฎตัวออกมา แม้ว่าพวกเขาจะเป็นคนใหม่ของกลุ่มทหารรับจ้างอัคนีและรู้จักเจี้ยนเฉินได้ไม่นาน แต่คำพูดและการกระทำของเขาก็ทำให้ทุกคนรับรู้และเคารพ

ในพริมตาเดียว หนึ่งวันเต็มก็ผ่านไปและกลางคืนก็ย่างเข้ามา ตั้งแต่ที่นิกายเทียนหัวจากไป ตระกูลไค่ก็สงบมากโดยที่ไม่มีใครสักคนมากวนเลย

2,000 กิโลเมตรห่างออกไปในป่าทึบบนภูเขา มีเส้นทางที่เป็นหญ้าอยู่ กระโจมจำนวนมากตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน ในขณะที่มีฝูงหิ่งห้อยบินอยู่และเปล่งแสงให้ท้องฟ้ายามค่ำคืน

นิกายเทียนหัวตั้งอยู่ในเขตชายแดนของอาณาจักรวายุคราม พวกเขาสะสมกำลังมานับร้อยปี และหลังจากที่ผ่านร้อยปีนั้นมา พวกเขาก็ผ่านการบ่มเพาะนั้นมาได้ในที่สุด พวกเขามีลูกศิษย์ที่เป็นเซียนผู้เชี่ยวชาญพิเศษอยู่อย่างน้อย 50 คน ทำให้นิกายของพวกเขาเป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดในรัศมีหลายพันกิโลเมตรอบ ๆ

ภายในห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง มีชายสวมเครื่องแบบ 2 คนนั่งอยู่ตรงข้ามกัน

“ศิษย์พี่ สถานการณ์เป็นเช่นนี้ ข้าไม่รู้ว่าข้าควรจะทำอย่างไรดี ? ” ชายวัยกลางคนพูดออกมาอย่างเคร่งเครียด เขาคือฉิงหยุน หลังจากที่กลับไปที่นิกายเทียนหัว เขาก็รายงานเรื่องที่เขารู้มาจากเมืองเวคให้กับหัวหน้านิกายฟัง

ชายที่อยู่ในเครื่องแบบที่นั่งอยู่ตรงข้ามของฉิงหยุนเงียบไปสักพัก ชายคนนี้เป็นหัวหน้าของนิกาย ฉิงเทียน เขาแก่กว่าฉิงหยุนอยู่ 5 ปี และในขณะที่อายุของพวกเขาไม่ได้ต่างกันมากนัก แต่ฉิงเทียนก็ข้ามคอขวดและกลายเป็นเซียนปฐพีได้ ด้วยพรสวรรค์ของเขา การฝึกฝนของเขานั้นเร็วอย่างน่าตกตะลึง ในขณะที่ฉิงหยุนยังเป็นเซียนผู้เชี่ยวชาญพิเศษขั้นสูงอยู่

ฉิงเทียนครุ่นคิดกับตัวเองก่อนที่จะพูดออกมาเบา ๆ “แม้ว่าแกนอสูรระดับ 5 จะค่อนข้างมีค่า แต่มันก็ไม่ใช่ประเมินค่าไม่ได้ มันหาได้ทั่วไปในเมืองใหญ่ ดังนั้น แม้ว่าเจี้ยนเฉินไม่ต้องการที่จะขายมัน ก็ไม่เป็นไร มันคงเป็นประโยชน์กับพวกเรามากที่สุดถ้าพวกเราไม่ไปยุ่งกับเขา ข้ารู้สึกว่าเจี้ยนเฉินคนนี้ลึกลับกว่าที่ตาเห็น ถ้าพวกเราไปหาเรื่องเขา นิกายเทียนหัวของพวกเราอาจจะเจอปัญหาได้”

“ศิษย์พี่ ท่านกังวลเกี่ยวกับคนมีอำนาจที่หนุนหลังเจี้ยนเฉินอยู่หรือเปล่า ? ” ฉิงหยุนพูดออกไปด้วยท่าทางเคร่งเครียด

ฉิงเทียนพยักหน้า “ถูกต้อง ข้ากังวลในใจนิดหน่อย อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะมีคนมีอำนาจคอยหนุนหลังอยู่หรือไม่ พรสวรรค์ในการฝึกฝนของเขาก็พอที่จะทำให้คนอื่นตกตะลึงได้แล้ว คนที่มีอายุ 20 ปีซึ่งมีความแข็งแกร่งในระดับนั้นบนทวีปเทียนหยวนนั้นมีน้อยจนนับนิ้วได้ด้วยมือเดียว ถ้าให้เวลาเจี้ยนเฉินมากกว่านี้ ข้าอยากรู้ว่าเจี้ยนเฉินจะกลายเป็นจอมยุทธแบบไหน”

“ในตอนนี้ พวกเรายังไม่ได้ไปทำอะไรเขา พวกเราไม่สามารถที่จะไปหาเรื่องอัจฉริยะเช่นเขาเพื่อแกนอสูรระดับ 5 เพียงอันเดียวได้ ศิษย์น้อง พรุ่งนี้ เจ้ากลับไปที่เมืองเวคและถ้าเป็นไปได้ ไปตีสนิทกับเจี้ยนเฉินเอาไว้ด้วย”

ฉิงหยุนพยักหน้า “ศิษย์พี่ ข้าไม่คิดว่าความคิดของพวกเราจะเหมือนกัน ข้ากังวลเรื่องนี้เหมือนกัน ดังนั้นนี่เป็นเหตุผลที่ข้ากลับมารายงานท่าน”

ฉิงเทียนยิ้มก่อนที่จะมองฉิงหยุนอย่างเคร่งเครียด “ศิษย์น้อง เจ้าอยู่ในระดับเซียนผู้เชี่ยวชาญพิเศษขั้นสูงสุดแล้ว ใครจะไปรู้ว่าเจ้าจะกลายเป็นเซียนปฐพีได้เร็วขนาดไหนถ้าเจ้ามีแกนอสูรระดับ 5”

หลังจากนั้น ฉิงหยุนก็ถอนหายใจออกมาด้วยความเสียใจก่อนที่จะส่ายหน้า “ไม่ แม้ว่าแกนอสูรระดับ 5 จะเพิ่มโอกาสของข้าได้ แต่มันก็ยังไม่ได้ยืนยันความสำเร็จได้ ถ้าข้าเสียอาวุธเซียนในขั้นตอนนี้ไป มันก็คงจะยากมากที่จะสร้างมันขึ้นมาใหม่” ฉิงหยุนหยุดสักพักก่อนที่จะพูดขึ้นมาอีกครั้ง “ศิษย์พี่ มันก็ดึกมากแล้ว ข้าจะไปนอนก่อน ข้าจะไปที่เมืองเวคในตอนเช้าเลย”

หลังจากนั้น ฉิงหยุนก็ออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว

ในเวลาเดียวกัน ลึกเข้าไปในภูเขาอีกลูกที่อยู่ห่างออกไปพันกิโลเมตร มีอาคารที่ตั้งตระหง่านอยู่เหนือป่า นี่เป็นคฤหาสน์ของตระกูลเซีย

ตระกูลเซียอยู่ที่คฤหาสน์นี้มาหลายสิบปีแล้ว หัวหน้าตระกูลคนแรกเป็นเซียนปฐพี และเพราะการมีอยู่ของเขา ตระกูลเซียจึงมีอำนาจอันดับหนึ่งในอาณาเขตนี้

อย่างไรก็ตาม สำนักงานใหญ่ของตระกูลเซียก็ไม่ได้อยู่ในเมือง เพื่อความสะดวกและไม่มีข้อห้ามอะไร พวกเขาจึงตั้งสำนักงานใหญ่ทั่วไปที่เมืองชั้นสองที่อยู่ห่างหลายสิบกิโลเมตรออกไป

ในตอนนี้ ภายในโถงของตระกูลเซีย ชาย 20 คนนั่งอยู่เงียบ ๆ ที่โต๊ะพร้อมกับแคร่หามที่มีผ้าขาวปกคลุมอยู่ใกล้ใกล้ ภายใต้ผ้าสีขาวนี้มีร่างของคนผู้หนึ่งพร้อมรอยเลือดเล็กน้อย เพราะภาพนี้ ทำให้อารมณ์ของคนที่อยู่ในโถงเศร้าหมอง

จากนั้น ชายชราชุดขาวที่มีหนวดก็เดิมมาด้านหน้า เขานั่งลงด้านหน้า ผู้เฒ่ามองไปที่กลุ่มที่รวมกันอยู่ตรงหน้าเขาที่มองเขากลับมาอย่างเคารพ

“พวกเราขอคำนับท่านหัวหน้า ! “

ในตอนที่ผู้เฒ่านั่งลง ชายทั้งยี่สิบคนก็ลุกออกจากที่นั่งเพื่อที่จะคำนับผู้เฒ่า

ผู้เฒ่ามองไปที่ทุกคนเป็นเวลาสั้น ๆ ก่อนที่จะมองไปที่แคร่ ใบหน้าของเขาดูสับสนก่อนที่จะโบกมือ “พวกเจ้านั่งลงได้”

“ขอรับ ท่านหัวหน้า ! “

ในตอนนี้ทุกคนก็นั่งลงในที่สุด แต่ละคนเห็นถึงใบหน้าที่ไร้ความกังวลและสงบของผู้เฒ่า จากที่เห็นแบบนี้ ทุกคนก็บอกได้ว่า อารมณ์ของผู้เฒ่านั้นยังดีอยู่

ผู้เฒ่ามองไปที่แค่ที่อยู่กลางโถงต่อเป็นเวลานานก่อนที่จะถอนหายใจ เขาลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วเดินไปช้า ๆ เพื่อที่จะเอาผ้าที่ปิดออก

ต่อหน้าเขา มีชายที่ดูมีสายตาว่างเปล่าที่จ้องไปบนเพดานนอนอยู่ ที่คอของเขา มีรอยแผลเดียวที่มีเลือดอยู่ตรงนั้น

ผู้เฒ่าปิดตาของชายคนนั้นลงอย่างช้า ๆ ด้วยมือของเขาก่อนที่เอาผ้าปิดหน้าของเขา จากนั้นเขาก็กลับไปยังที่นั่งและนั่งลง ก่อนจะมองไปที่ทุกคน “เกิดอะไรขึ้นที่นั่นกันแน่ ใครเป็นคนฆ่าลุยเซิ่ง?” น้ำเสียงของผู้เฒ่าสงบ แต่ทุกคนรู้ว่าในใจของผู้เฒ่านั้นเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว