เจียงหลีแสดงสีหน้าแปลกใจออกมา จู่ๆ นางก็ย่อตัวลงนั่งขัดสมาธิบนทางเดินในสุสาน จากนั้นจึงจดจ่อไปที่ประตูสุสานบานนั้นแล้วขมวดคิ้ว
“ประตูสุสานที่ปิดถึงจะเป็นเรื่องปกติ แต่ประตูบานนี้กลับเปิดออกมาให้ท่าเรียกแขกเยี่ยงนี้ ข้าจะเข้าไปดีหรือเปล่าน้า”
เจียงหลียกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคาง ดวงตาคู่งามหรี่ลงแสดงถึงความเกียจคร้านออกมา
ภายใต้ท่าทีที่ดูเหมือนสบายๆ แต่นางกลับกำลังพิจารณาอย่างรวดเร็ว
เพราะเหตุใดนางถึงได้แยกกับพวกลู่เสวียน หรือถูกสุ่มให้มาอยู่ที่ไหนสักแห่งในสุสาน แล้วลู่เสวียนกับเหวินเหรินชิ่งชิ่งล่ะ ได้แยกจากกันหรือไม่
ประตูด้านหน้าถึงได้เปิดออกอย่างผิดปกติเหมือนกำลังเสนอเชิญชวน
ด้านหลังประตูจะเป็นอะไร
เจียงหลีหรี่สายตาครุ่นคิดราวกับกำลังนอนหลับก็มิปาน นางนั่งเงียบๆ อยู่เช่นนี้โดยไม่รีบร้อนเสมือนไร้ความกังวลใดๆ เพราะการเสียเวลาจะทำให้นางคว้าน้ำเหลวจากการฝึกประสบการณ์ครั้งนี้
นางนั่งอยู่เช่นนี้ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่จนกระทั่งเจียงหลีรู้สึกง่วงเหงาหาวนอนจริงๆ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมา
“ยังไม่เข้ามาอีกรึ!”
หืม อะไรน่ะ
เจียงหลีลืมตาโพลง สายตาอันแหลมคมทอดมองออกไป
“ใครน่ะ” นางลุกยืนขึ้นมองด้านหลังประตูที่เปิดออก นึกไม่ถึงว่าในสุสานโบราณมีคนอยู่ หรือว่าจะเป็นคนของตระกูลไป๋เซี่ยง
เสียงของคนแปลกหน้าทำให้เจียงหลีคาดเดาในใจ
นางจ้องประตูบานนั้นเขม็ง มีแสงสว่างลอดมาจากด้านหลังประตู ทำให้รู้สึกถึงแสงสว่างจากด้านนอก
“เข้ามาสิ” เสียงจากด้านในประตูเร่งเร้าอีกครั้ง
เจียงหลียังคงไม่ขยับกาย “เสียงใครที่แกล้งหลอกผีอยู่ในนั้น ออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”
“เหอะๆๆ”
เสียงหัวเราะดังลอดมาจากด้านในประตู และประโยคต่อมาก็ทำให้เจียงหลีรู้สึกขนลุก
“ข้าอยู่ในสุสานมาตั้งหลายปี ไม่ต้องแกล้งข้าก็เป็นผีอยู่แล้ว”
ฉิบหาย!
เจียงหลีเบิกตาโตและกลั้นหายใจ
แม้ว่านางจะเคยผ่านความตายมาแล้วแต่ถึงอย่างไรตอนนี้นางก็คือคนเป็นที่มีชีวิต จู่ๆ นางก็แสยะยิ้ม สายตาเฉียบคมจ้องไปที่ประตูบานนั้น “มาไม้นี้อีกแล้ว หากตายไปแล้วจริงๆ ยังจะสามารถพูดกับข้าอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
“อายุน้อยแต่คารมคมคายไม่น้อยเลยนี่ ช่างเถอะ ใครให้เจ้าเป็นผู้ถูกลิขิตกันล่ะ คิดไม่ถึงว่าจะฝึกถึงขั้น
หลิงเนี่ยนเฉกเช่นกัน”
คำที่เอ่ยออกมาจากด้านในประตูทำให้เจียงหลีสะเทือนไม่น้อย ตกใจยิ่งกว่าตอนที่เขาบอกว่าตัวเองเป็นผีเมื่อก่อนหน้านี้เสียอีก
“เจ้าเป็นใครกันแน่” นัยน์ตาของเจียงหลีดำดิ่ง กำไลข้อมือที่แอบซ่อนอยู่สามารถตกลงมาในฝ่ามือแล้วกลายเป็นจูเสียได้ทุกเมื่อ
แม้นางจะมีการฝึกพลังจิต แต่ตอนแรกที่เลือกฝึกเพราะนางต้องการพลังจิตเพื่อเสี่ยวหมีเจี้ยจื่อ นางใช้พลังจิตน้อยครั้ง นอกจากลู่เจี้ยแล้วก็ไม่มีใครรู้ว่านางฝึกฝนพลังจิตนี้
“อย่ากังวลไปเลยเจ้าเด็กน้อย เจ้าขี้ระแวงเช่นนี้ ข้าพูดอะไรไปเจ้าก็คงไม่เชื่อ มิสู้เข้ามาพิสูจน์เองไม่ดีกว่าหรือ” น้ำเสียงด้านในประตูฟังดูเป็นมิตร
เจียงหลีสบถเย็นชา “เจ้าให้ข้าเข้าไปข้าก็ต้องเข้าไปหรือ หากเจ้าวางกับดักข้าไว้ข้างในล่ะ”
“เจ้ามาที่แห่งนี้ ไม่ได้มาเพื่อเข้าไปในสุสานหรอกหรือ” เสียงจากด้านในประตูเอ่ยถาม
!
เจียงหลีสั่นสะท้านในใจ
ตอนนี้นางไม่ได้อยู่ในสุสานหรอกหรือ เหตุใดคนข้างในถึงยังเอ่ยว่า ‘เข้าไปในสุสาน’ อีก
ความอยากรู้อยากเห็นค่อยๆ เกิดขึ้นอย่างแข็งแกร่งในใจของเจียงหลี นางขยับปลายเท้าแต่ก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม “สหายของข้าอีกสองคนล่ะ”
บัดนี้นางสงสัยเต็มประดาว่าคนข้างในประตูนั้นเป็นคนที่ทำให้นางแยกจากพวกลู่เสวียน
“พวกเขาหรือ ฮ่าๆ” คนด้านในประตูหัวเราะเสียงเบา “อยู่ในสุสานลวงด้านนอก ไม่เป็นอะไรหรอกน่า”
สุสานลวงอย่างนั้นหรือ
เจียงหลีเบิกตาค้าง มองแสงสว่างที่ลอดผ่านประตูสุสานด้วยความประหลาดใจ
“ข้าพูดอยู่ตั้งนานสองนาน ตกลงเจ้าจะเข้ามาหรือไม่” ขณะนี้ดูเหมือนน้ำเสียงของคนด้านในประตูชักจะหมดความอดทนเสียแล้ว
ดวงตาของเจียงหลีเป็นประกายวูบไหว นางกระตุกคิ้ว “เข้าก็เข้า! ใครกลัวกันเล่า” เมื่อพูดจบนางก็ก้าวเท้าอย่างไม่รีบร้อนแล้วมุ่งหน้าไปยังประตูสุสานที่เปิดค้างไว้
เมื่อก้าวข้ามธรณีประตู แสงอันเจิดจ้าก็เข้าห้อมล้อมนางเอาไว้ เมื่อแสงกระจายหายไปในขณะที่สายตาของเจียงหลีพร่ามัว หูของนางก็ได้ยินเสียงของนกร้อง
ในสุสานจะมีนกได้อย่างไร เจียงหลีนึกแปลกใจ
จากนั้นก็ได้กลิ่นหญ้าอ่อนๆ และกลิ่นดินโคลนลอยเข้าจมูกของนาง
สายตาค่อยๆ คมชัดขึ้นจนในที่สุดเจียงหลีก็เห็นภาพตรงหน้าชัดเจน “ที่นี่…เป็นไปได้อย่างไร” หลังจากที่มองภาพชัดเจนแล้วนางก็ตกใจ
สิ่งที่อยู่ตรงหน้ามิใช่สุสานแต่อย่างใด แต่กลับเป็นดินแดนแห่งหมู่วิหคและมวลบุบผา
ใต้ฝ่าเท้านางเหยียบผืนหญ้าเขียวขจี ไม่ไกลนักมีดอกไม้บานหลากสีสันสลับทับซ้อน ส่วนลึกของพุ่มดอกไม้ยังมีลำธารน้ำไหลสายเล็กๆ ในบางครั้งมีวิหคน้อยขนสีสดใสบินมาหยุดกินน้ำริมลำธาร ทั้งในทุ่งดอกไม้ยังมีผีเสื้อโบยบิน ช่างเป็นบรรยากาศที่สงบร่มเย็นยิ่งนัก
อีกด้านมีกระท่อมไม้ไผ่หลังหนึ่งล้อมรอบด้วยรั้วไม้ สวยงามเงียบสงบตัดขาดจากโลกภายนอก
ที่แห่งนี้มีตรงไหนที่เรียกว่าสุสานบ้าง เห็นได้ชัดว่าตัดขาดจากโลกภายนอกเยี่ยงนี้ เจียงหลีอุทานในใจ
“ข้าเข้ามาแล้ว เจ้าอยู่ตรงไหน” เจียงหลีเก็บซ่อนความตะลึงในใจแล้วเอ่ยถามเสียงดัง เจ้าของเสียงของผู้ที่อยู่ด้านหลังประตูไปไหนเสียแล้ว
แต่ทว่า หลังจากที่นางเหยียบเข้ามาที่นี่ เสียงของคนที่สนทนากับนางตลอดนั้นกลับหายไป
เจียงหลีขมวดคิ้วมุ่น ขยับเข้าไปใกล้กระท่อมไม้ไผ่อย่างระมัดระวัง โลกในนี้ไม่ใหญ่นัก เว้นเสียแต่ทิวทัศน์ระยะใกล้แล้ว ทิวทัศน์ข้างนอกที่ไกลออกไปปกคลุมไปด้วยหมอกจนมองเห็นไม่ชัดเจน และเห็นเพียงภูเขาลอยเลื่อนหลบซ่อนอยู่ท่ามกลางม่านหมอก
เมื่อนางเข้ามาใกล้ก็หยุดเดินอยู่ตรงหน้ารั้วแล้วตะโกนเรียก “เจ้าอยู่ไหน”
เมื่อสิ้นเสียงแต่ก็ยังคงไม่มีการตอบกลับมา
ความแปลกประหลาดเยี่ยงนี้ทำให้เจียงหลีขมวดคิ้วมุ่น “ข้าเข้ามาแล้ว แต่เจ้ากลับมัวหลบซ่อนอยู่ทำไม”
“ข้าอยู่ที่นี่มาโดยตลอด เจ้ามองไม่เห็นข้ากลับโทษข้าอย่างนั้นรึ” เสียงนั้นปรากฏขึ้นอีกครั้ง
เจียงหลีหันขวับมองไปข้างหลังอย่างระแวง
เมื่อครู่นี้นางรู้สึกเหมือนเสียงจะดังมาจากข้างหลังของนาง แต่ทว่าข้างหลังนางกลับว่างเปล่าไม่มีใครสักคน สายตาของนางสอดส่องอยู่ตลอดแล้วเอ่ยเสียงถาม “ข้าอยู่ที่นี่ ไม่เห็นใครสักคน อีกอย่างที่นี่คือที่ไหน”
“เข้ามา” เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง
ครืด!
เมื่อสิ้นเสียง ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก
เจียงหลีหรี่ตาจ้องประตูเล็กๆ ที่เปิดออก นางค่อยๆ เลื่อนสายตาขึ้นมองกระท่อมไม้ไผ่
เจียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปในประตูเล็กแล้วยืนในลานของกระท่อมไม้ไผ่
“ข้ารอเจ้าอยู่ในกระท่อม เพียงแต่เจ้ากับข้าถูกคั่นด้วยพลังของหยินและหยาง ไม่มีสิ่งใดมาต้อนรับเจ้าหรอกนะ” เสียงนั้นปรากฏขึ้นอีกครั้ง
คราวนี้เจียงหลีสังเกตเห็นว่าดูเหมือนเสียงจะมาจากทุกทิศทาง
หลังจากสำรวจรอบๆ อย่างระมัดระวัง เจียงหลีจึงเดินเข้าไปในกระท่อม
นางเหยียบบันไดไม้ไผ่จนมันเกิดเสียง ‘เอี๊ยดอ๊าด’ ทุกอย่างสมจริงเยี่ยงนี้ทำให้นางไม่อยากเชื่อสายตาของตนเอง
สิ่งเดียวที่ทำให้นางคิดไม่ตกก็คือ เมื่อครู่นี้เห็นได้ชัดว่านางอยู่บนทางเดินในสุสาน
“ที่เจ้าบอกว่าสุสานลวง หมายความว่าอย่างไร” เจียงหลียืนตรงทางเข้า แต่จู่ๆ กลับหยุดเดินแล้วเอ่ยถาม
“สุสานลวง” เสียงนั้นเรียบนิ่งลง ก่อนจะเอ่ยตอบ “แน่นอน มีไว้เพื่อสร้างความสับสนให้กับผู้คน และแน่นอน เพื่อให้สมจริงจึงวางลูกเล่นกลไกบางอย่างในสุสาน แต่ของดีจริงๆ กลับอยู่ที่กระท่อมไม้ไผ่แห่งนี้ต่างหากเล่า เจ้าไม่ตื่นเต้นสักนิดเลยหรือ”