ดังนั้น
ทุกอย่างเห็นอยู่ตรงหน้าถึงจะเป็นสุสานของจริงต่างหากเล่า!
เจียงหลีหรี่ตาตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
กระท่อมไม้ไผ่หลังนี้ ทุ่งหญ้าเขียวขจีและทุ่งดอกไม้หอมแห่งนี้คือสุสานอย่างนั้นหรือ ล้อเล่นหรือเปล่า
“ข้ารู้ว่าเจ้าแอบสงสัยในใจไม่หยุด แต่คำตอบทุกอย่างอยู่ในกระท่อมนี้แล้ว เมื่อเข้ามาเจ้าก็จะรู้ทุกเรื่องเอง” น้ำเสียงนั้นกำลังปลุกปั่นเจียงหลี
หลังจากครุ่นคิดในใจ เจียงหลีก็เม้มริมฝีปากแล้วก้าวเข้าไปข้างในกระท่อมไม้ไผ่
สิ่งของตกแต่งภายในกระท่อมสวยงามหรูหราเช่นเดียวกับภายนอก
เมื่อเจียงหลีเข้าไปในกระท่อมแล้วกลับตะลึงงัน ภายในกระท่อมมีชายผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิหันหลังให้นาง
“เป็นเจ้าที่สนทนากับข้าใช่หรือไม่” เจียงหลีหยุดอยู่ด้านหลังคนผู้นั้นแล้วเอ่ยถาม
“เป็นข้าเอง” น้ำเสียงเฉกเช่นเดียวกัน แต่คราวนี้ไม่ได้มาจากทุกสารทิศอีกแล้ว และน้ำเสียงนั้นดังออกมาจากปากของชายตรงหน้า
เจียงหลีหัวเราะอย่างนึกขันแล้วยกมือขึ้นมากอดอก “เจ้าบอกว่าตัวเองตายเป็นผีเฝ้าสุสานแล้วมิใช่หรือ ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ”
“ข้าเป็นเจ้าของสุสานแห่งนี้เอง หากไม่ให้ข้าอยู่ที่นี่แล้วจะให้ข้าไปอยู่ไหนเล่า” น้ำเสียงนั้นดูขี้เล่นยิ่งกว่านางเสียอีก
“เจ้าว่าอะไรนะ” เจียงหลีเก็บสีหน้าล้อเล่นเอาไว้แล้วปล่อยแขนลง จากนั้นจึงจ้องมองแผ่นหลังของเขาด้วยสายตาจริงจัง
ก่อนหน้านี้ที่ได้สนทนากับเขา เจียงหลีก็แอบคาดเดาถึงสถานะของเขา เพียงแต่ยังไม่มั่นใจ แต่เวลานี้พอได้ยินเขาพูดออกมาเองก็ยังตกใจอยู่ดี
คล้ายกับว่า
ทุกคนต่างคิดว่าเจ้าของไม่อยู่บ้านเลยมาวุ่นวายที่นี่ แต่กลับไม่คิดว่าเจ้าของจะอยู่บ้านพอดี และรู้สึกจะเห็นทุกอย่างชัดเจน
“ข้าบอกว่าข้าเป็นเจ้าของสุสาน” ชายหนุ่มพูดย้ำอีกครั้ง
“เจ้ายังไม่ตายหรือ” เจียงหลีจ้องเงาหลังของเขา ไม่ได้รู้สึกถึงกลิ่นไอแห่งความตายเลยสักนิด ราวกับกำลังสนทนากับคนปกติ
“ตายแล้ว” เขาให้คำตอบที่แน่นอนอีกครั้ง
“…” เจียงหลีไม่เชื่อ คนที่ตายไปแล้วยังสามารถคุยกับนางเหมือนปกติได้เยี่ยงไร นางไม่เข้าใจว่านี่เป็นแสงแห่งวิญญาณที่หลงเหลืออยู่หรือเป็นความประสงค์ที่เหลืออยู่
“ไม่เชื่อหรือ” เขารู้สึกถึงความสงสัยของเจียงหลี
เจียงหลีสบถเสียงเย็น “เชื่อยากจริงๆ”
“เจ้าเข้ามาดูเองก็จะรู้ว่าข้าไม่ได้โกหก” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
ดวงตาเจียงหลีเป็นประกายวูบไหวก้าวไปข้างหน้าค่อยๆ เข้าใกล้ชายหนุ่ม เพราะนางกลัวว่าชายหนุ่มจะลงมือจู่โจมกะทันหัน ทั้งยังจงใจเดินอ้อมแล้วจู่ๆ นางก็หยุดเดิน จับตามองร่องรอยบนพื้นตรงหน้าของเขา
เห็นได้ชัดว่าร่องรอยเหล่านั้นถูกทิ้งไว้จากการต่อสู้ที่ดุเดือดหักมุมและลึกล้ำ
เมื่อเห็นร่องรอยพวกนี้เจียงหลีก็ไม่เข้าใจว่ากระท่อมไม้ไผ่เหลือดรอดจากการต่อสู้อันดุเดือดได้อย่างไร
เจียงหลีเดินหน้าต่อโดยอ้อมหน้าอ้อมหลังรอบชายหนุ่ม
เมื่อนางได้เห็นโฉมของชายหนุ่มอย่างชัดเจน ดวงตาทั้งคู่กลับหรี่ลง หน้าถอดสี ความหนาวเย็นขึ้นมาจากทางด้านหลัง ชายหนุ่มอะไรกัน ที่นั่งอยู่ตรงนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นโครงกระดูก หากไม่ได้สวมเสื้อผ้าและมีผมยาวปกคลุมแผ่นหลัง นางคงค้นพบเบาะแสตั้งนานแล้ว
“ตอนนี้เชื่อแล้วใช่ไหมล่ะ” เสียงดังลอดออกมาจากโครงกระดูกจริงๆ ด้วย
เจียงหลีสูดหายใจเข้าลึกๆ อดเชื่อในสิ่งที่เห็นไม่ได้ “สรุปแล้วทั้งหมดนี้เกิดอะไรขึ้น เจ้าบอกว่าเป็นเจ้าของสุสาน แต่เหตุใดตายแล้วถึงมานั่งตรงนี้ได้ เจ้าหลอกล่อข้าเข้ามาเพื่ออะไร”
“เจ้าดูข้างในสิ” โครงกระดูกกลับไม่ตอบคำถาม
เจียงหลีเบนสายตามองตามเขา ในฉากกั้นกลางกระท่อมไม้ไผ่เหมือนมีเงาร่างคนผู้หนึ่งที่นอนอยู่ตรงนั้น
ยังมีอีกคน เจียงหลีตกตะลึง
“นั่นคือภรรยาของข้า แม้นางจะมีร่างกายอ่อนแอแต่กลับอยู่บนหนทางเนี่ยนซือและมีพรสวรรค์อันน่าทึ่ง เสียดายอีกแค่เพียงก้าวเดียวนางก็จะบรรลุเป็นเนี่ยนจงแล้ว” โครงกระดูกเอ่ยขึ้น
เจียงหลีฟังเขาอธิบายอย่างตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าจะมีเนี่ยนซือนอนอยู่ในนั้น!
“และชั่วชีวิตการฝึกบำเพ็ญของข้า ก็มาหยุดอยู่ที่ขั้นหลิงจง”
“…”
ที่แห่งนี้เป็นสุสานของหลิงจง ข้อนี้เจียงหลีทราบดี เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เจียงหลีแปลกใจก็คือที่แห่งนี้ไม่ได้มีไว้แค่ฝังศพหลิงจงเท่านั้น แต่ยังมีเนี่ยนจงที่ฝึกมาได้แค่ครึ่งทางด้วย
ทันใดนั้นคำพูดของเหวินเหรินชิ่งชิ่งก็ลอยเข้ามาในหัว นางบอกว่ามีคนเคยพูดว่านี่คือสุสานโบราณของหลิงจง แต่อันที่จริงคือสุสานโบราณของเนี่ยนจงต่างหาก เกรงว่าเหตุผลอาจเป็นเช่นนี้
ที่นี่คือคือสุสานของสองสามีภรรยา!
“ในเมื่อเป็นสามีภรรยา เหตุใดหลังจากพวกเจ้าตายไปแล้วถึงได้อยู่คนละห้องล่ะ” เจียงหลีเอ่ยถาม
“เพราะว่า” น้ำเสียงเรียบนิ่งของโครงกระดูกที่นั่งขัดสมาธิขาดหายไป
เจียงหลีเบิกตามองเบ้าตาของโครงกระดูกที่น้ำตาไหลเป็นสายเลือด
“นางโกรธแค้นข้า ต่อให้ตายก็ไม่ยอมให้อภัยข้า”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเสียใจ เขานั่งอยู่ตรงนี้ราวกับกำลังสารภาพบาปกับภรรยา
“นางยังอยู่ตรงนี้หรือเปล่า” เจียงหลีหยั่งเชิงถาม
“ไม่ หลังจากมีจุดประสงค์ที่จะตายในใจ นางก็ได้บดขยี้ดวงวิญญาณของตัวเองให้แหลกสลายไปแล้ว” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แม้กระทั่งเจียงหลีที่เป็นคนนอกได้ยินเข้าก็สัมผัสได้ถึงความรักอันลึกซึ้งของชายหนุ่ม
“ในเมื่อเจ้ารักนางมากขนาดนี้ ทำไมถึงได้สร้างความแค้นให้กับนางเล่า” เจียงหลีถามเสียงเรียบนิ่ง
โครงกระดูกของหลิงจงค่อยๆ เอ่ยขึ้น “ข้าไม่รู้ว่านางจะเด็ดขาดถึงเพียงนี้ หากข้ารู้ก่อนว่าจุดจบจะเป็นเยี่ยงนี้ ข้าคงปล่อยวางทุกสิ่งอย่างแน่นอนแล้วก็ไม่ยอมให้นางต้องมาเป็นเช่นนี้ ข้าปล่อยให้นางตัดสินใจฆ่าตัวตายและเห็นนางตายไปต่อหน้าต่อตาข้า”
“…” เจียงหลีตกตะลึง
คิดไม่ถึงว่าเนี่ยนจงที่ฝึกมาได้ครึ่งทางผู้นี้จะตัดสินใจอัตวินิบาตกรรม
“ข้าอยากหยุดนาง แต่หยุดเอาไว้ไม่ทัน แม้ร่างกายของเนี่ยนซือจะอ่อนแอแต่ขั้นตอนกลับแปลกมาก ค่ายกลที่นางปิดผนึกข้างในห้องไม่ให้ข้าเข้าใกล้แต่กลับให้ข้าต้องมาเห็นนางตายไปต่อหน้าต่อตา ข้ารู้นางต้องการทรมานให้ข้าเจ็บปวดและเสียใจ ข้าเสียใจและเจ็บปวดแล้ว ข้าขอร้องให้นางปล่อยข้าเข้าไป แต่ก็แก้ไขอะไรไม่ได้เสียแล้ว”
สายตาของเจียงหลีจ้องมองร่องรอยการต่อสู้ตรงหน้าอีกครั้งในขณะที่เขากำลังพูด
นี่อาจเป็นสิ่งที่เขาทิ้งไว้ตอนที่เขาต้องการทำลายค่ายกลเข้าไปกระมัง
ค่ายกลของเนี่ยนซืออย่างนั้นหรือ
เหอะ!
เจียงหลีก็รู้สึกเช่นเดียวกัน วันนั้นนางถูกลู่เจี้ยสร้างค่ายกลกักขังไว้ในสถาบัน นางเองก็เคยได้สัมผัสความสิ้นหวังและความโกรธที่ทำอะไรไม่ได้
เป็นคนที่รักเช่นเดียวกัน ความโชคดีเดียวของนางคือสามารถทำลายค่ายกลในเฮือกสุดท้ายแล้วเพื่อไปให้ทันได้อยู่เคียงข้างลู่เจี้ย แล้วหลิงจงตรงหน้าล่ะ ความเสียใจก่อนตายเมื่อตายไปแล้วก็ทดแทนไม่ได้
“ตกลงเจ้าทำเรื่องอะไรกันแน่ ถึงทำร้ายนางให้นางเด็ดขาดเพียงนี้” เจียงหลีถามต่อ
ฟังเรื่องราวมาตั้งนาน ความกลัวในใจของนางที่มีต่อหลิงจงได้หายไปหมดแล้ว
“ข้าทำอะไร ข้าแค่หวังเพียงเรื่องเดียว ข้าแค่มีความโลภที่ไม่ควรจะมี แค่หลงระเริงไปในสิ่งที่ไม่ควรหลงระเริง”
“สิ่งที่เจ้าพูดออกมา สมควรตายนับสิบล้านครั้ง!” เจียงหลีขมวดคิ้วขัดคำพูดของเขา ดวงตาคู่คมฉายแววเหยียดหยาม
“ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดหรอก” โครงกระดูเถียงลั่น เขาได้ยินน้ำเสียงดูถูกของเจียงหลีว่ามาจากการคาดเดาแบบไหน
“นั่นคืออะไร” เจียงหลีเอ่ยถามเสียงดัง
“มันคือกลองหิน กลองหินในตำนานอย่างไรเล่า” โครงกระดูกตะโกนลั่นด้วยเสียงสั่นเครือ
กลองหินอย่างนั้นหรือ
ความผิดปกติของเขาทำให้เจียงหลีหรี่ตามอง และก็เริ่มอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับกลองหินที่เขาเอ่ยถึง
……………………………