หิมะภายในตำหนักองค์ชายหนาขึ้นเรื่อยๆ ภายในห้องหนังสือเองก็หนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ คล้ายว่าข่ายพลังหยุดทำงานไปอย่างไรอย่างนั้น
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร องค์ชายจิ่งซินเอ่ยปากขึ้นมาอีกครั้ง น้ำเสียงฟังดูค่อนข้างเย็นยะเยือก กล่าวว่า “ไม่รู้ว่าจริงๆ ว่าควรทำอย่างไร เสด็จพ่อถึงจะพอพระทัย”
พระอาจารย์เหลียงกล่าว “ก็เหมือนอย่างตอนนี้แหละพะย่ะค่ะ ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น”
จิ่งซินมองเขา คล้ายต้องการจะกล่าวอะไร แต่ก็หยุดไป
เขาเข้าใจความหมายของพระอาจารย์ ไม่ต้องทำอะไร ก็ย่อมไม่มีทางทำผิดพลาด เช่นนั้นเสด็จพ่อก็ไม่มีเหตุผลที่จะมาไล่เขาออกไปจากเมืองเจาเกอ
เมื่อมีสำนักจงโจวและเรือนอี้เหมาค่อยสนับสนุน นั่นก็เท่ากับว่าเขามีการสนับสนุนจากทั้งราชสำนักและกองทัพอยู่ ถึงเสด็จพ่อจะยิ่งใหญ่แค่ไหน พระองค์ก็จำเป็นต้องอาศัยขุนนางในการปกครองอาณาจักร ยังไงก็ต้องคำนึงถึงท่าทีของพวกเขา แล้วก็ยิ่งต้องคำนึงถึงความเห็นของไพร่ฟ้าด้วย
แต่ตอนนี้หลังจากได้รับจดหมายฉบับนี้จากปู้เหล่าหลิน ตัวเองยังจะทำแบบนี้ได้อีกหรือไม่?
พระอาจารย์เหลียงกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่อาจปิดบังได้ องค์ชายทรงเขียนจดหมายด้วยตัวพระองค์เอง อธิบายเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบอย่างละเอียด จากนั้นขอให้อาจารย์เซียนเซี่ยงส่งจดหมายไปยังเขาอวิ๋นเมิ่ง”
ในดวงตาของจิ๋งซินมีความแน่วแน่ปรากฏขึ้นมา กล่าววว่า “อย่างนั้นก็เอาตามนี้ แต่จดหมายฉบับนี้ต้องให้เขาส่งให้ถึงมือท่านนักพรตไป๋”
พระอาจารย์เหลียงกล่าวว่า “แล้วก็ห้ามให้เรือนอี้เหมารู้เรื่องนี้เด็ดขาด”
จิ่งซินลุกขึ้นคารวะพระอาจารย์เหลียง พลางกล่าวว่า “ทางนี้คงได้แต่ต้องรบกวนท่านอาจารย์แล้ว”
พระอาจารย์เหลียงกล่าวว่า “ข้าจะไปคุยกับท่านปู้เป็นการส่วนตัวเสียหน่อย”
เขาเคยเรียนอยู่ที่เรือนอี้เหมามาหลายปี มีความสัมพันธ์ในฐานะศิษย์ร่วมสำนักกับปู้ชิวเซียวผู้เป็นเจ้าแห่งเรือนในเวลานี้ เพียงแต่เขาไม่มีความมั่นใจว่าจะกล่อมอีกฝ่ายได้
……
……
พริบตาเวลาก็ผ่านไปสองปี ฤดูใบไม้ผลิมาเยือนเมืองเจาเกออีกครั้ง
ชายอ้วนเจ้าของเหลาสุราผู้นั้นปรากฏตัวอยู่ในตำหนักขององค์ชายอีกครั้ง คล้ายว่าเขาจะอ้วนขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย แล้วก็ไม่รู้ว่าคนอย่างเขาจะเป็นคนใจกว้างได้อย่างไร
ครั้งนี้เขายื่นเงื่อนไขของปู้เหล่าหลินออกมาตรงๆ “ขอให้องค์ชายได้โปรดช่วยพวกข้าส่งคนคนหนึ่งเข้าไปในวัดไท่ฉาง”
เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ สายตาของพระอาจารย์เหลียงเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกเล็กน้อย เขากล่าวว่า “ในอดีตพวกเจ้าพยายามเข้าไปในวัดไท่ฉาง จนทำให้สำนักฝ่ายธรรมะพากันโกรธเกรี้ยว จึงได้เกิดเหตุการณ์ทำลายลานเมฆขึ้นมา เจ้าคิดว่าข้าจะรับปากพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
“ครั้งนี้มิใช่ครั้งนั้น ยิ่งไปกว่านั้นหากท่านพระอาจารย์ไม่วางใจ ท่านสามารถใช้ข่ายพลังปิดกั้นได้”
ชายอ้วนผู้นั้นยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “พวกข้าเพียงแค่อยากจะส่งจดหมายไปให้คนผู้หนึ่งในนั้น ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่น”
พระอาจารย์เหลียงนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวถามว่า “เพียงเท่านี้?”
ชายอ้วนกล่าว “เพียงเท่านี้”
พระอาจารย์เหลียงมองดูดวงตาของเขาพลางกล่าว “เจ้าน่าจะรู้ดีว่าจุดจบของคนส่งจดหมายจะเป็นเช่นไร?”
ชายอ้วนกล่าว “ตัวคนส่งจดหมายเองก็รู้ดี”
พระอาจารย์เหลียงกล่าวว่า “เจ้าเองก็เป็นคนส่งจดหมาย เช่นนั้นเจ้าเตรียมตัวตายแล้วหรือยัง?”
ชายอ้วนสีหน้าไร้ซึ่งความหวาดกลัว เขายิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “กระดาษเขียนจดหมายพลิกกลับมายังใช้เขียนได้อีกหน้าหนึ่ง ไม่แน่ว่าจะต้องถูกฉีกทิ้งลงตรงนั้น”
พระอาจารย์เหลียงเองก็ยิ้มขึ้นมา กล่าวว่า “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เปลืองกระดาษจดหมายนิดหน่อยจะเป็นอะไรไป หลังเจ้ากลับไปแล้ว ก็คงต้องถูกฉีกทิ้งเช่นกัน”
ชายอ้วนคิดเล็กน้อย กล่าวว่า “ก็คงจะเป็นเช่นนั้น”
พระอาจารย์เหลียงเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว อยู่ใกล้เขามากกว่าเดิม ก่อนกล่าวว่า “เจ้ายอมหรือ?”
“เมื่อยี่สิบปีก่อน ข้าป่วยหนัก ไร้ยารักษา อวิ๋นเมิ่งยากเสาะหา มั่วชิวหนทางยาวไกล มองแล้วต้องตายแน่นอน แต่เบื้องบนประทานยาเซียนมาให้ ข้าถึงมีชีวิตรอดมาได้”
ชายอ้วนกล่าว “หลายปีมานี้ข้าและครอบครัวของข้าต่างมีชีวิตที่ดี ต่อให้ตอนนี้ต้องตายก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว แล้วข้าจะไม่ยอมได้อย่างไรล่ะ?”
พระอาจารย์เหลียงกล่าว “ข้าทำให้เจ้ามีชีวิตที่ดียิ่งกว่าเดิมได้”
ชายอ้วนยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “จดหมายต้องมีสำนึกของจดหมาย ขอลา”
……
……
ลู่หมิงถูกส่งออกไปประจำการนอกเมืองเจาเกอเป็นเวลานี้สามปีแล้ว เขายังคงไม่ได้รู้ว่าตนเองต้องกลับไปรับตำแหน่งที่เมืองเจาเกอหรือว่าลี้ภัยไปยังชิงซาน
ลู่กั๋วกงถือถ้วยชานั่งอยู่ในห้อง มองดูแสงแดดที่อยู่นอกหน้าต่าง บางครั้งก็ครุ่นคิดถึงสถานการณ์ในช่วงนี้ของลูกชาย แต่ส่วนใหญ่จะคิดถึงเรื่องนั้น
วัดไท่ฉางเป็นเหมือนปกติ ทุกๆ สองสามวันจะมีนักโทษนั่งอยู่ในรถที่ถูกคลุมด้วยผ้าสีดำ ตรงไปยังสถานที่ที่มองไม่เห็นเดือนเห็นตะวันแห่งนั้น
จนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครที่จะหนีออกมาจากคุกสะกดมารได้ กระทั่งศพก็ยังไม่ถูกส่งออกมาแม้แต่ศพเดียว
ตอนนี้จิ๋งจิ่วเป็นอย่างไรกันแน่?
……
……
องค์ชายสองจิ่งเหยาเติบโตขึ้นอีกสองปี
เนื้อหาที่กู้ชิงสอนเองก็ขยายจากอ่านหนังสือไปถึงการบำเพ็ญเพียร
เพียงแต่จิ่งเหยาเป็นสายเลือดของฮ่องเต้ อีกทั้งยังมีสายเลือดของปีศาจจิ้งจอก การบำเพ็ญเพียรจึงมีความยุ่งยากกว่าที่เขาคิดเอาไว้
กู้ชิงรู้สึกไม่ค่อยแน่ใจ จึงไปถามพระสนมหู แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าพระสนมหูจะไม่รู้เรื่องแม้แต่นิดเดียว
สภาวะในการบำเพ็ญเพียรของพระสนมหูมิได้ตื้นเขิน แต่ปัญหาอยู่ที่ว่านั่นล้วนแต่เป็นสภาวะความสามารถที่มีมาแต่กำเนิด
ก่อนที่ฉานจึจะชี้ทางให้นางรู้แจ้ง นางไม่รู้เรื่องอะไรเลย หากมิใช่จู๋กุ้ยและจู๋เจี้ยยื่นมือเข้ามาช่วย นางคงจะตายไปนานแล้ว ไหนเลยจะรู้ว่าปีศาจจิ้งจอกควรจะบำเพ็ญเพียรอย่างไร
เมื่อเห็นท่าทางเขินอายของพระสนมหู กู้ชิงก็ลอบถอนใจเงียบๆ ในใจครุ่นคิดว่าในอดีตตนเองยังบอกให้เสี่ยวเหอเอาอย่างนาง ไม่รู้จริงๆ ว่าตอนนั้นตนเองคิดอะไรอยู่
ทันใดนั้นเขาพลันคิดบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเอาจดหมายที่เดิมเตรียมจะเขียนส่งไปยังยอดเขาเสินม่อเพื่อขอความช่วยเหลือจากอาจารย์อาเจ้า ส่งไปให้วัดกั่วเฉิงผ่านทางช่องทางลับของตระกูลกู้แทน
……
……
ภายในวัดกั่วเฉิง หลิ่วสือซุ่ยได้รับจดหมายของกู้ชิงก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่ก็รู้สึกดีใจด้วยเช่นกัน หลังอ่านจบก็ส่งต่อให้เสี่ยวเหอ เสี่ยวเหออ่านจดหมายแล้วรู้สึกโกรธอย่างมาก นางกล่าวว่า “เขาไปสอนองค์ชายอยู่ในเมืองเจาเกอ มีอนาคตที่สดใส แต่พวกเรากลับต้องมาปลูกผักกับพระอยู่ในวัด แล้วยังมีหน้ามาให้พวกเราช่วยอีก เมื่อถึงตอนนั้นความดีความชอบนี้จะเป็นของใครล่ะ?”
หลิ่วสือซุ่ยรู้ว่านางเพียงแค่รู้สึกเบื่อที่ต้องอยู่ที่นี่เป็นเวลานาน เลยบ่นออกมาเล็กน้อย จึงยิ้มๆ แล้วเดินออกจากกระท่อมไป
แล้วก็เป็นอย่างที่คาด เสี่ยวเหอบ่นจบก็หยิบเอากระดาษจดหมายแผ่นใหม่ขึ้นมาเขียนตอบปัญหาของกู้ชิง
นางรู้ดี ไม่ว่าอนาคตของหลิ่วสือซุ่ยจะเป็นอย่างไร ยอดเขาเสินม่อก็คงต้องเป็นของกู้ชิง
หลิ่วสือซุ่ยออกจากสวนผักไปช่วยงานตรงลานด้านหน้าวัด
ในฤดูหนาวเมื่อสองปีก่อนเขาถึงได้รู้ว่าคนป่วยจำนวนมากจากทั่วทุกที่บนแผ่นดินเฉาเทียนมักจะเดินทางมายังมั่วชิวเพื่อขอความช่วยเหลือจากสมณะวัดกั่วเฉิง
สมณะวัดกั่วเฉิงมีจำนวนจำกัด ย่อมต้องลำบากแน่นอน ส่วนใหญ่ไม่เคยมีเวลาได้พักผ่อน
แต่ที่น่าเศร้าก็คือคนป่วยจำนวนมากมักจะตายไปก่อนที่จะได้เห็นกำแพงสีเหลืองของวัดกั่วเฉิง
ตายที่มั่วชิว คำพูดประโยคนี้กลายเป็นสุภาษิตประโยคหนึ่งของโลกมนุษย์ไปแล้ว
โชคดีที่ในวัดกั่วเฉิงนอกจากสมณะแพทย์แล้ว ยังมีสมณะหลายๆ คนที่เก่งในเรื่องการทำพิธีอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้คนตาย
อย่างน้อยคนที่ตายเหล่านั้นก็ยังได้ยินเสียงสวดมนต์ในระหว่างที่เดินทางออกไปจากโลกมนุษย์
สมณะในอารามหลี่ว์ถังไม่รักษาผู้ป่วย แล้วก็ไม่ทำพิธีอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล พวกเขาเพียงแค่ชำระคัมภีร์ธรรมะและรักษากฎ
พูดอีกอย่างก็คือสมณะที่อยู่ที่นี่จะทำเพียงแค่เรียนและฝึกภาวนาเพื่อปกป้องรักษาธรรมะ สถานะภายในวัดกั่วเฉิงย่อมสูงส่ง ไม่มีใครกล้ารบกวน
อินซานชื่นชอบความเงียบสงบเช่นนี้ ปรมาจารย์แห่งสำนักเสวียนอินเพิ่งจะออกจากใต้ดินมาไม่กี่ปี ยังคงรู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยวอยู่บ้าง
ดังนั้นทุกวันช่วงเช้าเขาจึงมักจะไปกินข้าวที่โรงครัวตรงด้านหน้าวัด แล้วก็ฟังสมณะอ้วนทะเลาะกับคนอื่น
ผ่านไปหลายปี เขาสนิทสนมกับสมณะอ้วนรูปนั้นแล้ว
เช้าวันหนึ่งเขาแอบยื่นถุงกระดาษใบหนึ่งให้สมณะอ้วน
สมณะอ้วนเปิดถุงกระดาษออกดู พบว่าด้านในคือขาสุนัขที่ย่างจนหอมหวน น้ำลายเกือบจะไหลออกมา จึงรีบกล่าวขอบคุณ
“ข้าถนัดทำขาสุนัขที่สุด[1]”
ปรมาจารย์แห่งสำนักเสวียนอินตบบ่าเขา ก่อนหมุนตัวเดินจากไป
………………………………………………………………………
[1]ทำขาสุนัข (做狗腿) ความจริงแล้วหากต้องแปลตามตัวหนังสือควรจะแปลว่า ‘เป็นขาสุนัข’ เป็นการเปรียบเปรยถึงการเป็นขาให้สุนัข มีความหมายคือการเลียแข้งเลียขา ใครใช้ให้ทำอะไรก็ทำ โดยส่วนใหญ่แล้วจะหมายถึงไปทำเรื่องที่ไม่ดีให้คนอื่น