ตามที่ลู่หมิงได้นัดหมายกับผู้เป็นบิดาเอาไว้ หลังประจำตำแหน่งครบสามปี หากจิ๋งจิ่วเกิดเรื่องเขาก็จะไปชิงซาน หากจิ๋งจิ่วออกมาเขาก็จะกลับไปเมืองเจาเกอ
ตอนนี้ยังคงไม่มีข่าวคราวใดๆ ของจิ๋งจิ่ว เดิมเขาควรจะรอฟังข่าวต่อไป เพียงแต่สุดท้ายทนคิดถึงบ้านไม่ไหว อยากจะกลับไปหาภรรยาและกลับไปเยี่ยมผู้เป็นบิดา
เขาไม่ได้บอกใครว่าจะกลับไปเมืองเจาเกอ แต่ผลสุดท้ายยังไม่ทันได้กลับไปบ้านก็ถูกคนมาขวางทางเอาไว้
คนที่มาขวางทางเขาเอาไว้ชื่อกู้พ่าน เป็นผู้ช่วยในตอนที่เขาเคยเป็นทหารอยู่ในกองทัพเสินเว่ย ถือได้ว่าเป็นตัวแทนของศิษย์สำนักจงโจวในราชสำนัก
กู้พ่านไม่สนใจการตอบสนองของลู่หมิง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ไม่ยอมปล่อยมือ จะเชิญเขาไปทานข้าวให้ได้ ลู่หมิงรู้ว่าต้องมีเรื่องอย่างแน่นอน จึงยิ้มๆ แล้วเดินทางไปกับเขา
การกินเลี้ยงในเมืองเจาเกอ ปกติหากมิใช่การพูดคุยธุระ ก็เป็นการทำความรู้จักผู้คน
ดังนั้นในตอนที่เห็นองค์ชายจิ่งซินเดินออกมาจากม่านมุก ลู่หมิงจึงมิได้ตกใจอะไรนัก เขาทำการคารวะอย่างระมัดระวัง
องค์ชายจิ่งซินแสดงออกถึงความเป็นกันเองและใกล้ชิด เพียงแค่ทานอาหารจิบสุราพูดคุยถึงทิวทัศน์ในต่างจังหวัด จนกระทั่งในตอนที่เริ่มเมามายขึ้นเล็กน้อย จึงค่อยๆ วางตะเกียบลง
กู้พ่านไม่รู้ว่าออกไปตอนไหน
“ความจงรักภักดีที่ข้ามีต่อเสด็จพ่อไม่มีปัญหา ความสามารถก็ไม่มีปัญหา ไม่อย่างนั้นไม่มีทางได้รับการสนับสนุนจากเหล่าอาจารย์ของเรือนอี้เหมาแน่”
องค์ชายจิ่งซินมองลู่หมิงด้วยสายตาจริงใจพลางกล่าวว่า “สิ่งที่ข้าไม่เข้าใจก็คือ ท่าทีที่เสด็จพ่อมีต่อข้ากลับไม่เปลี่ยนแปลง พระองค์ทรงคิดจะทดสอบข้าต่ออย่างนั้นหรือ?”
ลู่หมิงคิดในใจ องค์ชายทรงคิดมากไปแล้ว แต่คำพูดที่เขาพูดออกมาย่อมต้องเป็นอีกอย่างหนึ่ง “หรือเป็นเพราะสำนักชิงซานพะย่ะค่ะ?”
องค์ชายจิ่งซินส่ายศีรษะ กล่าวว่า “สำนักชิงซานไม่ได้ออกตัวเต็มที่ ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่คือเมืองเจาเกอ”
ลู่หมิงทราบดี คำพูดและท่าทีที่จริงใจขององค์ชายจิ่งซินนี้มิได้พูดกับตน หากแต่พูดกับพ่อของตน ตัวเองไม่จำเป็นต้องตอบอะไร
ลู่กั๋วกงไม่เคยเป็นคนที่โดดเด่นในราชสำนักมาก่อน แต่คนอย่างจิ่งซินย่อมรู้ดีว่าเขาต่างหากที่เป็นคนที่โดดเด่นที่สุดต่อองค์ฮ่องเต้ แต่ไหนแต่ไรมาล้วนแต่เป็นเช่นนี้
หลังงานเลี้ยงจบลง ลู่หมิงก็กลับมายังเรือนกั๋วกง พร้อมทั้งเอาคำพูดของจิ่งซินบอกเล่าออกมาทั้งหมด ก่อนจะถามว่า “สถานการณ์ตอนนี้มันเป็นอย่างไรกันแน่ขอรับ?”
การแย่งชิงบัลลังก์ของราชวงศ์ตระกูลจิ่งนั้นมีความดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ แต่มันมิได้มีความเกี่ยวข้องกับขุนนางฝ่ายพลเรือนและทหารเท่าไรนัก สุดท้ายยังคงต้องดูท่าทีของฮ่องเต้และสำนักใหญ่ๆ
เรือนอี้เหมาส่งบัณฑิตคนหนึ่งเข้าไปในตำหนักของจิ่งซิน สำนักจงโจวนอกจากเซี่ยงหว่านซูแล้ว ก็ยังส่งเยวี่ยเชียนเหมินที่เป็นเจ้าแห่งหุบเขาเฉียนหยวนมาด้วย
การที่ให้ผู้อาวุโสขั้นสูญตามาประจำอยู่ที่ตำหนักขององค์ชาย ท่าทีของสำนักจงโจวถือว่าชัดเจนอย่างมาก เรียกได้ว่าค่อนข้างแข็งกร้าว
เมื่อเทียบกันแล้ว ท่าทีของสำนักชิงซานที่เป็นผู้นำแห่งฝ่ายธรรมะอีกสำนักหนึ่งกลับดูอ่อนโยนไม่ชัดเจน กู้ชิงสอนจิ่งเหยามาสามปีแล้ว สำนักชิงซานไม่เคยส่งคนมาอีกเลย เหมยหลี่และหลินอู๋จือที่ควรจะเดินทางมาตามที่เล่าลือกัน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ปรากฏตัว แสดงให้เห็นว่าความเห็นระหว่างยอดเขาทั้งเก้าของชิงซานนั้นมีความแตกต่างกันมาก
เมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของบิดา ลู่หมิงนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนกล่าวถามว่า “เช่นนั้นอาจารย์เซียนจิ๋งจิ่วล่ะขอรับ?”
การสนับสนุนที่ชิงซานมีต่อจิ่งเหยาล้วนแต่มาจากจิ๋งจิ่ว แล้วก็มีเพียงเขาที่สามารถมีอิทธิพลต่อท่าทีของฝ่าบาทได้
หากเขายังไม่ปรากฏตัว สถานการณ์ก็จะยิ่งแย่ลงอย่างแน่นอน
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ลู่กั๋วกงจึงได้สติขึ้นมา ก่อนจะกล่าวอย่างโมโหว่า “แล้วทำไมจู่ๆ เจ้าถึงกลับมาล่ะ?”
ลู่หมิงกล่าวอย่างน้อยใจเล็กน้อย “หรือว่าเขายังไม่ปรากฏตัว ข้าจะกลับมาบ้านไม่ได้ขอรับ?”
ลู่กั๋วกงกล่าวอย่างเป็นห่วง “เขาบอกว่าเร็วที่สุดสามปีถึงจะออกมาได้ วันนี้ครบสามปีพอดี หากจะมีเรื่องอะไรก็คงจะเกิดขึ้นภายในไม่กี่วันนี้”
ลู่หมิงคิดในใจว่าคงไม่เป็นเช่นนั้นกระมัง เร็วสุดสามปีจะออกมา หรือสามปีแล้วจะออกมาได้จริงๆ?
……
……
ถนนและตลาดที่อยู่ติดกับเรือนกั๋วกงมีการก่อสร้างต่อเติมมาโดยตลอดในช่วงสองปีมานี้
ต่อให้จิ๋งซางจะทำตัวเรียบง่ายแค่ไหน แต่ก็ยังมีคนที่มองออกถึงความไม่ธรรมดาของเขา ตัวเรือนขยายออกไปใหญ่มาก เทียบกับพื้นที่ในอดีตแล้วขยายออกไปถึงสามเท่า
จิ๋งหลีเองก็โตขึ้นมาก เด็กน้อยอายุสิบห้าปีย่อมรู้แล้วว่าแมวขาวตัวนั้นมิใช่ปีศาจแมวธรรมดา นับตั้งแต่วันที่เข้าใจในเรื่องนี้ ท่าทีที่จิ๋งหลีมีต่อแมวขาวก็มีความเคารพมากขึ้น มีความตั้งใจในการบำเพ็ญเพียรมากขึ้น แล้วก็ไม่กล้ามานั่งเล่นไพ่กระดูกเป็นเพื่อนแมวขาวทุกวันเหมือนอย่างตอนเป็นเด็กอีก
แมวขาวไม่ค่อยพอใจในเรื่องนี้ มันคิดอยากจะฝืนบังคับให้จิ๋งหลีเปลี่ยนแปลงท่าที แต่กลับพบว่าคนตระกูลจิ๋งล้วนแต่มีนิสัยดื้อดึง การบีบบังคับและการล่อลวงล้วนแต่ไม่เป็นผล
ในเย็นวันหนึ่ง จิ๋งหลีนั่งสมาธิเสร็จเรียบร้อยก็เดินเข้าไปในสวนด้านหลัง ทะลุป่าไผ่แห่งหนึ่ง มาถึงกำแพงสวนที่ก่อขึ้นมาใหม่ เขาเหยียบขึ้นไปบนหินรูปร่างน่าเกลียดก้อนหนึ่ง ก่อนจะชะเง้อหน้ามองไปอีกฝั่งของกำแพง
อีกฝั่งของกำแพงเป็นเรือนขนาดใหญ่ที่ดูสวยงามอย่างมาก ไม่รู้ว่าเป็นเรือนของขุนนางคนไหนในราชสำนักนัก เรือนตระกูลจิ๋งหลังทำการขยายใหญ่แล้วก็กลายเป็นเพื่อนบ้านกับอีกฝ่าย
อีกด้านหนึ่งของกำแพงมีหินประดับสวนก้อนใหญ่อยู่สามสี่ก้อน สาวน้อยผู้หนึ่งเหยียบก้อนหินยืนอยู่ตรงกำแพง มองดูจิ๋งหลีพลางยิ้มขึ้นมา ดูมีความสุขอย่างมาก
จิ๋งหลีและสาวน้อยผู้นี้เริ่มพูดคุยกัน คล้ายกับเมื่อหลายวันก่อน
แมวขาวฟุบหมอบอยู่บนกำแพงที่ไกลออกไป เอามือเขี่ยจมูก ก่อนจะหันไปมองดูวัดไท่ฉางที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล
ฤดูใบไม้ผลิมาแล้ว
เมื่อคืนมีฝนตกลงมา ชายหลังคาของวัดไท่ฉางถูกฝนตกใส่จนเปียก ยิ่งกลายเป็นสีดำ คล้ายเขาของมังกรชางหลง
แมวขาวจ้องมองไปทางนั้นอย่างเงียบๆ
ตอนนี้จิ๋งจิ่วที่อยู่ในวัดไท่ฉางเป็นหรือตาย มันไม่รู้เลยจริงๆ
แมว ไม่รู้เรื่องแบบนี้มากที่สุด
……
……
ภายในคุกสะกดมารที่อยู่ในส่วนลึกที่สุดของวัดไท่ฉาง
ในส่วนลึกของคุกสะกดมารมีหุบเขาที่เขียวขจีอยู่แห่งหนึ่ง
ข้างต้นหญ้าและดอกไม้มีเก้าอี้ไม้ไผ่อยู่ตัวหนึ่ง
จิ๋งจิ่วนอนอยู่บนนั้น
คำว่านอน แท้ที่จริงแล้วไม่ถูกนัก
ร่างกายเขาลอยขึ้นสูงกว่าในตอนแรก ลอยค้างอยู่กลางอากาศ ชุดสีขาวห้อยตกลงมาบนเก้าอี้ไม้ไผ่ ดูแล้วเหมือนหญิงสาวที่สวมชุดกระโปรงยาวที่แสดงละครในโลกมนุษย์
จักรพรรดิแห่งหมิงเดินกลับมาจากผาขาดที่อยู่ด้านนอกหุบเขา เมฆครึ้มก้อนนั้นเป็นเหมือนเงาตามตัว ดูแล้วค่อนข้างหม่นหมอง
เมื่อเทียบกับสามปีก่อนหน้า จักรพรรดิแห่งหมิงมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก สายตาดูสุขุมขึ้น พลังเองก็แข็งแกร่งขึ้นมา สีหน้าที่เหมือนเจอเรื่องแย่ๆ มาก็ไม่มีอยู่แล้ว ดูมั่นใจและเฉยชา
เสียงกระดิ่งดังขึ้น ภายในเมฆมีสายฟ้าปรากฏขึ้นมา ส่งเสียงเหมือนตะเกียบหัก ยุงที่มองไม่เห็นเหล่านั้นไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนแล้ว
จิ๋งจิ่วลืมตาขึ้น เขาตื่นขึ้นมาแล้ว
จักรพรรดิแห่งหมิงมองเขาพลางกล่าว “คิดไม่ถึงว่าจะเร็วขนาดนี้”
จิ๋วจิ่วกล่าว “ปกติ”
ตอนนั้นเขาบอกกับลู่กั๋วกงว่าเร็วที่สุดสามปี
เช่นนั้นก็สามปี
จิ๋งจิ่วลอยลงมาบนพื้นอย่างไร้ซุ่มเสียง คล้ายใบไม้ร่วงที่ไร้น้ำหนัก
ใบหน้าเขายังคงเหมือนเมื่อสามปีก่อน ยังคงงดงามเช่นนั้น ท่าทียังคงดูเฉยชาห่างเหิน แต่คล้ายมีบางอย่างที่แปลกออกไป
ลมหายใจของเขาเหมือนชัดเจนขึ้น
ร่างกายเขาคล้ายเบาขึ้น
เบายิ่งกว่าใบไม้ คล้ายดั่งก้อนเมฆ ให้ความรู้สึกเหมือนไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่จริง
เห็นๆ อยู่ว่าเขาฝึกเพลิงวิญญาณของเผ่าหมิง แต่เหตุใดกลิ่นอายกลับดูเบาและกระจ่างใสเช่นนี้?
ชุดขาวพลิ้วไหว จิ๋วจิ่วคล้ายลอยตามลม ราวกับเซียนก็มิปาน