หากมีคนฟุบหมอบลงไปมองที่พื้น ก็คงจะเห็นว่าความจริงแล้วใต้รองเท้าของจิ๋งจิ่วมิได้สัมผัสกับพื้น
จักรพรรดิแห่งหมิงยื่นมือชี้ไปที่ใต้เท้าเขา จิ๋งจิ่วได้สติขึ้นมา จึงลอยลงไปที่พื้น ร่างกายดูเตี้ยลงเล็กน้อย
ในเวลานี้เขาเหมือนมีตัวตนจริงๆ ขึ้นมา ความเป็นเซียนยังคงมีอยู่ เพียงแต่มิได้ดูลอยล่องอย่างไร้ร่องรอยเหมือนอย่างก่อนหน้านี้อีก
จิ๋งจิ่วมองจักรพรรดิแห่งหมิง ก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน
จักรพรรดิแห่งหมิงดูแข็งแกร่งขึ้น ดวงตาที่เหมือนอัญมณีสีดำก็ดูนิ่งสงบ ผิวพรรณบนใบหน้ายังคงขาวซีด แต่กลับมิได้โปร่งแสงเหมือนอย่างก่อนหน้านี้อีก
ที่เป็นเช่นนี้มิได้เป็นเพราะผิวหน้าเขาหนาขึ้น หากแต่เป็นเพราะแสงสว่างที่ไหลไปมาอยู่ในร่างกายเขาได้หายไปแล้ว บางทีอาจจะแอบซ่อนอยู่ในร่างกายตรงส่วนที่มีเสื้อผ้าปกปิดก็เป็นได้
มีลมพัดมาจากตรงผาขาดเบาๆ พัดแขนเสื้อสีดำของเขาจนพลิ้วไหวไปมา ท่าทีของเขายิ่งดูลึกซึ้ง ราวกับช่วงเวลากลางคืน ราวกับหลุมลึก คล้ายสามารถดูดกลืนแสงสว่างทั้งหมดทั้งมวลไปได้
เหตุใดสภาวะของจักรพรรดิแห่งหมิงถึงได้ฟื้นฟูขึ้นมามากขนาดนี้? ถึงแม้จะยังฟื้นฟูขึ้นมาได้ไม่ถึงหนึ่งในสิบของช่วงที่เขาแข็งแกร่งที่สุด แต่ก็ถือว่าเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อสามปีก่อนอย่างมาก คล้ายเป็นคนละคน
เพื่อจะสร้างวิถีแห่งผีกระบี่ขึ้นมาใหม่แล้ว จิ๋งจิ่วได้พูดคุยถกเถียงกับจักรพรรดิแห่งหมิงเป็นเวลานาน ดูเหมือนการพูดคุยเหล่านั้นจะทำให้จักรพรรดิแห่งหมิงตระหนักถึงอะไรบางอย่างได้ แต่จะต้องมีสาเหตุที่สำคัญกว่านั้นอยู่อย่างแน่นอน
เสียงกระดิ่งดังขึ้น จากนั้นก็มีเสียงแคร่กเบาๆ ดังออกมา ภายในก้อนเมฆสีดำมีสายฟ้าสายหนึ่งปรากฏขึ้นมา
สายตาของจิ๋งจิ่วมองไปตรงนั้น จากนั้นมองไปทางอักขระข่ายพลังและยุงที่แอบซ่อนอยู่ในสายลม จึงเข้าใจเหตุผล
“ที่แท้ท่านมิได้รู้สึกว่าการใช้เพลิงวิญญาณไล่ยุงเป็นเรื่องยุ่งยาก หากแต่เป็นเพราะเพลิงวิญญาณของท่านใช้กับยุงเหล่านั้นไม่ได้ผล”
เขากล่าวกับจักรพรรดิแห่งหมิงว่า “พูดให้ถูกก็คือท่านไม่มีวิธีจัดการยุงเหล่านั้น ดังนั้นเมื่อสามปีก่อนจึงให้ข้าช่วยท่าน”
จักรพรรดิแห่งหมิงหรี่ตา ก่อนกล่าวถามว่า “เจ้ารู้ตั้งแต่เมื่อไร?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ตั้งแต่ตอนแรกสุด”
นี่เป็นการอนุมานที่ง่ายมาก
ที่นี่คือคุกสะกดมาร จักรพรรดิแห่งหมิงเรียกได้ว่าเป็นนักโทษที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่กลับมียุงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ นี่จะต้องมีเหตุผลที่แอบซ่อนอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน
หากจักรพรรดิแห่งหมิงสามารถฆ่าหรือว่าไล่ยุ่งเหล่านั้นไปได้ง่ายๆ เหตุผลที่แอบซ่อนอยู่เบื้องหลังเหล่านั้นก็จะหายไป เช่นนั้นก็ไม่ควรจะมียุงอยู่
“ถูกต้อง ยุงเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของคุกไท่ฉาง มันถูกออกแบบมาเพื่อใช้ดูดเพลิงวิญญาณของข้า ดังนั้นข้าจึงไม่มีวิธีจัดการพวกมัน หากแต่เจ้าทำได้”
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าวว่า “ทุกวันยุงเหล่านี้จะดูดเพลิงวิญญาณไปจากร่างกายข้าเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าไปในหุบเหวลึกผ่านทางประตูพายุ แล้วส่งเพลิงวิญญาณเหล่านั้นลงไปยังโลกเบื้องล่าง”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เช่นนี้พวกเขาถึงจะมั่นใจได้ว่าท่านยังมีชีวิตอยู่”
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าว “ถูกต้อง ในเมื่อพวกเจ้าต้องการใช้ข้าข่มขู่คนของข้า เช่นนั้นก็ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าข้ายังมีชีวิตอยู่”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ยุงไม่ได้ส่งเพลิงวิญญาณของท่านเข้าไปในหมิง หรือว่าพวกเขาไม่รู้?”
“ข้าไม่ชอบหมิงซือ แต่เขาฉลาดอย่างมาก เขารู้ว่าควรจะทำอย่างไร ส่วนยุงเหล่านั้น…”
จักรพรรดิแห่งหมิงมองไปยังที่ที่หนึ่งในหุบเขา พลางกล่าวว่า “กระทั่งมังกรตัวนั้นยังไม่รู้ เขาอวิ๋นเมิ่งย่อมไม่รู้เช่นกัน”
จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ตอนนี้เผ่าหมิงไม่ได้รับเพลิงวิญญาณของท่านมาสามปีแล้ว พวกเขาย่อมต้องคิดว่าท่านตายแล้ว”
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าวว่า “ถูกต้อง พวกเขาน่าจะเตรียมตัวมาสามปีแล้ว”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เตรียมตัวอะไร? รบ?”
จักรพรรดิแห่งหมิงส่ายศีรษะ “ไม่ใช่ พวกเขาจะเลือกจักรพรรดิแห่งหมิงคนใหม่ ตัดขาดการติดต่อกับพวกเจ้า ไม่ต้องกลายเป็นหมากในมือของพวกเจ้าบางคนอีก แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างสงบและมีความสุขนับจากนี้”
ในข่าวลือของแผ่นดินเฉาเทียน เผ่าหมิงที่อยู่ในโลกใต้ดินนั้นทั้งอันตรายและไร้ยางอาย ถือเป็นอันตรายที่น่ากลัวที่สุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์
ใครจะไปคิดบ้างว่ายอดฝีมืออย่างศิษย์ของหมิงซือจะเป็นเพียงหมากให้ยอดฝีมือของเผ่าพันธุ์มนุษย์เอาไว้ใช้งาน
เขาอวิ๋นเมิ่งและฮ่องเต้ที่มีอำนาจในการลงโทษจักรพรรดิแห่งหมิงได้ประโยชน์อะไรจากเผ่าหมิงในช่วงเวลาหกร้อยปีนี้บ้าง นี่ยิ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้
“หลายปีมานี้พวกข้ามักจะขึ้นมายังพื้นดินอย่างยากลำบาก จากนั้นก็ถูกไล่กลับลงไปยังใต้ดินอย่างน่าเศร้า แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเอาชนะพวกเจ้าได้แม้แต่ครั้งเดียว เหตุใดโลกมนุษย์ถึงยังกลัวพวกข้า? เพราะพวกเจ้าจำเป็นต้องใช้ความหวาดกลัวที่ประชาชนของพวกเจ้ามีต่อพวกข้าในการรักษาสถานะที่สูงส่งของผู้บำเพ็ญพรตเอาไว้ แล้วก็จำเป็นต้องมีศัตรูเพื่อทำให้พวกเจ้าสามารถรักษาการปกครองบนแผ่นดินเฉาเทียนเอาไว้ได้”
จักรพรรดิแห่งหมิงมองดวงตาจิ๋งจิ่วพลางกล่าว “ไม่ว่าจะเป็นวิธีไหนก็ตาม”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “แต่ทุกครั้งล้วนเป็นพวกเจ้าที่ขึ้นมายังโลกของพวกข้า พวกข้าไม่เคยคิดจะไปยังโลกของพวกเจ้ามาก่อน”
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าวเสียดสีเล็กน้อย “หากเจ้าอยู่โลกเบื้องล่าง เจ้าอยากจะขึ้นมาหรือเปล่า?”
จิ๋งจิ่วไม่ได้ใช้ความเงียบเพื่อแสดงท่าทีของตน หากแต่กล่าวออกมาตรงๆ ว่า “อยาก ดังนั้นสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าหมิงจึงไม่มีทางหยุดลง”
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าวว่า “หากพวกเจ้าแข็งแกร่งมากพอ สงครามจะหยุดลง”
“ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า ของเก่าไม่ไป ของใหม่ก็ไม่มา เจ้าอยากจะให้เผ่าหมิงสลัดเจ้าซึ่งเป็นตัวถ่วงทิ้ง เลือกจักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นมา นับแต่นี้ก้าวไปข้างหน้าโดยไม่ต้องกังวลอันใดอีก”
จิ๋งจิ่วกล่าว “แต่เจ้าจะถูกคนของเจ้าลืมเลือน กลายเป็นผีเร่ร่อนอยู่บนโลก แล้วก็ตายลงที่นี่”
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าวว่า “นี่คือสิ่งที่ข้าพเจ้าซึ่งเป็นจักรพรรดิแห่งหมิงควรจะทำเพื่อประชาชนของข้า หรือพูดอีกอย่างก็คือการชดเชย”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ยังคงเป็นคำพูดประโยคนั้น คนที่ข้านับถือนั้นมีไม่มาก ท่านถือเป็นหนึ่งในนั้น”
จักรพรรดิแห่งหมิงยิ้มขึ้นมา จ้องมองดวงตาเขาพลางกล่าว “เจ้ารู้ดีว่าพวกข้าสู้พวกเจ้าไม่ได้ ดังนั้นเลยไม่สนใจที่จะทำให้ข้าสมความปรารถนา”
คำพูดนี้มีความหมายลึกซึ้ง
จิ๋งจิ่วพลันกล่าวขึ้นมาว่า “ข้าเคยเห็นกระบี่นับหมื่นลุกไหม้ขึ้นท่ามกลางหมู่ดวงดาว แล้วทุกอย่างก็จะสลายหายไปในสายธารแห่งกาลเวลา”
คำพูดนี้ไม่มีหัวไม่มีท้าย ไม่รู้ว่ามาจากไหน
จักรพรรดิแห่งหมิงนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนกล่าวว่า “ภาพที่ว่านั้นจะต้องงดงามอย่างมากแน่ๆ”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าจะดูมันแทนท่าน”
จักรพรรดิแห่งหมิงมองดวงตาเขาพลางกล่าว “เมื่อก่อนเคยเห็นที่ไหน?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “อาจจะในความฝัน”
ครั้นกล่าวจบ เขาก็เก็บเก้าอี้ไม้ไผ่
จักรพรรดิแห่งหมิงรู้ว่าเขาจะไปแล้ว จึงกล่าวว่า “อย่าลืมเรื่องที่รับปากข้าไว้”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ในเมื่อเผ่าหมิงจะตั้งจักรพรรดิองค์ใหม่ เช่นนั้นข้ายังจะไปทำอะไร?”
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าว “ไม่มีลัญจกรและบัญชาเพลิงวิญญาณจะถือเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ได้อย่างไร?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ได้”
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าว “ความจริงข้ามีเรื่องหนึ่งที่สงสัยมาโดยตลอด เจ้าเตรียมจะออกไปอย่างไร”
ด้านนอกหุบเขาสีเขียวคือความมืดที่ไม่มีนิยามของเวลาและความว่างเปล่า
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าย่อมมีวิธี”
หลังเขาเรียนรู้บัญชาเพลิงวิญญาณแล้ว ความจริงเขาสามารถออกไปจากที่นี่ได้เลย แต่บนโลกจะมีที่ไหนที่สงบเงียบและเหมาะสำหรับการบำเพ็ญเพียรมากกว่าคุกสะกดมารอีก?”
จิ๋งจิ่วมองไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนที่อยู่ด้านนอกหุบเขา จากนั้นพลันถามขึ้นมาว่า “ท่านรู้ไหมว่าเหตุใดข้าจึงหาท่านพบ?”
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าววว่า “เพราะเจ้าเป็นผู้สืบทอดของไท่ผิง?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “สำนักจงโจวไม่มีทางบอกความลับของคุกสะกดมารแก่เขา แต่เขาใช้เวลาอยู่นานในการเก็บข้อมูลต่างๆ สุดท้ายก็วางแผนการที่สมบูรณ์แบบแผนหนึ่งออกมา”
สายตาของจักรพรรดิแห่งหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย กล่าวว่า “แผนการอะไร?”
“แผนที่จะช่วยท่านออกไป”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ดังนั้นข้าจึงมั่นใจว่าตอนนั้นที่ท่านจากเผ่าหมิงมายังโลกมนุษย์แล้วถูกจับ นั่นมิใช่แผนการของเขา”
จักรพรรดิแห่งหมิงนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “แต่ตอนนั้นเขาไม่ได้ทำอะไรเลย”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เวลานั้นเขาอายุยังน้อย ไม่มีความสามารถมากพอ เมื่อถึงตอนที่เขามีความสามารถมากพอก็มาถูกข้าจับเข้าคุกกระบี่อีก”
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าวว่า “ทำไมเจ้าถึงบอกข้าเรื่องเหล่านี้?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าอยากให้ท่านได้รับความสงบเสียที”
จักรพรรดิแห่งหมิงยิ้มเล็กน้อย กล่าวว่า “ขอบคุณมาก”
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าวขอบคุณเพราะจิ๋งจิ่วบอกความคิดที่แท้จริงของนักพรตไท่ผิงในตอนนั้น แล้วก็เป็นเพราะคำพูดที่จิ๋งจิ่วพูดกับเขาก่อนหน้านี้ หรือก็คือภาพภาพนั้น
จิ๋งจิ่วเดินออกไปยังด้านนอกหุบเขาสีเขียว
จักรพรรดิแห่งหมิงมองดูแผ่นหลังเขาอย่างเงียบๆ
จิ๋งจิ่วเดินไปยังผาขาด จู่ๆ พลันหยุดฝีเท้า จากนั้นหมุนตัวกลับมาพูดกับจักรพรรดิแห่งหมิงว่า “ให้ของขวัญข้าชิ้นหนึ่งได้ไหม?”