ภาคที่ 2 บทที่ 82 คำเตือน

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 82 คำเตือน

 

 

หลังจากคุยกับจินหลิงเอ้อร์จบ ฝีเท้าซูเฉินก็หนักหน่วงขึ้นเล็กน้อย

 

 

พวกเขาคิดสังหารคน เพียงเพื่อต้องการรักษาความบริสุทธิ์ของสายเลือดงั้นหรือ ?

 

 

เช่นนั้นแล้ว ที่กู่ชิงลั่วปฏิเสธเขา เป็นเพราะต้องการปกป้องเขาหรือไม่? หรือการที่นางมีใจให้เขาเช่นกันจะเป็นเพียงความหวังลม ๆ แล้ง ๆ?

 

 

บางที…… เขาอาจต้องหาโอกาสยืนยันเรื่องนี้ด้วยตัวเองแล้วกระมัง

 

 

ซูเฉินค่อย ๆ นึกไตร่ตรองเรื่องราวไปอย่างเงียบเชียบ

 

 

เมื่อคิดว่าแท้จริงแล้วกู่ชิงลั่วอาจไม่ได้รังเกียจเขา ที่ปฏิเสธเป็นเพราะต้องการปกป้องเขา ใจเขาก็เริ่มเต้นรัว เต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี

 

 

เขานึกย้อนไปยังสายตาที่กู่ชิงลั่วใช้มองเขาเมื่อครานั้น

 

 

ความเศร้าโศกเสียใจในนัยน์ตาของนางราวกับต้องการสื่อบางอย่าง

 

 

เขามันโง่สิ้นดี

 

 

ถูกปฏิเสธเพียงครั้งเดียวแต่กลับถอดใจเสียแล้ว

 

 

เช่นนี้จะเรียกว่าความรักได้หรือ ?

 

 

โง่จริง !

 

 

หากเขายังดื้อดึงไม่ยอมแพ้เช่นตอนทำการทดลองแม้จะต้องพบกับความล้มเหลว เรื่องทุกอย่างก็คงไม่ยุ่งยากเช่นนี้ คงไม่ต้องรอจนถึงตอนนี้ที่เขาเพิ่งคิดได้

 

 

เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ ซูเฉินก็ก่นด่าตนเองอยู่ในใจ

 

 

หากแต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว ย่อมรู้ว่าตนต้องทำอย่างไรต่อไป

 

 

เด็กหนุ่มตัดสินใจว่าต้องหาจังหวะคุยกับกู่ชิงลั่วให้ได้เมื่อพายุครั้งนี้ผ่านพ้นไป

 

 

เขากำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดตนเองเมื่อมีศิษย์คนหนึ่งเดินเข้ามา ใบหน้าของคนผู้นั้นก้มลงต่ำ ทำท่าราวกับกำลังรีบร้อน หากแต่เมื่อเดินผ่านซูเฉินกลับยื่นมือออกมาคว้าตัวเขาไว้

 

 

ซูเฉินสะบัดมืออีกฝ่ายออกตามสัญชาตญาณ ขาขวาก้าวขึ้นมา ฝ่ามือพุ่งเข้าใส่กลางลำตัวอีกฝ่ายในพลัน ก่อนที่ศิษย์คนนั้นจะยกมือคว้าศอกซูเฉินแล้วเงื้อกรงเล็บเข้าใส่ บีบให้ซูเฉินเอียงหน้าหลบกรงเล็บนั้น จากนั้นใช้เข่าโต้ หากแต่อีกฝ่ายกลับหลบได้แล้วพุ่งเข้ามาโดยใช้ไหล่

 

 

คนทั้งคู่แลกกระบวนท่ากระอักกระอ่วนใส่กัน ท่วงท่าอันฉับไวทำให้ไม่อาจมองการเคลื่อนไหวได้ชัดเจน ท่วงท่าของทั้งคู่นั้นว่องไวเกินกว่าจะมีฝ่ายใดเปิดใช้ทักษะต้นกำเนิด ได้แต่พึ่งสัญชาตญาณการต่อสู้ จนกระทั่งคนทั้งสองถูกแรงปะทะส่งร่างกระเด็นแยกออกจากกัน

 

 

ซูเฉินใช้จังหวะนี้สร้างระเบิดเหยี่ยวเพลิงขึ้นก่อนเอ่ยเสียงต่ำ “ใคร ? เหตุใดจึงแฝงตัวเข้ามาในสถาบันมังกรซ่อนเร้น ?”

 

 

ศิษย์ผู้นั้นหัวเราะเสียงขรึม “ไม่เลวนี่ซูเฉิน แต่ข้าไม่ใช่สายสืบเช่นนั้น”

 

 

ศิษย์ผู้นั้นเงยหน้าขึ้น

 

 

เมื่อเห็นใบหน้านั้น เด็กหนุ่มก็ชะงักไป “เหอซือหง ? เป็นเจ้า ?”

 

 

เหอซือหงคือศิษย์ชั้นปีมากกว่าเขาหนึ่งปี เคยเจอกันมาก่อน 2 ครั้ง ดังนั้นจึงพอรู้จักกันบ้าง อาจกล่าวได้ว่าทั้งสองเป็นมิตรต่อกัน หากแต่ซูเฉินไม่รู้ว่าเหตุใดเหอซือหงจึงอยากพบเขาเช่นนี้

 

 

“มีคนอยากพบเจ้า จึงขอให้ข้านำเจ้าไปพบพวกเขา เดิมทีข้าคิดจะพาตัวเจ้าไปทันที แต่เจ้ารับมือยากกว่าที่ข้าคิดไว้นัก ตอนนี้จึงทำได้เพียงขอให้เจ้าไปกับข้าเองเท่านั้น” เหอซือหงตอบ

 

 

“ใครกันที่สั่งให้เจ้ามาสู้กับข้าเพื่อลากตัวไปพบคน ?”

 

 

“เห็นแล้วเจ้าจะรู้เอง”

 

 

“หากข้าเลือกไม่ไปเล่า ?”

 

 

เหอซือหงถอนหายใจ จากนั้นหยิบบางสิ่งมาโบกตรงหน้าเขาทีหนึ่งอย่างรวดเร็วก่อนจะเก็บกลับไป

 

 

แม้จะรวดเร็วนักแต่ซูเฉินก็เห็นมันชัดเจน

 

 

ใบหน้าเขาพลันทะมึนลง “เป็นพวกเขาหรือ ? เจ้าเองก็เป็นพวกเขางั้นหรือ ?”

 

 

“อย่าเสียเวลามาก ตามข้ามา” เหอซือหงหันหลังเดินไป

 

 

ซูเฉินมองเงาร่างที่เดินห่างออกไปอย่างครุ่นคิด จากนั้นตัดสินใจเดินตามไปในที่สุด

 

 

ทั้งสองเดินผ่านทางเดินยาวคดเคี้ยว ก่อนจะเข้าไปยังป่าทึบ หลังจากเดินเข้าไปอีกสักพักก็ถึงมุมหนึ่งที่ห่างไกลสายตาผู้คน

 

 

คนชุดดำผู้หนึ่งยืนหันหลังให้ซูเฉิน

 

 

เหอซือหงเดินเข้าไปหาคนผู้นั้น เอ่ยขึ้นเสียงเบา “ข้านำตัวเขามาแล้ว”

 

 

ชายชุดดำค่อย ๆ หันกลับมามอง

 

 

เมื่อเห็นภาพเช่นนั้นซูเฉินก็อยากหัวเราะ

 

 

เพียงแค่มาพบคนเท่านั้น เหตุใดต้องทำวางท่า ?

 

 

หากแต่เมื่อเขาหันมา ซูเฉินก็ชะงักไป

 

 

คนแปลกหน้าเบื้องหน้านั้นมีใบหน้ายาวคล้ายม้า

 

 

จมูกเขายาวมาก เป็นราวกับถนนยาวที่เชื่อมใบหน้าสองฝั่งเข้าด้วยกัน สิ่งแรกที่ซูเฉินนึกถึงคือใบหน้าเช่นนี้ราวกับปีศาจหุบเขาที่เคยพบในเขาอินทรีโรย

 

 

หน้าตาคล้ายกันอยู่บ้าง

 

 

แต่ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีหน้าตาเช่นไร สิ่งสำคัญคือคนผู้นี้ไม่ใช่คนที่ซูเฉินคาดไว้

 

 

เขาขมวดคิ้วแน่น “ท่านเป็นใคร ? เหตุใดจึงอยากพบข้า ?”

 

 

ชายหน้าคล้ายม้าตอบ “ข้ามีนามว่าหม่าเหรินเจ๋อ คนคุมเรื่องอารามนิรันดร์ในเขตเมืองฉางผาน”

 

 

เป็นไปดังคาด อารามนิรันดร์ส่งคนมาพบเขา

 

 

ของที่เหอซือหงหยิบขึ้นมาโบกตรงหน้าเขาคือเหรียญสามเหลี่ยมที่เป็นตัวแทนของอารามนิรันดร์

 

 

เดิมทีซูเฉินคิดว่าซางเจินที่อยากพบเขา แต่ไม่คิดว่าจะเป็นหม่าเหรินเจ๋อผู้นี้ที่เขาไม่เคยพบมาก่อน

 

 

หากแต่เขาก็ยังรู้จักชื่อของอีกฝ่าย

 

 

พวกเขาต่างกันมาก ซางเจินและคนอื่น ๆ เก็บตัวเงียบ หากแต่ชื่อของหม่าเหรินเจ๋อนั้นดังไกลทั่วเมืองฉางผาน

 

 

นับเป็นคนที่ถูกหมายหัวสูงสุดในแผ่นดินหลงซาง อยู่ลำดับที่ 96 ของรายการล่าค่าหัวของอาณาจักร

 

 

พื้นฐานการบ่มเพาะพลังเขาอยู่ที่ด่านสู่พิสดาร เชี่ยวชาญด้านการลอบสังหาร นิสัยหุนหันดุร้าย วิธีลงมือเหี้ยมโหด ซางเจินและคนอื่น ๆ นับเป็นเพียงผู้ก่อการร้ายในนามเท่านั้น แต่หม่าเหรินเจ๋อผู้นี้นั้นคือผู้ที่ยืนอยู่ฝั่งมืดเต็มตัว ทั้งยังทรงพลังมาก

 

 

แผนลอบสังหารเยว่อูตี้นั้น เป็นเขาที่คิดและลงมือแต่ผู้เดียว ซูเฉินรู้เรื่องนี้จากการเสาะหาข้อมูลของเยว่อูตี้หลังกลับจากเขาอินทรีโรย

 

 

ถึงกระนั้นซูเฉินก็ยังมีสีหน้าเรียบเฉย ราวกับว่าไม่เคยได้ยินชื่อหม่าเหรินเจ๋อมาก่อน จากนั้นเอ่ยเสียงสงบขึ้น “ข้าไม่รู้จักท่าน ซางเจินเล่า ?”

 

 

หม่าเหรินเจ๋อตอบ “เขาไม่ต้องรับผิดชอบเรื่องเจ้าอีกต่อไป จากนี้จะเป็นข้าที่จัดการเรื่องเกี่ยวกับเจ้า”

 

 

“ท่านน่ะหรือ ?” ซูเฉินได้ยินแล้วไม่พอใจเล็กน้อย “ข้าไม่เห็นจำได้ว่าพวกท่านแจ้งข้าก่อนจะทำการตัดสินใจ อีกทั้งหากต้องการแจ้งอันใดเหตุใดไม่ทำนอกสถาบัน ? ท่านไม่รู้หรือทำเช่นนี้อันตรายขนาดไหน ? หากถูกอาจารย์พบเข้า……”

 

 

หม่าเหรินเจ๋อเอ่ยขัดซูเฉิน “อย่างแรก ข้าไม่จำเป็นต้องบอกเจ้า ความเห็นเจ้าต่อเรื่องนี้ไร้ประโยชน์ อย่างที่สอง ข้านั้นรู้ดีว่าเรื่องนี้อันตรายหรือไม่ เจ้าขยะซางเจินนั่นไม่อาจลอบเข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้นได้ ไม่ใช่ว่าข้าทำไม่ได้ ในเมื่อข้ามั่นใจจะคุยกับเจ้าที่นี่ ข้าย่อมมั่นใจว่าจะไม่ถูกตรวจพบ อีกทั้งเรื่องนี้มันก็คือสิ่งที่ข้าอยากบอก…… ว่าสถาบันมังกรซ่อนเร้นไม่ใช่ที่ที่เจ้าสามารถใช้พึ่งพาได้ !”

 

 

การพบหน้ากันครั้งแรกของคนทั้งคู่นั้นไร้ไมตรีต่อกันอย่างสิ้นเชิง

 

 

ซูเฉินหรี่ตาลง “พึ่งพา ? ท่านคิดว่าข้าจะพึ่งพาสถาบันมังกรซ่อนเร้นไปเพื่ออะไร ?”

 

 

“แล้วไม่ใช่หรือ ? เจ้าหดหัวอยู่แต่ในหอพลังต้นกำเนิดของอาจารย์เจ้า หลบซ่อนตัวอยู่ในสถาบันราวกับแม่นางน้อยผู้หนึ่ง ทำตัวราวกับเต่า ! ล่วงเกินศัตรูไว้มากมาย แต่พวกมันกลับทำอะไรเจ้าไม่ได้ กระทั่งอารามนิรันดร์ยังต้องส่งคนมาพบเจ้า หากเจ้าไม่ออกมาก็ทำได้แต่รอ…… แต่เรื่องเช่นนั้นจบลงแล้ว ในเมื่อข้าอยู่ที่นี่ หากเจ้ายังคิดจะหลีกหนีความรับผิดชอบด้วยการหดหัวอยู่ในสถาบันมังกรซ่อนเร้นต่อไปได้ ก็คิดผิดแล้ว”

 

 

ซูเฉินได้ยินแล้วก็เข้าใจสิ่งที่หม่าเหรินเจ๋อจะสื่อ “ท่านมาบังคับให้ข้าปรุงยาหรือ ?”

 

 

ถูกต้อง

 

 

หม่าเหรินเจ๋อมาที่นี่เพื่อกล่อมให้เขาเริ่มปรุงยา

 

 

หรือพูดก็คือเพื่อให้เขาปรุงโอสถปลุกวิญญาณ !

 

 

ซูเฉินศึกษาที่สถาบันมังกรซ่อนเร้นมากว่า 4 ปี อีกทั้งยังเคยร่ำเรียนวิชาปรุงยามาก่อนหน้าครึ่งปี

 

 

ดังนั้นหลังจากรอมามากกว่า 4 ปี ในที่สุดอารามนิรันดร์จึงไม่อาจรอได้อีก เริ่มเร่งซูเฉินให้ปรุงยาออกมา

 

 

แท้จริงแล้วเขาถูกเร่งมาได้ราวครึ่งปีแล้ว แต่เด็กหนุ่มไม่เคยตอบตกลง

 

 

ซูเฉินไม่ได้ตอบปฏิเสธเพราะไม่อาจปรุงโอสถปลุกวิญญาณได้ แท้จริงแล้วเขามีความสามารถมากพอจะเรียกว่านักปรุงยาระดับฝึกหัดได้แล้ว จึงมีความสามารถพอจะปรุงโอสถปลุกวิญญาณได้

 

 

ที่เขาปฏิเสธเป็นเพราะโอกาสในการปรุงโอสถปลุกวิญญาณให้สำเร็จของเขานั้นยังต่ำเกินไป

 

 

โอสถปลุกวิญญาณเป็นยาระดับสูง แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น หากแต่นักปรุงยาระดับฝึกหัดขั้นสูงที่เชี่ยวชาญก็สามารถปรุงขึ้นมาได้ แต่ทว่าโอกาสสำเร็จยังนับว่าต่ำนัก

 

 

อารามนิรันดร์ไม่มีทางปล่อยให้ซูเฉินปรุงยาออกมาตามใจอยาก ดังนั้นคุยกันเมื่อครั้งการทั้งสองฝ่ายจึงตกลงกัน

 

 

3 พันขวด !

 

 

ไม่ว่าซูเฉินจะได้ดอกซากวิญญาณจากเนินกลบวิญญาณมามากเท่าไหร่ อย่างไรก็ต้องมอบโอสถปลุกวิญญาณ 3 พันขวดให้อีกฝ่าย หากทำไม่ได้ก็ต้องจำยอมตนแก่อารามนิรันดร์ เข้าร่วมองค์กรเสีย

 

 

เป็นเหตุผลหนึ่งที่ยังทำให้อารามนิรันดร์ยอมทนกลลวงของซูเฉิน แม้จะล้มเหลว แต่อย่างไรก็ได้คนฝีมือดีมา

 

 

การคำนวณของอารามนิรันดร์ไม่ผิดไปเลย พวกเขาคำนวณจำนวนดอกซากวิญญาณ จากนั้นลองประเมินคร่าว ๆ ว่าจะนำพวกมันมาปรุงยาได้ราวกี่ขวด ภายหลังซูเฉินจึงพบว่าการคาดคะเนของอีกฝ่ายนั้นใกล้เคียงกับจำนวนดอกซากวิญญาณที่เขาพบมาก

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ หากซูเฉินไม่อยากเสียเงินส่วนตนก็ต้องปรุงยาออกมาโดยไร้ความล้มเหลว

 

 

หากแต่เห็นได้ว่าอารามนิรันดร์ไม่ได้คิดเห็นเช่นนั้น

 

 

อย่างไรก็กำหนดจำนวนมาแล้ว ดังนั้นโอกาสปรุงยาสำเร็จของซูเฉินนั้นไม่สำคัญ

 

 

ตราบเท่าที่เขาสามารถปรุงยา 3 พันขวดแล้วส่งให้ทางองค์กรได้ก็นับว่าพอแล้ว เหตุใดต้องกังวลเรื่องต้นทุนของอีกฝ่ายเล่า ?

 

 

ยิ่งซูเฉินจ่ายมาก ทางองค์กรยิ่งมีความสุขด้วยซ้ำ !

 

 

ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไป 4 ปี อารามนิรันดร์จึงเริ่มกล่อมให้ซูเฉินรีบปรุงยา

 

 

ซูเฉินถ่วงเวลาพวกเขามาครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งล่าสุดก็ยืดเวลามานานอีกกว่าครึ่งปี

 

 

หลายปีที่ผ่านมา ซางเจินเป็นคนที่มาคุยกับซูเฉินบ่อยครั้ง ดังนั้นจึงเข้าใจจุดประสงค์เด็กหนุ่มดี รู้ว่าเขาไม่ได้จงใจถ่วงเวลา หากแต่เป็นเพราะต้องการเลื่อนขั้นการปรุงยาเป็นระดับโดดเด่นเสียก่อนจะเริ่มปรุงยา ดังนั้นซางเจินจึงไม่รีบร้อนเอายานัก

 

 

ซางเจินนั้นเต็มใจรอ หากแต่เห็นได้ชัดว่าอารามนิรันดร์นั้นไม่เต็มใจ

 

 

อาจเพราะพวกเขาไม่พอใจกับการทำงานของซางเจิน ดังนั้นจึงเปลี่ยนซางเจินเป็นหม่าเหรินเจ๋อมาทำหน้าที่แทน

 

 

และที่หม่าเหรินเจ๋อปรากฏตัวในวันนี้เพื่อต้องการมาเตือนซูเฉิน !