บทที่ 81 การแต่งงานระหว่างตระกูล
จูเฉินให้เวลาซูเฉินคิดและหาข้อมูลเกี่ยวกับตระกูลจู 3 วัน และแม้เขาจะสามารถเล่าเรื่องตระกูลจูให้ซูเฉินฟังเองได้ แต่ทำเช่นนั้นไม่ได้ผลดีเท่าการกดดันซูเฉิน
ชื่อเสียงที่แท้จริงไม่ได้มาจากการโอ้อวด แต่ต้องมาจากปากคนอื่นต่างหาก !
เป็นเพราะสันเขานอนตระกูลจูไม่ได้อยู่ในอาณาจักรหลงซาง ชื่อจึงไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกันที่นี่นัก แต่หากเด็กหนุ่มหาข้อมูลดี ๆ คนชั้นกลางขึ้นไปย่อมต้องเคยได้ยินชื่อตระกูลของเขากันทุกคน
หากได้รู้ถึงความแข็งแกร่งของตระกูลจูแล้วไม่ตกใจก็คงเกิดปาฏิหาริย์แล้ว
จูเฉินเชื่อว่าซูเฉินต้องยอมจำนนเป็นแน่
วันนี้ซูเฉินก็ยังคงเข้าชั้นเรียนดังเดิม
เขาเรียนวิชาพื้นฐานระดับต้น ๆ ไปมากแล้วหลังจากเข้าศึกษาที่สถาบันมังกรซ่อนเร้นมาได้ 4 ปี ดังนั้นจำนวนชั้นเรียนที่ต้องเรียนในแต่ละวันจึงลดลงมาก จนมีเวลาฝึกบ่มเพาะพลังและศึกษาเรื่องต่าง ๆ มากขึ้น
ดังนั้นซูเฉินจึงไม่เสียเวลาในชั้นเรียนมากนัก เรียนอยู่ 1 ชั่วยามก็กลับหอพลังต้นกำเนิด โดยอาศัยเดินผ่านทางเล็กหนึ่ง มีต้นไม้สูงขึ้นเรียงรายทั้งสองฝั่ง
เดิน ๆ อยู่ก็พลันได้ยินเสียงหวังโต้วซานเรียกอยู่ด้านหลัง “ซูเฉิน !”
ซูเฉินหันไปแล้วหัวเราะ “เจ้าก็เพิ่งเลิกหรือ ?”
“เป็นชั้นเรียนวิชาธาตุพลังต้นกำเนิด น่าเบื่อจนกล้าออกมาก่อนสอนจบด้วยซ้ำ” หวังโต้วซานบ่น
“โอ้ กระทั่งคุณชายหวังก็ยังมีทีหนีเรียนบ้างเหมือนกัน” ซูเฉินแหย่
“เจ้าล้อข้าหรือ ? ข้าเป็นตระกูลสายเลือดชั้นสูงแล้วหนีเรียนไม่ได้หรือ ?” หวังโต้วซานและซูเฉินเดินไปล้อเล่นกันต่อไป
หวังโต้วซานเหลือบมองรอบข้าง เมื่อมั่นใจแล้วว่าไร้ผู้คนจึงเอ่ยเสียงต่ำ “กลับมาเมื่อวานแล้ว”
“ตระกูลทั้ง 6 หรือ ?”
“อืม”
“มีความเคลื่อนไหวหรือไม่ ?”
“ยังไม่มี แต่ข้าคิดว่าอีกไม่นานพายุเข้าเป็นแน่ ระวังตัวด้วย”
“ข้าจะระวัง” ซูเฉินพูดขึ้น
“เอาล่ะ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” หวังโต้วซานเหลือบมองรอบข้างอีกคราว่าไม่มีใครเห็นเขา จากนั้นจึงเดินจากไป
“โต้วซาน” ซูเฉินพลันเอ่ยขึ้น
“มีอะไรหรือ ?” หวังโต้วซานหันมาทางซูเฉิน
ซูเฉินเดินเข้าไปหา จากนั้นก้มลงกระซิบหลายประโยคที่ข้างหู
หวังโต้วซานเปลี่ยนสีหน้าในพลัน “เจ้าว่าไงนะ ? ไม่ได้ล้อข้าเล่นใช่หรือไม่ ?”
ซูเฉินจ้องหวังโต้วซานด้วยความจริงใจก่อนเอ่ย “เจ้าคิดว่าข้าจะล้อเล่นกับเรื่องเช่นนี้หรือ ?”
“ไม่มีทาง !” หวังโต้วซานเอ่ยเสียงเครียด “ข้าไม่เห็นด้วยแน่”
“…… มั่นใจหรือ ?” ซูเฉินถาม
“มั่นใจ !” หวังโต้วซานกัดฟันมองซูเฉิน
ซูเฉินยักไหล่ “ก็ได้ หากเจ้าไม่เห็นด้วยก็ลืมว่าข้าพูดอันใดกับเจ้าไปเสีย แต่ข้าแนะนำให้จำเรื่องที่ข้าพูดไว้ให้ดี หากวันใดเจ้าคิดตก หรือโอกาสมาถึง…… ทำตามที่ข้าบอกไว้”
ซูเฉินพูดจบก็หันเดินจากไป
หวังโต้วซานจ้องอีกฝ่ายเขม็ง ก่อนจะตะโกนออกมา “ซูเฉิน เจ้าวางแผนอันใดไว้กันแน่ ?”
ซูเฉินทำเพียงโบกมือ ส่ายแขนเสื้อตอบเท่านั้น
————————————
1 ชั่วยามต่อมา
ภายในป่าขนาดเล็กทางทิศใต้ของสถาบันมังกรซ่อนเร้น.
จินหลิงเอ้อร์มองซูเฉินด้วยความตกใจ “เจ้าว่าไงนะ ?”
“เจ้าได้ยินแล้วนี่” ซูเฉินตอบเสียงเรียบ “เจ้าไม่คิดว่าวิธีนี้ดีกว่าหรือ ?”
จินหลิงเอ้อร์จ้องซูเฉินด้วยสายตาสับสนเล็กน้อย
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งนางจึงกล่าวขึ้น “คนอื่นรู้เรื่องนี้หรือไม่ ?”
ซูเฉินส่ายหัว “ข้าว่าตอนนี้อย่าเพิ่งบอกให้คนอื่น ๆ รู้จะดีที่สุด ต้องขอโทษด้วยที่เจ้าจะถูกคนเข้าใจผิดไปชั่วคราว”
จินหลิงเอ้อร์ก้มหัวลง
หลังหยุดไปชั่วขณะหนึ่งนางก็เอ่ยขึ้น “ไม่หรอก นี่เป็นสิ่งที่ข้าจำต้องทำอยู่แล้ว”
น้ำเสียงนางแผ่วต่ำ นางเอ่ยมันออกมาด้วยความโศกเศร้าขมขื่น
ซูเฉินยิ้มบาง “หากเจ้ายังรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปเมื่อก่อนหน้า เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกเช่นนั้นหรอก เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่เคยโทษเจ้า”
จินหลิงเอ้อร์จ้องมองซูเฉิน นัยน์ตานางเป็นประกาย “งั้นหรือ ? ซูเฉิน เจ้าไม่เคยโทษข้าเลยหรือ ? ที่เจ้าเสียวานรยักษ์เหล็กกล้าไปก็เพราะข้า หากเรื่องนั้นไม่เกิด เช่นนั้นเหตุการณ์นี้ก็คงไม่เกิดขึ้นเช่นกัน”
“ไม่หรอก !” ซูเฉินส่ายหัว “ถึงเจ้าจะไม่เอาวานรยักษ์เหล็กกล้าไป จางเซิ่งอันก็คงทำเหมือนเดิม ที่ข้ามั่นใจเป็นเพราะมันเป็นคนประเภทนั้น คนอย่างมันไม่สนเรื่องความเป็นความตายของผู้อื่น เห็นผู้อื่นหลั่งเลือดยังรู้สึกพึงพอใจ จำตอนที่จงติ่งดึงตัวคนอื่น ๆ ไว้ไม่ให้มาช่วยข้าได้หรือไม่ ? จงติ่งกับข้าไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกัน แต่มันก็ยังพยายามทำร้ายข้าเพราะได้ทำแล้วมันพอใจ ! มันเป็นคนเช่นนั้น ขอเจ้าอย่าโทษตนเองเลย ข้าบอกแล้วว่าไม่โทษเจ้า…… ข้าไม่เคยคิดโทษเจ้าจริง ๆ”
น้ำตานางเริ่มหลั่งไหลออกมา จินหลิงเอ้อร์สะอื้นไห้เสียงเบา
หลายวันที่ผ่านมา ในใจนางเต็มไปด้วยความกดดันทรมานนัก
ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องบนเขาอินทรีโรย นางก็รู้สึกราวกับตนทำความผิดที่ไม่อาจให้อภัยได้ กระทั่งคิดว่าที่เกิดการต่อสู้ขึ้น ต้นเหตุเป็นเพราะนาง
ความกดดันหนักหน่วงภายในใจส่งผลให้จินหลิงเอ้อร์หดหู่นัก จนกระทั่งซูเฉินเอ่ยว่าเขาไม่โทษนาง นางจึงรู้สึกโล่งใจ
หากทั้งนางและวานรยักษ์เหล็กกล้าไม่อยู่ที่นั่น จางเซิ่งอันจะยังคิดทำร้ายพวกเขาหรือไม่ ?
ซูเฉินไม่รู้ จินหลิงเอ้อร์เองก็ไม่อาจรู้
ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นบ้าง
หากแต่ในตอนนี้ ทั้งคู่ต่างเต็มใจที่จะเชื่อ
พวกเขาอยากเชื่อว่าเรื่องทุกอย่างจะยังคงเกิดขึ้น เชื่อว่าเรื่องทุกอย่างเป็นเพราะจางเซิ่งอัน
มีแต่ทำเช่นนี้จึงจะสามารถผสานรอยร้าวในใจของทั้งสองคนได้
ความหนักหน่วงในใจพลันถูกปลดปล่อย นางจึงอดหันไปซบไหล่ซูเฉินไม่ได้
ซูเฉินชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็รู้ในพลันว่าเช่นนี้ไม่เกี่ยวพันกับความรัก เป็นเพียงหญิงสาวผู้เหน็ดเหนื่อยใจคนหนึ่งที่อยากหาที่พักพิงชั่วคราวเท่านั้น
นางจำต้องขอยืมไหล่เขาพักใจก่อนจะฟื้นใจขึ้นใหม่
หลังจากสะอื้นอยู่อีกพักหนึ่ง จินหลิงเอ้อร์ก็หยุดเสียงไปในที่สุด
นางยืดตัวขึ้น จากนั้นก็พลันมีรอยยิ้มบนหน้า “ขอบคุณที่ให้ข้ายืมไหล่”
ซูเฉินแบมือสองข้าง “หากเจ้าต้องการก็มายืมใช้ได้”
จินหลิงเอ้อร์หัวเราะยิ้ม ๆ “เจ้านี่เป็นคนที่โดดเด่นไม่น้อยเลยนะซูเฉิน ทั้งฉลาด กล้าหาญ พึ่งพาได้ หากไม่ใช่เพราะความต่างทางสายเลือดของเรามีมากเกินไป ข้าคงเต็มใจคิดหาทางแต่งงานกับเจ้าให้ได้ไปแล้ว”
“แต่งงานกับข้าหรือ ?” ซูเฉินหัวเราะ “แต่ข้าว่าเจ้าไม่ได้รักข้า”
“ต้องรักด้วยหรือ ?” จินหลิงเอ้อร์โต้ “ข้าไม่รู้ว่าความรักคือสิ่งใด อีกทั้งฐานะของข้ายิ่งทำให้ข้าไม่อาจมีรัก ข้าเป็นสตรี มีภาระต้องสืบต่อสายเลือดไปให้คนอื่น ๆ ข้าไม่ต้องการความรัก เพียงต้องการส่งต่อสายเลือดของข้าเท่านั้น หากมีบุรุษใดที่หน้าตาใช้ได้ ฝีมือดี เต็มใจปฏิบัติกับข้าดี เช่นนั้นก็คู่ควรให้แต่งด้วยแล้วกระมัง อย่างเจ้านี่นับว่าสูงกว่าความคาดหวังข้ามากแล้ว”
“เว้นเสียแต่เรื่องสายเลือด” ซูเฉินพูดขึ้น
“ถูกต้อง เว้นเสียแต่เรื่องสายเลือด” จินหลิงเอ้อร์ตอบ “คงจะเป็นปัญหาเดียวของเจ้า หากเจ้ามีสายเลือดจากตระกูลชั้นสูง คงมีสตรีนับไม่ถ้วนเต็มใจแต่งให้เจ้า แต่เจ้าไร้สายเลือด…… แม้จะมีใครเต็มใจ แต่หากเจ้าไร้สายเลือด เหล่าสตรีตระกูลชั้นสูงก็มีแต่พาตนเองไปตายเท่านั้น”
“ตายหรือ ?” ซูเฉินตะลึงไป “หมายความว่าอย่างไร ?”
“เจ้าไม่รู้หรือ ?” จินหลิงเอ้อร์เอ่ย “เพื่อเป็นการรักษาความบริสุทธิ์ของสายเลือดและรักษาฐานะตระกูลชั้นสูง ตระกูลสายเลือดชั้นสูงหลากหลายตระกูลที่สั่งห้ามไม่ให้คนในตระกูลแต่งงานกับคนธรรมดา หากใครกล้าฝ่าฝืน……จะต้องตาย !”