ภาคที่ 2 บทที่ 80 ข้าไม่ใช่ศิษย์ที่ท่านต้องการ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 80 ข้าไม่ใช่ศิษย์ที่ท่านต้องการ

 

 

“สันเขานอนตระกูลจู ?”

 

 

ฉือไคฮวงส่งเสียงดัง เลิกคิ้วขึ้นสูง น้ำเสียงทั้งระแวดระวังและจริงจังยิ่ง

 

 

“อาจารย์รู้จักตระกูลชั้นสูงนี้หรือ ?” ซูเฉินถาม ร่างเขานั่งอยู่ใจกลางค่ายกลยันต์พลังต้นกำเนิด เหนือศีรษะมีหมู่ดาวส่องพร่างพราว

 

 

ฉือไคฮวงเหม่อมองหมู่ดาวครู่หนึ่งก่อนตอบ “เจ้าน่าจะรู้ว่าตระกูลสายเลือดชั้นสูงก็มีระดับชั้นเช่นกันใช่หรือไม่ ? สันเขานอนตระกูลจูนั้นมีสายเลือดจักรพรรดิอสูร”

 

 

“สายเลือดจักรพรรดิอสูร ?” ซูเฉินตกตะลึงไป

 

 

สังคมที่พวกเขาอาศัยอยู่นั้นมีลำดับชนชั้นแบ่งแยกชัดเจนนัก

 

 

ในสังคมเช่นนี้ กระทั่งตระกูลสายเลือดชั้นสูงยังถูกแบ่งออกเป็นลำดับ

 

 

โดยสิ่งที่ใช้แยกลำดับชนชั้นของตระกูลต่าง ๆ นั้นคือสายเลือด

 

 

อสูรกายนั้นแยกออกเป็นระดับต่ำ กลาง และสูง เหนือกว่านั้นคือ เจ้าอสูรกาย ราชันอสูรกาย และสุดท้ายคือจักรพรรดิอสูรกาย ทั้งยังแบ่งออกเป็นสายเลือดบริสุทธิ์และผสมได้อีก

 

 

ในหมู่ตระกูลสายเลือดชั้นสูงนั้น ส่วนมากจะมีสายเลือดอสูรกายระดับสูงมากกว่าระดับต่ำ

 

 

เป็นเพราะทุกตระกูลต่างมีความทะเยอทะยาน หากเป็นไปได้ย่อมไม่มีใครต้องการครอบครองสายเลือดระดับต่ำ

 

 

ไม่เช่นนั้นแล้ว เหตุใดจึงไม่มีตระกูลสายเลือดอสูรร้ายบ้าง ?

 

 

เป็นเพราะอสูรร้ายนั้นมีระดับต่ำเกินไป จึงไม่มีใครสนใจสายเลือดของมัน

 

 

ไม่ว่าจะเป็นตระกูลสายเลือดบริสุทธิ์หรือผสมต่างก็ไม่ใช้สายเลือดอสูรร้าย ด้วยพวกเขาพากันเสาะหาสายเลือดอสูรกายที่แข็งแกร่งกว่า ดังนั้นแม้จะมีสายเลือดอสูรกายระดับต่ำและระดับกลางอยู่บ้างแต่ก็มีจำนวนน้อยนัก

 

 

ซูเฉินจึงพบแต่ผู้ที่มีสายเลือดอสูรกายระดับสูงครั้งแล้วครั้งเล่าในสนามสอบ และนอกจากเขาแล้ว คนอื่น ๆ ต่างก็มาจากตระกูลสายเลือดชั้นสูงกันเสียส่วนมาก

 

 

ตามปกติแล้ว สายเลือดเจ้าอสูรระดับต่ำถึงระดับกลางจะอยู่เหนือกว่าสายเลือดอสูรกายระดับสูง

 

 

เหนือไปกว่านั้นคือสายเลือดราชันอสูร

 

 

ตระกูลสายเลือดราชันอสูรนับได้ว่าเป็นหนึ่งในหมู่ตระกูลชั้นสูง ได้รับความเคารพยกย่อง ฐานะไม่ธรรมดา จนถึงตอนนี้ซูเฉินยังไม่เคยพบตระกูลเช่นนี้มาก่อน แต่ก็พอจะนึกภาพออกว่าคนที่มีสายเลือดสูงส่งเช่นนั้น อย่างน้อย ๆ ก็คงจะแข็งแกร่งพอกับจีหานเยี่ยน

 

 

ราชันอสูรนั้นเป็นผู้บัญชาการ เป็นเจ้าเหนือเผ่าสัตว์อสูร และตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็มีบันทึกราชันอสูรเอาไว้ทั้งหมด 1,342 ตน ซึ่งสายเลือดของพวกมันล้วนถูกสกัดออกมาตั้งแต่ครั้งที่อาณาจักรอาร์คาน่ายังรุ่งเรือง หากแต่สายเลือดที่สกัดออกมาได้นั้นมีเพียง 312 เท่านั้น

 

 

หลังจากเวลาหมื่นปีผ่านไป สายเลือดจักรพรรดิอสูรก็เหลือเพียง 108 สายเลือดเท่านั้น ที่เหลือนั้นถูกทำลายย่อยยับไปในสนามรบจนสิ้น

 

 

ตระกูลจูคือตระกูลผู้เหลือรอดเหล่านั้น

 

 

ซูเฉินไม่คิดว่าตนจะได้พบกับสายเลือดจักรพรรดิอสูร ย่อมไม่คิดว่าจะได้พบตระกูลราชันอสูรเช่นกัน

 

 

แน่นอนว่าชีวิตจริงนั้นไม่เป็นเช่นการเล่นสนุก ศัตรูย่อมไม่ดาหน้ากันเข้ามาทีละคนตามลำดับแน่

 

 

“ถูกต้อง สันเขานอนตระกูลจู หรือรู้จักกันในนาม จิ้งจอกร้อยเล่ห์ตระกูลจู มาจากจิ้งจอกร้อยเล่ห์ที่มีสายเลือดจักรพรรดิอสูร จิ้งจอกร้อยเล่ห์ตระกูลจูคือจิ้งจอกอสูรเจ้าเล่ห์ที่เชี่ยวชาญด้านการสะกดใจคนและชื่นชอบการหยอกเอินจิตใจคนเล่น”

 

 

“วิชาสะกดจิตของตระกูลนี้มีพลังสูงส่ง ไม่เหมือนกับวิชาคุมจิตของจินหลิงเอ้อร์ที่มีข้อจำกัดมากมาย ใช้รังแกได้เพียงคนที่มีจิตใจอ่อนแอ วิชาสะกดจิตของสายเลือดจิ้งจอกร้อยเล่ห์จักรพรรดิอสูรนั้นเมื่อใช้มีโอกาสสำเร็จสูงกว่ามาก”

 

 

“แข็งแกร่งถึงขั้นนั้นเลยหรือ ? เช่นนั้นก็ไม่มีใครโค่นล้มได้เลยกระมัง ?”

 

 

“ใต้หล้านี้ไร้สิ่งใดอยู่ยงคงกระพัน แม้วิชาสะกดจิตของสายเลือดจิ้งจอกร้อยเล่ห์จะทรงพลังแต่ก็มีข้อจำกัด ใช้เวลาในการเตรียมตัวนาน ดังนั้นจึงไม่อาจใช้ในการต่อสู้ที่เปลี่ยนแปลงฉับไวได้ อีกทั้งวิชาสะกดจิตมักใช้ในการลอบโจมตี ดังนั้นหากมองมุมนี้ก็นับว่าด้อยกว่าวิชาของตระกูลผีเสื้อลวงที่สามารถใช้ในการต่อสู้ได้”

 

 

“สองคือเป็นวิชาที่ต้องนับลำดับขั้นในการบ่มเพาะพลัง หากใช้วิชาสะกดจิตกับคนที่มีพื้นฐานการบ่มเพาะพลังสูงกว่าตนก็อาจล้มเหลว ทั้งยังถูกวิชาตีกลับได้”

 

 

“สามคือมีเพียงสตรีเลือดบริสุทธิ์ในตระกูลเท่านั้นที่จะสามารถใช้วิชานี้ได้ ทั้งยังใช้ได้กับบุรุษเท่านั้น ดังนั้นคนฐานะสูงในตระกูลนี้จึงเป็นสตรีทั้งสิ้น ส่วนบุรุษเป็นเพียงลูกน้อง สายเลือดนี้ให้ความสำคัญกับสตรีสูงกว่า อีกฝ่ายจงใจดึงเจ้าเข้าตระกูล ให้เจ้าสามารถแต่งสตรีจากในตระกูลได้…… จะบอกว่าอีกฝ่ายไร้ความจริงใจหรือจริงใจจนเกินไปดีเล่า ?”

 

 

ฉือไคฮวงพูดแล้วก็หัวเราะ

 

 

“ศัตรูอยู่ประตูหน้าเช่นนี้ ท่านยังมีใจขบขันอีกหรืออาจารย์ ?” ซูเฉินเอ่ยถามเสียงแห้ง

 

 

ฉือไคฮวงตอบเสียงสงบ “เจ้าเตรียมใจพร้อมรับผลลัพธ์เช่นนี้ไว้ตั้งแต่ที่เป็นศิษย์ข้าแล้วไม่ใช่หรือ ?”

 

 

“ถึงท่านจะเคยกล่าวเช่นนั้น แต่เห็นอาจารย์ไร้กังวลเช่นนี้ข้าก็ว่ามากเกินควร” ซูเฉินพึมพำ “มิน่าท่านถึงบอกให้ข้าจัดการกับตำราเปิดพลังไคฮวงเอง ตอนนี้ข้าจึงเป็นคนที่เจอปัญหา ส่วนท่านไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง”

 

 

“เจ้าไม่พอใจหรือไร ?” ฉือไคฮวงกล่าวหยอกแล้วหัวเราะ

 

 

“ข้าจะกล้าได้อย่างไร” ซูเฉินกลอกตาใส่เขา

 

 

ทั้งสองคนเป็นอาจารย์ศิษย์มา 3 ปี ความสัมพันธ์ไม่ธรรมดา สามารถสนทนาได้อย่างไร้สิ่งปิดบัง แน่นอนว่าฉือไคฮวงเป็นห่วงซูเฉิน หากแต่เด็กหนุ่มเองก็ได้เตรียมพร้อมกับสถานการณ์เช่นนี้มาตั้งแต่เลือกที่จะเดินเส้นทางนี้แล้ว

 

 

หากเตรียมตัวมานานหลายปีแต่ยังกังวลเกรงกลัวอยู่เช่นนี้ ตัวเขาคงผิดปกติแล้ว

 

 

อีกทั้งฉือไคฮวงไม่มีทางยืนมองเฉย ๆ แน่

 

 

อาจารย์กับศิษย์นั้นก็เหมือนคน ๆ เดียวกัน เรื่องที่เกี่ยวพันกับซูเฉินย่อมเกี่ยวพันกับฉือไคฮวงด้วย

 

 

หากแต่ฉือไคฮวงต้องการทดสอบศิษย์ของตน เขาจะไม่ลงมือจนกว่าซูเฉินจะรับมือไม่อยู่ ตระกูลจูนั้นก็เช่นกัน หากซูเฉินยอมตกลง อีกฝ่ายย่อมจัดการฉือไคฮวงเป็นคนต่อมา ใช้วิธีจัดการศัตรูไปทีละคน

 

 

“ใช่แล้ว อาจารย์ ท่านคิดว่าพวกเขาจะทำเช่นไรหลังจากข้าปฏิเสธไปอีกครา ? จะสังหารฆ่าเสียตรงนั้นเลยหรือไม่ ?” ซูเฉินถาม

 

 

เมื่อเผชิญหน้าเข้ากับศัตรูฝีมือสูงส่ง อย่างไรซูเฉินก็ยังต้องการคำชี้แนะจากฉือไคฮวง

 

 

ฉือไคฮวงครุ่นคิดพักหนึ่งก่อนเอ่ยตอบ “ไม่หรอก หากสังหารเจ้าไป เช่นนั้นก็ไม่อาจถอดตำราเปิดพลังไคฮวงออกจากปราสาทแดนฝันได้ ด้วยเจ้าเป็นเจ้าหน้าที่แห่งฝันขั้น 5 แม้จะตายไปแล้ว สินค้าที่ขายก็ยังขายต่อไปได้”

 

 

สันเขานอนตระกูลจูนั้นซื้อตำราเปิดพลังไคฮวงของซูเฉินมาแล้ว ดังนั้นจึงนับว่ามีวิชาในครอบครอง

 

 

ดังนั้นจุดมุ่งหมายที่มาหาเขาถึงที่นี่ไม่ใช่เพื่อตัววิชา แต่มาเพื่อยับยั้งไม่ให้วิชาถูกแพร่ออกไปต่างหาก

 

 

ซูเฉินเข้าใจ “ดังนั้นพวกเขาจำต้องเกลี้ยกล่อมให้ข้านำตำราเปิดพลังไคฮวงออก ไม่เช่นนั้นตำราเปิดพลังไคฮวงก็จะอยู่ในนั้นตลอดไปหากสังหารข้าทิ้ง… และหากต้องการปิดยังวิชานี้ก็ต้องใช้เงินจำนวนมากปิดบังประกาศไปทุกวัน หากเพียงวันสองวันคงไม่เป็นไร แต่เวลาผ่านไปต้องรับมือยากเป็นแน่ และความตายนั้น…… ไร้ที่สิ้นสุด”

 

 

“ถูกต้อง” ฉือไคฮวงพยักหน้า “เพราะฉะนั้นอีกฝ่ายไม่สังหารเจ้าแน่ แต่จะเกลี้ยกล่อมให้เจ้าล้มเลิกไปเองเสียมากกว่า แต่เจ้าก็ไม่อาจนำเรื่องนี้ไปใช้เป็นไพ่ตายได้ เช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าอีกฝ่ายจะไม่ใช้กำลังบีบเจ้า ยังมีวิชาลับที่สามารถคุมจิตคนได้อยู่ หากอีกฝ่ายคุมจิตเจ้าได้ ก็จะควบคุมให้เจ้าทำสิ่งที่ต้องการได้ ซ้ำร้ายจิ้งจอกร้อยเล่ห์ตระกูลจูยังเชี่ยวชาญวิชาเช่นนี้เสียอีก”

 

 

“ท่านจะบอกว่าพวกเขาคิดจะคุมจิตข้าโดยบังคับแล้วปลดตำราเปิดพลังไคฮวงจากแดนฝันหรือ ?”

 

 

“หากเจ้าไม่ฟังคำพวกเขา เช่นนั้นก็ถูกต้อง แต่ไม่ต้องกังวลนัก การคุมคนในแดนฝันนั้นแตกต่างจากการคุมจิตคนในโลกจริงนัก จุดต่างที่สุดคือในโลกจริงคนเราใช้ร่างจริง แต่ในแดนฝันนั้นใช้ร่างวิญญาณ หมายความว่ามีตื้นลึกหนาบางแตกต่างกันนัก ยิ่งระดับสิทธิ์เจ้าสูงขึ้นครั้งนี้เป็นเพราะขายเกราะรบเหล็กกล้า ที่ขายได้ดีเช่นนี้เป็นเพราะ……”

 

 

“เพราะเมิ่งหลาน” ซูเฉินเอ่ยขัด

 

 

หากไม่ได้ความช่วยเหลือจากเมิ่งหลาน เกราะรบเหล็กกล้าก็คงไม่ขายดีเช่นนี้ และระดับสิทธิ์ของเขาก็คงไม่ก้าวกระโดดเช่นนี้

 

 

ฉือไคฮวงกล่าว “ถูกต้อง พวกเขาน่าจะรู้ดีว่านายหญิงแห่งปราสาทไม่ชอบวิธีนี้ หากตอนนั้นเจ้าพลันตัดสินใจปลดตำราเปิดพลังไคฮวงออก นายหญิงแห่งปราสาทไม่มีทางนิ่งเฉยแน่”

 

 

“ท่านพูดถูกต้องยิ่ง”

 

 

ที่ซูเฉินได้รู้จักเมิ่งหลานก็เพราะเขาเคยขู่ว่าจะปลดตำราเปิดพลังไคฮวงออก

 

 

หากตระกูลจูคิดคุมร่างวิญญาณเขาแล้วปลดตำราเปิดพลังไคฮวงออก เมิ่งหลานจะต้องเกิดความสงสัยเป็นแน่ นางคงลงมือสืบหาข้อมูล ไม่แน่ว่าอาจลงมือแทรกแซงเองโดยตรง

 

 

“แต่ก็อาจมีวิธีเลี่ยงเช่นกัน เจ้าก็รู้ว่าหากยินยอมพร้อมจ่าย เรื่องบางอย่างก็สามารถจัดการได้” ฉือไคฮวงกล่าว

 

 

“ศิษย์เข้าใจแล้ว” ซูเฉินพยักหน้ารับ

 

 

เมิ่งหลานเต็มใจช่วยเขาเพราะนางได้ประโยชน์ ดังนั้นนางก็ย่อมถูกประโยชน์มากกว่าดึงตัวไปได้

 

 

“ดังนั้นอีกฝ่ายคงไม่ผลีผลามลงมือ แต่หากไร้ทางเกลี้ยกล่อมคงลงมือ เจ้าต้องรู้ว่าแม้ตระกูลจิ้งจอกร้อยเล่ห์เป็นตระกูลที่เชี่ยวชาญควบคุมจิต แต่ฝีมือด้านการต่อสู้ก็มีไม่น้อย ไม่ใช่ตระกูลที่เมื่อไร้วิชาคุมจิตแล้วไม่อาจต่อสู้ได้ แท้จริงแล้วสตรีในตระกูลมีหน้าที่ลวงจิต ส่วนบุรุษมีหน้าที่ต่อสู้ต่างหาก !”

 

 

“สุดท้ายที่รอข้าอยู่ก็คือหุบเหวลึกอยู่ดี” ซูเฉินถอนใจ “ช่างเป็นสถานการณ์ที่ทำให้คนสิ้นหวังได้จริง ๆ”

 

 

ฉือไคฮวงเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าบอกเจ้าตั้งแต่แรกแล้วว่าข้าต้องการศิษย์ที่สามารถมุ่งหน้าเดินต่อไปได้แม้หนทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยขวากหนามมากมาย ว่าอย่างไร ? ตัวเจ้ารับมือไหวหรือไม่ ?”

 

 

ซูเฉินใจลอยเล็กน้อย

 

 

คำของฉือไคฮวงดังสะท้อนในหู ราวกับอาจารย์เป็นนักทำนายก็ไม่ปาน พูดสิ่งใดเป็นจริงทุกอย่าง

 

 

และตอนนี้ถึงเวลาซูเฉินตอบกลับไปแล้ว

 

 

เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเอ่ยขึ้น “ข้าจำที่ท่านกล่าวเช่นนี้ได้ ‘ตลอดมาข้าอยากได้ศิษย์ที่จะต่อสู้เต็มที่เพื่อเอาชีวิตรอด หรือก็คือศิษย์ที่มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวในการมุ่งหน้าต่อไปไม่ว่าจะพบกับอุปสรรคใด ๆ น่าแปลกที่ศิษย์คนที่ข้ารับมานั้นเป็นคนเจ้าเล่ห์ ถกเถียงเก่งนัก มีความสง่างาม พูดสิ่งใดชัดเจน มีความคิดเห็นเป็นของตนเอง สามารถอ่านใจข้าได้’…… อาจารย์พูดถูก ข้าไม่ใช่ศิษย์แบบที่ท่านต้องการ”

 

 

ฉือไคฮวงไม่เอ่ยคำใด ทำเพียงจ้องศิษย์ตนเองนิ่งเท่านั้น

 

 

ซูเฉินกล่าวต่อ “หากศัตรูมาหา ข้าอาจไม่กล้าหาญชาญชัยเช่นที่ท่านต้องการ ข้าจะไม่มีทางพลีชีพเยี่ยงวีรบุรุษเพื่อความฝัน ข้ามีวิธีของข้า……”

 

 

เขามองฉือไคฮวงจากนั้นหัวเราะแผ่วเบา “ข้าจะเลือกสังหารพวกมัน !”

 

 

“จะด้วยหนทางใด แผนการใด ต้องจ่ายสิ่งใดไป ข้าก็จะสู้เต็มกำลัง……”

 

 

“จะสังหารให้สิ้น !”