เวลานี้ร่างกายที่สมบูรณ์แบบราวกับหยกนั้นช่างมีสีสันเสียจริง ด้วยความแข็งแกร่งของเขา ชัดเจนว่าเขานั้นสามารถล้างมันออกไปได้อย่างง่ายดาย แต่เขากลับเก็บมันเอาไว้
ทิ้งร่องรอยหลักฐานอย่างหนักแน่นเอาไว้ชัดเจน นี่คือสิ่งที่เขาต้องการ
มู่เฉียนซีขยับร่างของนาง พลันเส้นใยสีเขียวบนร่างของเขานั้นก็ได้ไหลร่วงลงมา จึงทำให้จิ่วเยี่ยกอดนางไว้แน่นกว่าเดิม
เขามองนางด้วยดวงตาเย็นยะเยือกคู่ที่นางคุ้นเคยโดยไม่ได้กล่าวสิ่งใด…
ไร้ซึ่งเจตนาแห่งการฆ่า ไร้ซึ่งความโกรธเคืองขุ่นข้อง… ทว่ามู่เฉียนซีกลับรู้สึกได้ถึงการร้องเรียนที่ไร้ซึ่งเสียง ทำให้นางรู้สึกกระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก นางกระวนกระวาย เมื่อได้ถูกดวงตาคู่หนึ่งจ้องมองเช่นนี้ จู่ ๆ นางก็ไร้ซึ่งความสามารถในการปรุงแต่งคำกล่าวใด ๆ
ดวงตาทั้งสองคู่นั้นจ้องมองกันอย่างไร้ซึ่งเสียง
ในที่สุดจิ่วเยี่ยก็กล่าวขึ้นมา “เจ้าล่วงละเมิดต่อข้า”
ใบหน้าของมู่เฉียนซีนั้นแดงก่ำ นางมิอาจหาเหตุผลมาโต้เถียงเขาได้
“เจ้าเป็นคนเดียวเท่านั้นที่กล้าทำเช่นนี้กับข้า” จิ่วเยี่ยกล่าวต่อไป เสียงที่เย็นชานั้นดังเข้าไปในรูหูของมู่เฉียนซี ทำให้นางได้แต่ก้มศีรษะต่ำลง
มู่เฉียนซีรู้ได้ทันทีว่าตนทำเรื่องที่บังอาจมากที่สุดทั้งของในภพชาตินี้และภพชาติหน้าเข้าให้แล้ว เรื่องนั้นก็คือการที่ทำให้องค์ชายปีศาจอย่างเยี่ยอ๋องต้อง…
“เห็นแก่การที่เจ้าถูกพิษของอสรพิษสามหัว ข้าละเว้นโทษ เจ้าสามารถไม่รับโทษตายได้ แต่…”
ทันใดนั้นมู่เฉียนซีรู้สึกว่าท้องฟ้าและแผ่นดินหมุนโคลงไปมา นางเกิดความรู้สึกมึนงงวิงเวียนเสียยิ่งกว่าตอนแรก ๆ ที่นางถูกพิษของอสรพิษสามหัวเสียอีก แม้ว่ามันจะไม่มีร่องรอยใดอยู่บนร่างกายนางก็ตาม พิษก็ยังออกฤทธิ์อย่างไม่หยุดยั้ง นางพุ่งเข้าใส่ร่างจิ่วเยี่ยอีกครั้ง
เยี่ยอ๋องเห็นนางพุ่งเข้ามาก็ยกยิ้มมุมปาก เขาตัดสินใจจะใช้วิธีวิธีหนึ่ง มันเป็นวิธีที่เขาชอบใช้เป็นที่สุดนั่นก็คือ…หนามยอกเอาหนามบ่ง
จิ่วเยี่ยกระทำการบางอย่างกับนาง!
มู่เฉียนซีรู้สึกว่ากระดูกแทบทั้งร่างของตนเองเหมือนโดนกระทำจนป่นปี้ไปหมดแล้ว นางตะโกนร้อง “อ๊า! พอ! พอแล้ว!”
“จิ่วเยี่ย! เจ้านั้นเป็นบุรุษ อย่าได้ใจคอคับแคบโหดร้ายกับข้านักสิ”
หลังจากที่ได้อดทนมาอย่างยาวนาน นั่นไม่ใช่ปัญหาที่ว่าใจคอคับแคบหรือไม่
จิ่วเยี่ยนั้นรู้ขีดความอดทนของมู่เฉียนซีดี เขาจึงไม่ได้ล่วงเกินก้าวข้ามเส้นและทำเกินเลยลงไป หากทันทีที่ทำเช่นนั้น เขาเกรงว่าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเข้าจะยิ่งห่างไกลออกไปจากเขามากกว่าเดิม
มู่เฉียนซีสลบไปอีกครั้ง มิใช่เพราะว่าพลังกายของนางไม่ไหว แต่เป็นเพราะ…มีผู้ที่ได้ทำเกินเลยไปเสียแล้ว ทำเกินเหตุมากไปแล้ว!
แม้ว่ามู่เฉียนซีจะอยู่ในอาการหลับฝัน แต่นางก็ยังคงโกรธจนกัดฟันแน่น
“อื้อ!” มู่เฉียนซีฟื้นตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ทว่านางตื่นขึ้นมาด้วยเพราะถูกจุมพิต
หลังจากที่การจุมพิตครั้งนี้จบลง มู่เฉียนซีก็ใช้แรงผลักจิ่วเยี่ยที่เหมือนดั่งสัตว์ป่าดุดันออกไปแล้วกล่าวขึ้นมา “จิ่วเยี่ย ได้เวลาคิดบัญชีแล้ว เมื่อเจ้าคิดเสร็จแล้วก็อย่าได้… อย่าได้ทำสิ่งใดวุ่นวายอีกเลย…”
“เก้าพันเท่า”
มู่เฉียนซีนั้นรู้ว่าเยี่ยอ๋องมิใช่ผู้ที่เสียหาย แต่ทว่าเก้าพันเท่า… ให้เอาชีวิตนางไปชดใช้ด้วยก็ยังไม่พอ
“อะไรของเจ้า มากเกินไปแล้ว เจ้าอย่าแม้แต่จะคิด” มู่เฉียนซีโกรธจนดีดตัวลุกขึ้นมา สายตาอันโกรธเกรี้ยวของนางจ้องมองชายงดงามที่ใบหน้าไร้อารมรณ์ผู้นั้นพร้อมกล่าวขึ้น “องค์ชายจิ่วเยี่ย ข้าจะบอกให้ว่านั่นมันเป็นไปไม่ได้ เจ้าเป็นบุรุษ มิได้เสียหายอะไรแม้แต่น้อย คนที่เสียหายนั้นคือข้า! ข้าจะให้เจ้าได้ทวงคืนในครั้งนี้ นั่นเป็นเพราะว่ามันเกิดความละอายขึ้นในใจข้า ข้าถึงได้ยอมเจ้า แต่หากว่าเจ้ากระทำการล่วงเกินอีกละก็ ข้า…ข้า…”
จิ่วเยี่ยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วกล่าวถามว่า “เจ้าจะทำไมหรือ ? ซี เจ้าสามารถวางยาพิษฆ่าข้าให้ตายหรือ ?”
ดวงตาสีฟ้าเย็นยะเยือกคู่นั้นเพ่งมองตรงไปที่มู่เฉียนซี ทำให้มู่เฉียนซีเกิดไฟปะทุขึ้นมาในใจ “หึ! ก็ใช่ ข้าใช้พิษฆ่าเจ้าไม่ได้ เช่นนั้นแล้ว ข้าจะ… ข้าจะเลิกคบค้ากับเจ้า! เลิกคบ!”
— กึก! —
มู่เฉียนซีถูกจิ่วเยี่ยดึงเข้าไปไว้ในอ้อมกอด จิ่วเยี่ยกล่าวขึ้นด้วยเสียงเย็นชา “ข้าไม่อนุญาต”
“แต่เก้าร้อยครั้งมันน่ากลัวเกินไป ครั้งก่อนที่ข้าฉีดยาให้เจ้า เจ้าก็ต่อรองจนเหลือเพียงแค่สิบเท่าเองไม่ใช่หรืออย่างไร ?”
“ไม่เหมือนกัน เช่นนั้นแล้วเอาเก้าร้อยครั้ง”
“บัดซบ! เจ้าทำเช่นนี้จะเอาชีวิตข้ารึ ?!” มู่เฉียนซีโวยวายออกมา
“เก้าสิบครั้ง” จิ่วเยี่ยผ่อนปรนให้
มู่เฉียนซีส่ายหน้าอย่างเอือมระอาก่อนจะกล่าวขึ้น “จิ่วเยี่ย ข้านั้นรู้ผิดแล้วจริง ๆ ข้าไม่ควรจะไปล่วงเกินเจ้า แต่การที่เจ้ามาลงโทษข้าให้ข้า… เอ่อ… เก้าสิบครั้ง หากเป็นเช่นนั้นจริง เจ้าส่งให้ข้าไปเที่ยวเล่นในนรกเถอะ”
“ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าตาย” จิ่วเยี่ยกล่าวเสียงทุ้มต่ำ
“ถ้าเช่นนั้นก็สามครั้ง อย่างมากที่สุดสามครั้ง!”
“สิบเก้าครั้ง”
“เจ็ด!”
“เก้า”
มู่เฉียนซีกัดฟันแน่น กล่าวขึ้นว่า “ได้! เก้าครั้งก็เก้าครั้ง”
“อ๊ะ! อื้อ…” ริมฝีปากของมู่เฉียนซีถูกริมฝีปากของเขาโน้มลงมาประกบเข้าอีกครั้ง
จุมพิตอันยาวนานผ่านพ้น ไม่ง่ายเลยที่จะหลุดพ้นออกมาได้ มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “เจ้า… เจ้าไม่ปล่อยให้ข้าได้หายใจบ้าง เช่นนี้จะทำให้ข้าตายเอา”
“เจ็ดวัน” จิ่วเยี่ยกล่าว ท่าทีสบาย ๆ
มู่เฉียนซีเบิกตากว้าง จิ่วเยี่ยผู้นี้ก็ช่างจดช่างจำได้ดีเหลือเกิน!
“หากไม่ให้เจ้าไปทำงานที่ห้องบัญชีของตระกูลมู่ ข้านั้นยังรู้สึกเสียดายในพรสวรรค์ ความจำของเจ้านั้นช่างดีนัก”
“แน่นอนว่าเรื่องเช่นนี้ ข้านั้นไม่ลืม”
“เฮ้อ…”
เจ็ดวันต่อหนึ่งจุมพิต ที่นางติดค้างไว้คงไม่ใช่แค่เพียงเล็กน้อยอย่างแน่นอน
มู่เชียนซีกรุ่นโกรธอย่างหนัก “จิ่วเยี่ย เจ้าเป็นคนจากไปเอง เจ้าพลาดโอกาส เช่นนั้นไม่นับ! เป็นเจ้าเองต่างหากที่จากไปจึงได้พลาดโอกาส เช่นนี้ไม่นับ จะนับไม่ได้”
มุมปากของจิ่วเยี่ยโค้งขึ้นเล็กน้อย เขากล่าวว่า “ซี… ข้าไม่ต้องการให้เจ้าจากข้าไป”
“ไม่ ข้าไม่ได้จะจากไป เพียงแต่ว่าตอนนี้เจ้านั้นตั้งตนเองเป็นใหญ่เกินไป เจ้าไม่มีเหตุผลเลย”
“ข้าผู้นี้เอาตนเองเป็นใหญ่แต่ไหนแต่ไรมา” จิ่วเยี่ยกล่าวอย่างมีเหตุมีผล
“อ๊ะ! อื้อ…”
มู่เฉียนซีถูกริมฝีปากของเขาประกบเข้ามาอีกครั้ง นางรู้สึกว่าตนเองนั้นเป็นที่ฝึกซ้อมในการฝึกทักษะการจุมพิตให้กับเยี่ยอ๋อง หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป จะต้องมีผลกระทบด้านมืดต่อจิตใจนางอย่างแน่นอน
จิ่วเยี่ยเองก็มิได้ต้องการที่จะให้ริมฝีปากของมู่เฉียนซีบวมเป็นหมั่นโถว เขาไม่ได้เก็บหนี้ที่ติดค้างเอาไว้ในคราวเดียว
มู่เฉียนซีได้หลุดพ้นเสียที และด้วยความหัวไว มู่เฉียนซีจึงได้เปลี่ยนหัวข้อสนทนา นางกล่าวถามขึ้นว่า “จิ่วเยี่ย คนที่เจ้าตามหา หาพบหรือยัง ?” “ไม่ง่ายดายเช่นนั้น อาถิงแห่งศาลาเลือนรางเก้าชั้นตื่นขึ้นมาหรือยัง ?”
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “ครั้งนี้ข้าถูกอสรพิษสามหัวกัดเสียจนย่ำแย่ เจ้าอาถิงนั่นก็ยังไม่รู้เรื่อง เจ้าอาถิงคงหลับเหมือนหมูอยู่เป็นแน่”
จิ่วเยี่ย “เช่นนั้นก่อนที่อาถิงจะตื่นขึ้นมา ข้าจะอยู่ข้างกายเจ้าเอง”
มู่เฉียนซีตะลึงงัน “หืม ? เจ้าไม่ไปตามหาคนหรอกหรือ ?”
“ต้องรอให้อาถิงแห่งศาลาเลือนรางเก้าชั้นตื่นขึ้นมาเสียก่อนถึงจะค้นหาได้ มิเช่นนั้นแล้วถึงแม้ว่าจะมีข่าวสารมาบ้าง มันก็เป็นการงมเข็มในมหาสมุทรอยู่วันยังค่ำ” จิ่วเยี่ยตอบกลับไป
“หรือว่าผู้ที่เจ้าต้องการตามหานั้นมีหม้อเทพนิรันดร์อยู่ อาถิงจึงสามารถสัมผัสได้”
“อืม”
“แหวนมังกรเทพวารีใช้ไม่ได้หรือ ?” มู่เฉียนซีกล่าวถาม ถ้าหากแหวนมังกรเทพวารีได้ผล จิ่วเยี่ยก็คงจะไม่ยอมปล่อยนางไปง่าย ๆ
“มีเพียงศาลาเลือนรางเก้าชั้นเท่านั้นที่สามารถจับสัมผัสได้”
หัวใจของมู่เฉียนซีประหนึ่งแข็งค้าง นางถามขึ้นว่า “ถ้าหากอาถิงตื่นขึ้นมาแล้ว เจ้าจะพาตัวเขาไปรึ ?”
จิ่วเยี่ยส่ายหน้า กล่าวว่า “ไม่ ข้าไม่ได้ต้องอะไรที่อ่อนแอเช่นนั้นมา แต่ว่าซี เจ้าต้องช่วยข้า”
มู่เฉียนซียิ้ม “ได้ การที่เจ้าจะขอให้ข้าช่วยนั้นช่างหาได้ยากนัก อาถิงสามารถช่วยเจ้าได้ เจ้าไม่ได้บีบบังคับเอาเขาไป แน่นอนว่าข้าต้องช่วยเจ้า”
หลังจากสนทนาเรื่องสำคัญ ๆ กับจิ่วเยี่ยเรียบร้อยแล้ว มู่เฉียนซีมองไปยังบ่อน้ำเย็น สีหน้าของนางพลันเปลี่ยนไป นางกล่าวออกมาอย่างตระหนกตกใจ “อ๊า! ผลึกดอกบัวหัวใจศักดิ์สิทธิ์หายไปแล้ว”
ไม่ง่ายเลยที่นางจะหาสมุนไพรวิญญาณระดับปฐพีที่สามารถควบคุมพิษกู่ในร่างของท่านอาของนางได้ แต่มันกลับหายไปเสียแล้ว
นางจำได้ว่าก่อนที่นางจะสลบไปนั้นมีคนเข้ามา คนผู้นั้นไม่ใช่จิ่วเยี่ยอย่างแน่นอน มู่เฉียนซีมองไปที่จิ่วเยี่ยแล้วถามขึ้น “หลังจากที่ข้าหมดสติไป ผู้ใดอยู่ที่นี่รึ ?”
“มีมดปลวกหลายตัว แต่ว่ามันได้หายไปหมดแล้ว บนตัวของพวกมันนั้นไม่มีสมุนไพรระดับปฐพี” จิ่วเยี่ยกล่าวพลางเหลือบมองไปที่ตรงนั้น
มู่เฉียนซีพบป้ายประจำตัวของสำนักอวิ๋นเยียนเข้า นางรู้ได้อย่างแน่ชัดว่าก่อนที่นางจะสลบไปนั้น นางเข้าใกล้ตัวคนจากสำนักอวิ๋นเยียนกลุ่มนั้น
มู่เฉียนซีกล่าวถามขึ้น “นอกจากคนหนุ่มห้าหกคนนั้นแล้ว ยังมีผู้เฒ่าอีกคนหนึ่งใช่หรือไม่ ?”
“ไม่มี”
มู่เฉียนซีมีความรู้สึกว่าเป็นไปได้ที่จะเป็นผู้อาวุโสแห่งสำนักอวิ๋นเยียนที่ฉวยเอาผลึกดอกบัวหัวใจศักดิ์สิทธิ์ของนางไป มิเช่นนั้นแล้ว ที่แห่งนี้ซึ่งเป็นที่ที่มีแรงกดดันของสัตว์อสูรระเบิดออกมาอย่างหนัก ลำพังแค่เพียงกลุ่มคนหนุ่มเพียงไม่กี่คนคงไม่สามารถเข้ามาใกล้ได้อย่างแน่นอน
เมื่อได้รู้เรื่องเกี่ยวกับผลึกดอกบัวหัวใจศักดิ์สิทธิ์แล้ว มู่เฉียนซีเหลือบมองไปทางชิงอิ่ง
ชิงอิ่งยังคง…
.