ชิงอิ่งยังคงหมดสติอยู่ มู่เฉียนซีกล่าวถามขึ้นว่า “จิ่วเยี่ย เจ้ามีวิธีที่จะทําให้ชิงอิ่งฟื้นขึ้นมาหรือไม่ ?”
จิ่วเยี่ยเป็นผู้ที่ลึกลับอย่างที่สุด และเขาเองก็ไม่ใช่คนระดับเดียวกันกับนาง เขาย่อมเข้าใจเรื่องเหล่านี้มากกว่า
แม้ว่าชิงอิ่งจะเป็นหุ่นเชิดรบสำหรับต่อสู้ แต่นางกลับไม่เคยรู้สึกว่าชิงอิ่งเป็นหุ่นเชิดรบที่ไร้ชีวิตจิตวิญญาณ นางไม่ยอมที่จะปล่อยให้เขานั้นหลับใหลไปตลอดกาลเหมือนดั่งท่อนไม้จริง ๆ ท่อนหนึ่งแน่นอน
สายตาของจิ่วเยี่ยจับจ้องไปที่ร่างของชิงอิ่ง ดวงตาเย็นยะเยือกคู่นั้นฉายแววตื่นตะลึง เขากล่าว “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเขานั้นเป็นตัวอะไรกันแน่ ?”
มู่เฉียนซีอึ้งงัน “ว่าอย่างไรนะจิ่วเยี่ย ? แม้แต่เจ้าก็ยังไม่รู้ว่าชิงอิ่งคืออะไรกันแน่รึ ?” จิ่วเยี่ย “ร่างกายของเขาดูเหมือนหุ่นเชิด แต่ทว่ามิใช่หุ่นเชิดโดยสมบูรณ์ทั้งหมด ภายในร่างกายของเขามีกลิ่นอายแห่งชีวิตเจืออยู่เล็กน้อย กลิ่นอายแห่งชีวิตนี้แปลกนัก”
ชิงอิ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดจริง ๆ นางต้องการให้เขาฟื้นขึ้นมาทว่ากลับไม่มีหนทางใดให้นางเลือกใช้เลย
“เมื่อพลังชีวิตในร่างกายของเขาเพียงพอที่จะทำให้เขาตื่นขึ้นมา เขาจะตื่นขึ้นมาเอง เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล”
“เช่นนั้นก็ดี” แม้ว่ามู่เฉียนซีจะไม่รู้ว่าต้องรออีกนานเพียงใด นางยังคงรู้สึกปีติยินดี
เวลานี้ชิงอิ่งกลายเป็นร่างไร้ชีวิตราวกับท่อนไม้ เช่นนั้นแล้วมู่เฉียนซีจึงสามารถนำตัวเขาเข้าไปไว้ในมิติของศาลานิรันดร์เก้าชั้นได้ นางกล่าวขึ้น “สิ่งต่อไปคือ… ต้องคิดวิธีที่จะหาตัวผู้เฒ่าเจ้าเล่ห์นั่น ผู้ที่ฉวยเอาผลึกดอกบัวหัวใจศักดิ์สิทธิ์ของข้าไป”
ชิงอิ่งกำลังหลับใหล เสี่ยวหงและอู๋ตี้เองก็กำลังรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ในมิติ คิดที่จะจัดการกับผู้เฒ่าระดับจักรพรรดิขั้นสูงสุดระดับเก้านั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“ข้าจะไปกับเจ้าด้วย” จิ่วเยี่ยกล่าวขึ้น
ทว่ามู่เฉียนซีปฏิเสธ “อย่าดีกว่า ข้าอยากจะจัดการกับผู้เฒ่าเจ้าเล่ห์ผู้นั้นด้วยมือของข้าเอง ในเมื่อกล้ามาชิงของที่เอาไว้ช่วยชีวิตท่านอาของข้า ข้าไม่ปล่อยเขาไปแน่!”
“ได้ เช่นนั้นข้าจะไม่ยุ่ง”
มู่เฉียนซีข้ามผ่านแดนลึกลับแห่งภาคตะวันตกไปอย่างรวดเร็ว และถึงแม้จิ่วเยี่ยจะซ่อนพลังของตนเองเอาไว้ แต่นางรู้ดีว่าเขายังลอบตามมา เขาต้องอยู่แถว ๆ บริเวณที่นางอยู่อย่างแน่นอน
นางไม่สนใจเขา ได้แต่เรียกสมาธิมาจดจ่ออยู่กับการตามหา
เพื่อที่จะเผชิญหน้ากับผู้เฒ่าผู้นั้น มู่เฉียนซีได้เตรียมพิษเอาไว้จำนวนไม่น้อย
ถึงแม้ต่อให้อาการของเสี่ยวหงและอู๋ตี้จะดีขึ้นมากแล้วก็ตาม แต่หากคิดที่จะต่อกรกับผู้เฒ่าไร้ยางอาย นับว่ายังน่าเป็นห่วงอย่างมาก นางจึงจะต้องหาผู้ที่จะมาช่วย ผู้เดียวที่มู่เฉียนซีนึกถึงนั่นก็คือฮั่วอู๋จี๋ผู้เป็นเจ้าสำนักเฟินเทียน ถึงแม้ว่าพลังของฮั่วอู๋จี๋เมื่อเทียบกับผู้เฒ่าไร้ยางอายผู้นั้นแล้วจะห่างกันอย่างมากก็ตาม แต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นขั้นจักรพรรดิเหมือนกัน
มู่เฉียนซีไม่ได้พบกับผู้เฒ่าสำนักอวิ๋นเยียนแห่งสำนักนิกายระดับหนึ่งผู้นั้น แต่กลับพบเข้ากับเจ้าสำนักซวนปิง
เมื่อเจ้าสำนักซวนปิงพบเจอมู่เฉียนซีเข้า สีหน้าก็ได้แปรเปลี่ยนไปอย่างมาก เขากล่าวขึ้นว่า “มู่เฉียนซี เจ้าฆ่าศิษย์แห่งสำนักซวนปิงของข้า ข้านั้นไม่ติดใจอะไรกับเจ้า แต่เจ้า! เจ้ายังจะตามตัวข้าอย่างไม่ลดละ เจ้าประสงค์สิ่งใดกันแน่ ?!”
มู่เฉียนซียิ้ม กล่าวว่า “ท่านเจ้าสำนักซวนปิง ท่านอย่าได้คิดเป็นตุเป็นตะไปเองเลย ข้าเพียงแค่ผ่านมาทางนี้แล้วบังเอิญเจอกับท่านเข้าก็เท่านั้น”
เจ้าสำนักซวนปิง “อืม เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
เมื่อเจ้าสำนักซวนปิงได้หันหลังให้นาง เขาก็หนีไปทันที ผู้ที่มีความแข็งแกร่งระดับจักรพรรดิผู้หนึ่งเมื่อเห็นมู่เฉียนซีที่มีความแข็งแกร่งเพียงระดับปรมาจารย์ภูตแล้วหันหลังวิ่งหนี เรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องที่น่าอับอายขายหน้าเป็นอย่างมากเรื่องหนึ่งแน่นอน
แต่เขานั้นรู้ดีว่าผู้อารักขาที่อยู่ข้างกายนาง สัตว์ศักดิ์สิทธิ์สองตัวนั้น และยังจะมีพิษของนาง สิ่งเหล่านี้ล้วนสามารถทำให้ยอดฝีมือระดับจักรพรรดิอย่างเขาถึงจุดที่ลำบากได้
อันตรายอย่างมาก!
— พรึ่บ! พรึ่บ! —
ทันใดนั้นเอง เงาร่างสีขาวและสีแดงรีบพุ่งเข้าไปปิดทางของเจ้าสำนักซวนปิงเอาไว้
เจ้าสำนักซวนปิงกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว ใบหน้าคล้ำเขียวปั้ด “เจ้า…! เจ้ายังจะไม่ยอมปล่อยพวกเราไปอีกเช่นนั้นรึ ?”
มู่เฉียนซียิ้ม กล่าวว่า “ข้าคิดว่าในเมื่อพวกเราได้บังเอิญมาเจอกันเช่นนี้แล้ว ข้าจึงอยากจะขอให้ท่านเจ้าสำนักซวนปิงช่วยอะไรข้าสักหน่อย”
ความสามารถของเจ้าสำนักซวนปิงนั้นถือได้ว่ามีมาก เขาแข็งแกร่งกว่าฮั่วอู๋จี๋ หากนางได้คนมาช่วยเพิ่มอีกคนก็ไม่เลว
เจ้าสำนักซวนปิงกล่าวขึ้นด้วยเสียงเย็นชา “มู่เฉียนซี ข้ากับเจ้านั้นไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย ข้าไม่อยากที่จะช่วยเจ้า” “ไม่อยากที่จะช่วย อา… เรื่องนี้ไม่ต้องให้ถึงมือข้า เสี่ยวหง อู๋ตี้!”
— ตูม! ตูม! —
เมื่อถูกสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองตัวที่พุ่งออกมาอย่างกะทันหันโจมตี สำหรับเจ้าสำนักซวนปิงแล้ว นี่มิใช่ประสบการณ์ที่ดีเลย ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาสบายใจขึ้นมาบ้างคือเวลานี้ผู้อารักขาในชุดเขียวที่ดูแข็งทื่อผู้นั้นไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย
เจ้าสำนักซวนปิงถูกเสี่ยวหงตรึงร่างเอาไว้ ในเวลานี้เอง อีซือได้โอกาสกระโดดออกมาพร้อมตะเบ็งตะโกนเสียงดัง “มู่เฉียนซี เจ้าจงไปตายเสียเถอะ!”
กระบี่น้ำแข็งส่งเสียงหวีดหวิวขณะพุ่งเข้ามา มู่เฉียนซีไม่รอช้า ยกกระบี่มังกรเพลิงมาปัดป้องการโจมตีของอีซือ
— ปัง! —
— ฟึ่บ! ฟึ่บ! —
ในขณะที่ใช้กระบี่มังกรเพลิงโจมตีไปที่อีซือนั้น เข็มยาของมู่เฉียนซีก็ได้ถูกปล่อยออกมาสองถึงสามเข็มต่อเนื่องกัน
มู่เฉียนซีแค่นเสียงเย็นชา “เจ้าสตรีขี้แพ้ เจ้ายังกล้ามารนหาที่ตายอีกรึ ?!”
อีซือกัดฟันแน่น กล่าวว่า “ถ้าหากว่าเจ้าไม่ใช้พิษละก็ ข้าไม่แพ้ให้แก่สตรีเศษสวะชอบใช้วิธีสกปรกอย่างเจ้าเป็นแน่!”
มู่เฉียนซีแสดงสีหน้ากรุ้มกริ่ม นางจงใจกวนประสาทอีกฝ่าย “ข้าคงทำให้เจ้าต้องผิดหวังเสียแล้ว ข้าจะใช้ยาพิษ! แล้วเจ้าล่ะจะทำอย่างไร ? วิธีการกล่าววาจายั่วยุเช่นนี้ใช้ไม่ได้ผลกับข้า เจ้านี่ช่างไร้สาระเสียจริง …มังกรวารีพิฆาต!”
— ตูม! —
อีซือไม่กล้าเข้าใกล้มู่เฉียนซีเพราะนางรู้ว่ารอบกายมู่เฉียนซีนั้นมีพิษที่อันตรายอยู่มากมาย ทว่าหากโจมตีจากระยะไกล นางก็ไม่สามารถโจมตีเล็งให้ถูกมู่เฉียนซีได้ การเคลื่อนไหวของมู่เฉียนซีนั้นจัดได้ว่ารวดเร็วท้าทายสวรรค์อย่างมาก
“ผลึกน้ำแข็งสวรรค์พิฆาต!”
“มังกรเพลิงสังหาร!”
— ตูม! —
ด้วยการปะทะกันของทั้งพลังร้อนและเย็น ทำให้เงาร่างสีขาวของอีซือกระเด็นลอยออกไป
— พลั่ก! —
ขณะที่ร่างกายของอีซือตกลงกระแทกกับพื้นอย่างรุนแรง นางได้เห็นบุรุษผู้งดงามไร้ที่ติปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหน้าของนาง นางกล่าวเสียงแหบพร่า “คุณชาย ช่วยข้าด้วย…” ดวงตาคู่นั้นทอประกายวิงวอน
นางไม่รู้เลยว่าการอ้อนวอนขอร้องให้ชายผู้ที่เป็นดั่งเทพมารช่วยนาง ช่างเป็นเรื่องที่ไร้เดียงสาเพียงใด
— ซวบ! —
“หึ!”
เสียงลึกลับที่ฟังดูอำมหิตดังขึ้น ทันใดนั้นกลิ่นอายแห่งความชั่วร้ายรอบ ๆ ตัวทำให้อีซือกล่าวอะไรไม่ออก
ดวงตาสีฟ้าเย็นเยือกคู่นั้นกระหายเลือดอย่างที่สุด เขาดูเงียบสงบไร้การเคลื่อนไหว เพียงแค่นัยน์ตานั้นก็สามารถกลืนกินวิญญาณของคนผู้หนึ่งเข้าไปได้ทั้งหมด
อีซือหวาดกลัวจนทั้งร่างสั่นสะท้าน นางรู้สึกว่าบุรุษผู้ที่อยู่ตรงหน้าของนางนั้น น่ากลัวกว่ามู่ฉียนซีที่นางเกลียดจนเข้ากระดูกมากมายหลายเท่านัก มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “จิ่วเยี่ย หญิงผู้นี้ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าจัดการ ข้าจัดการเองได้”
จิ่วเยี่ยพยักหน้าตอบรับเล็กน้อย
บุรุษผู้ที่เย็นชาและกระหายเลือดเช่นนี้ ผู้ที่ดูเหมือนจะไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตา แต่ทว่ากลับยอมฟังมู่เฉียนซี
อีซือเบิกตากว้าง มองมู่เฉียนซีด้วยความหวาดกลัว “ข้า… เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ?”
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “เจ้าทำให้ข้าเกือบเอาชีวิตไม่รอดถึงสองครั้ง วันนี้ข้าแค่เพียงมาหาอาจารย์ของเจ้า เพื่อให้เขาช่วยจัดการเรื่องบางเรื่องให้ เจ้าคอยอยู่เฉย ๆ ที่ด้านข้างอาจารย์ของเข้าก็ถือว่าไม่ได้มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับเจ้า แต่ว่าเจ้ากลับพุ่งเข้าโจมตีข้า”
“เช่นนั้น…”
— ฉึก! —
เข็มยาทิ่มเข้าไปที่ตรงระหว่างคอและไหล่ของอีซือ จากนั้นมู่เฉียนซีกระซิบว่า “ในอนาคต เจ้าก็โจมตีไม่ได้อีกต่อไปแล้ว…”
“อ๊าาาา!” อีซือกรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวจับขั้วหัวใจ นางพบว่าพลังจากการบำเพ็ญเพียรอันน่าภาคภูมิใจที่นางสั่งสมมาได้หายไปจนหมดสิ้น ตัวนางไม่สามรถรวบรวมพลังวิญญาณได้แม้แต่น้อย
“เจ้า… ข้าจะฆ่าเจ้า!”
อีซือในตอนที่มีพลังวิญญาณยังไม่สามารถทำอะไรมู่เฉียนซีได้ นับประสาอะไรกับตอนนี้
“ซือเอ๋อร์!” เมื่อเจ้าสำนักเห็นว่าได้เกิดเรื่องขึ้นกับอีซือ เขาเสียสมาธิไปชั่วขณะจึงถูกเสี่ยวหงเข้าโจมตีจนได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส
— ปัง! —
เจ้าสำนักซวนปิงที่ร่างชุ่มโชกไปด้วยเลือดทรุดลงกับพื้น เสี่ยวหงและอู๋ตี้เฝ้าเขาอยู่ข้าง ๆ เขาไม่กล้าขยับตัวแม้แต่น้อย
เจ้าสำนักซวนปิงกล่าวขึ้น เขาสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง “เจ้า… เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่ ?”
.