ตอนที่ 283 ขอให้เจ้าช่วยข้าหน่อย

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

ชิงอิ่งยังคงหมดสติอยู่ มู่เฉียนซีกล่าวถามขึ้นว่า “จิ่วเยี่ย เจ้ามีวิธีที่จะทําให้ชิงอิ่งฟื้นขึ้นมาหรือไม่ ?”

จิ่วเยี่ยเป็นผู้ที่ลึกลับอย่างที่สุด และเขาเองก็ไม่ใช่คนระดับเดียวกันกับนาง เขาย่อมเข้าใจเรื่องเหล่านี้มากกว่า

แม้ว่าชิงอิ่งจะเป็นหุ่นเชิดรบสำหรับต่อสู้ แต่นางกลับไม่เคยรู้สึกว่าชิงอิ่งเป็นหุ่นเชิดรบที่ไร้ชีวิตจิตวิญญาณ นางไม่ยอมที่จะปล่อยให้เขานั้นหลับใหลไปตลอดกาลเหมือนดั่งท่อนไม้จริง ๆ ท่อนหนึ่งแน่นอน

สายตาของจิ่วเยี่ยจับจ้องไปที่ร่างของชิงอิ่ง ดวงตาเย็นยะเยือกคู่นั้นฉายแววตื่นตะลึง  เขากล่าว “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเขานั้นเป็นตัวอะไรกันแน่ ?”

มู่เฉียนซีอึ้งงัน “ว่าอย่างไรนะจิ่วเยี่ย ? แม้แต่เจ้าก็ยังไม่รู้ว่าชิงอิ่งคืออะไรกันแน่รึ ?” จิ่วเยี่ย “ร่างกายของเขาดูเหมือนหุ่นเชิด แต่ทว่ามิใช่หุ่นเชิดโดยสมบูรณ์ทั้งหมด  ภายในร่างกายของเขามีกลิ่นอายแห่งชีวิตเจืออยู่เล็กน้อย กลิ่นอายแห่งชีวิตนี้แปลกนัก”

ชิงอิ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดจริง ๆ นางต้องการให้เขาฟื้นขึ้นมาทว่ากลับไม่มีหนทางใดให้นางเลือกใช้เลย

“เมื่อพลังชีวิตในร่างกายของเขาเพียงพอที่จะทำให้เขาตื่นขึ้นมา เขาจะตื่นขึ้นมาเอง เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล”

“เช่นนั้นก็ดี” แม้ว่ามู่เฉียนซีจะไม่รู้ว่าต้องรออีกนานเพียงใด นางยังคงรู้สึกปีติยินดี

เวลานี้ชิงอิ่งกลายเป็นร่างไร้ชีวิตราวกับท่อนไม้ เช่นนั้นแล้วมู่เฉียนซีจึงสามารถนำตัวเขาเข้าไปไว้ในมิติของศาลานิรันดร์เก้าชั้นได้  นางกล่าวขึ้น “สิ่งต่อไปคือ… ต้องคิดวิธีที่จะหาตัวผู้เฒ่าเจ้าเล่ห์นั่น ผู้ที่ฉวยเอาผลึกดอกบัวหัวใจศักดิ์สิทธิ์ของข้าไป”

ชิงอิ่งกำลังหลับใหล เสี่ยวหงและอู๋ตี้เองก็กำลังรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ในมิติ คิดที่จะจัดการกับผู้เฒ่าระดับจักรพรรดิขั้นสูงสุดระดับเก้านั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

“ข้าจะไปกับเจ้าด้วย” จิ่วเยี่ยกล่าวขึ้น

ทว่ามู่เฉียนซีปฏิเสธ “อย่าดีกว่า ข้าอยากจะจัดการกับผู้เฒ่าเจ้าเล่ห์ผู้นั้นด้วยมือของข้าเอง ในเมื่อกล้ามาชิงของที่เอาไว้ช่วยชีวิตท่านอาของข้า ข้าไม่ปล่อยเขาไปแน่!”

“ได้ เช่นนั้นข้าจะไม่ยุ่ง”

มู่เฉียนซีข้ามผ่านแดนลึกลับแห่งภาคตะวันตกไปอย่างรวดเร็ว และถึงแม้จิ่วเยี่ยจะซ่อนพลังของตนเองเอาไว้ แต่นางรู้ดีว่าเขายังลอบตามมา เขาต้องอยู่แถว ๆ บริเวณที่นางอยู่อย่างแน่นอน

นางไม่สนใจเขา ได้แต่เรียกสมาธิมาจดจ่ออยู่กับการตามหา

เพื่อที่จะเผชิญหน้ากับผู้เฒ่าผู้นั้น มู่เฉียนซีได้เตรียมพิษเอาไว้จำนวนไม่น้อย

ถึงแม้ต่อให้อาการของเสี่ยวหงและอู๋ตี้จะดีขึ้นมากแล้วก็ตาม แต่หากคิดที่จะต่อกรกับผู้เฒ่าไร้ยางอาย นับว่ายังน่าเป็นห่วงอย่างมาก  นางจึงจะต้องหาผู้ที่จะมาช่วย ผู้เดียวที่มู่เฉียนซีนึกถึงนั่นก็คือฮั่วอู๋จี๋ผู้เป็นเจ้าสำนักเฟินเทียน ถึงแม้ว่าพลังของฮั่วอู๋จี๋เมื่อเทียบกับผู้เฒ่าไร้ยางอายผู้นั้นแล้วจะห่างกันอย่างมากก็ตาม แต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นขั้นจักรพรรดิเหมือนกัน

มู่เฉียนซีไม่ได้พบกับผู้เฒ่าสำนักอวิ๋นเยียนแห่งสำนักนิกายระดับหนึ่งผู้นั้น แต่กลับพบเข้ากับเจ้าสำนักซวนปิง

เมื่อเจ้าสำนักซวนปิงพบเจอมู่เฉียนซีเข้า สีหน้าก็ได้แปรเปลี่ยนไปอย่างมาก เขากล่าวขึ้นว่า “มู่เฉียนซี เจ้าฆ่าศิษย์แห่งสำนักซวนปิงของข้า ข้านั้นไม่ติดใจอะไรกับเจ้า แต่เจ้า! เจ้ายังจะตามตัวข้าอย่างไม่ลดละ เจ้าประสงค์สิ่งใดกันแน่ ?!”

มู่เฉียนซียิ้ม  กล่าวว่า “ท่านเจ้าสำนักซวนปิง ท่านอย่าได้คิดเป็นตุเป็นตะไปเองเลย ข้าเพียงแค่ผ่านมาทางนี้แล้วบังเอิญเจอกับท่านเข้าก็เท่านั้น”

เจ้าสำนักซวนปิง “อืม เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”

เมื่อเจ้าสำนักซวนปิงได้หันหลังให้นาง เขาก็หนีไปทันที ผู้ที่มีความแข็งแกร่งระดับจักรพรรดิผู้หนึ่งเมื่อเห็นมู่เฉียนซีที่มีความแข็งแกร่งเพียงระดับปรมาจารย์ภูตแล้วหันหลังวิ่งหนี เรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องที่น่าอับอายขายหน้าเป็นอย่างมากเรื่องหนึ่งแน่นอน

แต่เขานั้นรู้ดีว่าผู้อารักขาที่อยู่ข้างกายนาง  สัตว์ศักดิ์สิทธิ์สองตัวนั้น  และยังจะมีพิษของนาง  สิ่งเหล่านี้ล้วนสามารถทำให้ยอดฝีมือระดับจักรพรรดิอย่างเขาถึงจุดที่ลำบากได้

อันตรายอย่างมาก!

— พรึ่บ!  พรึ่บ! —

ทันใดนั้นเอง เงาร่างสีขาวและสีแดงรีบพุ่งเข้าไปปิดทางของเจ้าสำนักซวนปิงเอาไว้

เจ้าสำนักซวนปิงกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว ใบหน้าคล้ำเขียวปั้ด “เจ้า…! เจ้ายังจะไม่ยอมปล่อยพวกเราไปอีกเช่นนั้นรึ ?”

มู่เฉียนซียิ้ม กล่าวว่า “ข้าคิดว่าในเมื่อพวกเราได้บังเอิญมาเจอกันเช่นนี้แล้ว ข้าจึงอยากจะขอให้ท่านเจ้าสำนักซวนปิงช่วยอะไรข้าสักหน่อย”

ความสามารถของเจ้าสำนักซวนปิงนั้นถือได้ว่ามีมาก เขาแข็งแกร่งกว่าฮั่วอู๋จี๋ หากนางได้คนมาช่วยเพิ่มอีกคนก็ไม่เลว

เจ้าสำนักซวนปิงกล่าวขึ้นด้วยเสียงเย็นชา “มู่เฉียนซี ข้ากับเจ้านั้นไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย ข้าไม่อยากที่จะช่วยเจ้า” “ไม่อยากที่จะช่วย อา… เรื่องนี้ไม่ต้องให้ถึงมือข้า เสี่ยวหง อู๋ตี้!”

— ตูม!  ตูม! —

เมื่อถูกสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองตัวที่พุ่งออกมาอย่างกะทันหันโจมตี สำหรับเจ้าสำนักซวนปิงแล้ว นี่มิใช่ประสบการณ์ที่ดีเลย  ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาสบายใจขึ้นมาบ้างคือเวลานี้ผู้อารักขาในชุดเขียวที่ดูแข็งทื่อผู้นั้นไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย

เจ้าสำนักซวนปิงถูกเสี่ยวหงตรึงร่างเอาไว้   ในเวลานี้เอง อีซือได้โอกาสกระโดดออกมาพร้อมตะเบ็งตะโกนเสียงดัง “มู่เฉียนซี เจ้าจงไปตายเสียเถอะ!”

กระบี่น้ำแข็งส่งเสียงหวีดหวิวขณะพุ่งเข้ามา มู่เฉียนซีไม่รอช้า ยกกระบี่มังกรเพลิงมาปัดป้องการโจมตีของอีซือ

— ปัง! —

— ฟึ่บ!  ฟึ่บ! —

ในขณะที่ใช้กระบี่มังกรเพลิงโจมตีไปที่อีซือนั้น เข็มยาของมู่เฉียนซีก็ได้ถูกปล่อยออกมาสองถึงสามเข็มต่อเนื่องกัน

มู่เฉียนซีแค่นเสียงเย็นชา “เจ้าสตรีขี้แพ้ เจ้ายังกล้ามารนหาที่ตายอีกรึ ?!”

อีซือกัดฟันแน่น กล่าวว่า “ถ้าหากว่าเจ้าไม่ใช้พิษละก็ ข้าไม่แพ้ให้แก่สตรีเศษสวะชอบใช้วิธีสกปรกอย่างเจ้าเป็นแน่!”

มู่เฉียนซีแสดงสีหน้ากรุ้มกริ่ม นางจงใจกวนประสาทอีกฝ่าย “ข้าคงทำให้เจ้าต้องผิดหวังเสียแล้ว ข้าจะใช้ยาพิษ!  แล้วเจ้าล่ะจะทำอย่างไร ? วิธีการกล่าววาจายั่วยุเช่นนี้ใช้ไม่ได้ผลกับข้า เจ้านี่ช่างไร้สาระเสียจริง   …มังกรวารีพิฆาต!”

— ตูม! —

อีซือไม่กล้าเข้าใกล้มู่เฉียนซีเพราะนางรู้ว่ารอบกายมู่เฉียนซีนั้นมีพิษที่อันตรายอยู่มากมาย ทว่าหากโจมตีจากระยะไกล นางก็ไม่สามารถโจมตีเล็งให้ถูกมู่เฉียนซีได้ การเคลื่อนไหวของมู่เฉียนซีนั้นจัดได้ว่ารวดเร็วท้าทายสวรรค์อย่างมาก

“ผลึกน้ำแข็งสวรรค์พิฆาต!”

“มังกรเพลิงสังหาร!”

— ตูม! —

ด้วยการปะทะกันของทั้งพลังร้อนและเย็น ทำให้เงาร่างสีขาวของอีซือกระเด็นลอยออกไป

— พลั่ก! —

ขณะที่ร่างกายของอีซือตกลงกระแทกกับพื้นอย่างรุนแรง นางได้เห็นบุรุษผู้งดงามไร้ที่ติปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหน้าของนาง  นางกล่าวเสียงแหบพร่า “คุณชาย ช่วยข้าด้วย…” ดวงตาคู่นั้นทอประกายวิงวอน

นางไม่รู้เลยว่าการอ้อนวอนขอร้องให้ชายผู้ที่เป็นดั่งเทพมารช่วยนาง ช่างเป็นเรื่องที่ไร้เดียงสาเพียงใด

— ซวบ! —

“หึ!”

เสียงลึกลับที่ฟังดูอำมหิตดังขึ้น  ทันใดนั้นกลิ่นอายแห่งความชั่วร้ายรอบ ๆ ตัวทำให้อีซือกล่าวอะไรไม่ออก

ดวงตาสีฟ้าเย็นเยือกคู่นั้นกระหายเลือดอย่างที่สุด  เขาดูเงียบสงบไร้การเคลื่อนไหว  เพียงแค่นัยน์ตานั้นก็สามารถกลืนกินวิญญาณของคนผู้หนึ่งเข้าไปได้ทั้งหมด

อีซือหวาดกลัวจนทั้งร่างสั่นสะท้าน นางรู้สึกว่าบุรุษผู้ที่อยู่ตรงหน้าของนางนั้น น่ากลัวกว่ามู่ฉียนซีที่นางเกลียดจนเข้ากระดูกมากมายหลายเท่านัก มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “จิ่วเยี่ย หญิงผู้นี้ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าจัดการ ข้าจัดการเองได้”

จิ่วเยี่ยพยักหน้าตอบรับเล็กน้อย

บุรุษผู้ที่เย็นชาและกระหายเลือดเช่นนี้ ผู้ที่ดูเหมือนจะไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตา แต่ทว่ากลับยอมฟังมู่เฉียนซี

อีซือเบิกตากว้าง  มองมู่เฉียนซีด้วยความหวาดกลัว “ข้า… เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ?”

มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “เจ้าทำให้ข้าเกือบเอาชีวิตไม่รอดถึงสองครั้ง วันนี้ข้าแค่เพียงมาหาอาจารย์ของเจ้า เพื่อให้เขาช่วยจัดการเรื่องบางเรื่องให้  เจ้าคอยอยู่เฉย ๆ ที่ด้านข้างอาจารย์ของเข้าก็ถือว่าไม่ได้มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับเจ้า แต่ว่าเจ้ากลับพุ่งเข้าโจมตีข้า”

“เช่นนั้น…”

— ฉึก! —

เข็มยาทิ่มเข้าไปที่ตรงระหว่างคอและไหล่ของอีซือ  จากนั้นมู่เฉียนซีกระซิบว่า “ในอนาคต เจ้าก็โจมตีไม่ได้อีกต่อไปแล้ว…”

“อ๊าาาา!” อีซือกรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวจับขั้วหัวใจ นางพบว่าพลังจากการบำเพ็ญเพียรอันน่าภาคภูมิใจที่นางสั่งสมมาได้หายไปจนหมดสิ้น ตัวนางไม่สามรถรวบรวมพลังวิญญาณได้แม้แต่น้อย

“เจ้า… ข้าจะฆ่าเจ้า!”

อีซือในตอนที่มีพลังวิญญาณยังไม่สามารถทำอะไรมู่เฉียนซีได้  นับประสาอะไรกับตอนนี้

“ซือเอ๋อร์!” เมื่อเจ้าสำนักเห็นว่าได้เกิดเรื่องขึ้นกับอีซือ เขาเสียสมาธิไปชั่วขณะจึงถูกเสี่ยวหงเข้าโจมตีจนได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส

— ปัง! —

เจ้าสำนักซวนปิงที่ร่างชุ่มโชกไปด้วยเลือดทรุดลงกับพื้น  เสี่ยวหงและอู๋ตี้เฝ้าเขาอยู่ข้าง ๆ  เขาไม่กล้าขยับตัวแม้แต่น้อย

เจ้าสำนักซวนปิงกล่าวขึ้น เขาสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง “เจ้า… เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่ ?”

.