ตอนที่ 182

The Second Coming of Gluttony

เรื่องราวที่เกิดขึ้น

‘เฮือกก’

เมื่อเขาลืมตาขึ้นมา ลมหายใจของเขาก็ได้ติดอยู่ที่ลำคอ

สัญชาตญาณของเขามันอยากจะหายใจออกมา แต่ว่าปากของเขากลับเปิดไม่ขึ้น อากาศที่สั่นอยู่ภายในลำคอของเขาได้ค้นหาทางออกอื่น และออกมาผ่านทางจมูก

ฟู่ ฟู่

เมื่อเขาได้หายใจเข้าออกซ้ำๆ ผ่านทางจมูก ในที่สุดหน้าอกของเขาก็คลายตัวลง จากนั้นภาพของโลกที่หมุนวนก็ได้เข้ามาในสายตาของเขา

เขาอยากที่จะสะบัดหัวจากความสับสน แต่ว่าเขาก็ต้องล้มเลิกไปในทันทีที่รู้สึกปวดหัวเหมือนกับถูกผ่าสมอง

มันปวดมากจนเขารู้สึกว่าหากเขาส่ายหัว สมองของเขาก็จะสั่นไปด้วย

ในท้ายที่สุด ซอลจีฮูก็ได้หลับตาที่เขาได้พยายามเปิดขึ้นมาลงไป เพราะว่าโลกที่หมุนเป็นวงกลมมันทำให้เขาเวียนหัว แล้วก็คลื่นไส้

เมื่อความเจ็บปวดที่หัวของเขาหายไป และความปั่นปวนที่ท้องของเขาลดลงไป เขาก็ได้รวบรวมความกล้าลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง

โลกไม่ได้หมุนอีกต่อไปแล้ว เขาได้มองเห็นเพดานที่ไม่คุ้นเคย สายตาของเขาได้เริ่มเพ่งมอง แต่ว่ามันก็ยังยากอยู่ดีที่จะมองว่าสายตาของเขามองภาพได้ปกติ

จะเรียกว่ามันพร่าได้ไหมนะ?

เพดานได้สั่นอยู่เบาๆ เหมือนกับว่าเขากำลังมองขึ้นไปบนโลกจากใต้น้ำ

‘เกิด.. อะไรขึ้น…?’

เขาอยากจะมองไปรอบๆห้อง แต่ว่าหัวของเขากลับไม่ยอมขยับเลยแม้แต่นิด เมื่อเขาได้เริ่มกลอกตาเพราะไม่มีทางเลือก เขาก็ได้เห็นคนที่เขาคุ้นเคย

นั่นก็คือซอยูฮุย

‘พี่สาว…?’

ซอลจีฮูได้ค่อยๆ หลับตาลงไป จากนั้นก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง

‘ฉัน… ยังไม่ตาย…?’

ความทรงจำหลังจากที่ใช้นิมิตของเขานั้นมืดสนิท แต่ว่าจากที่เขารู้สึกในตอนนั้น เขาคิดว่าเขาจะตายไปแล้ว

เขาไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

แต่ว่าเมื่อรู้สึกโล่งใจที่เห็นซอยูฮุย เขาก็ได้เรียกเธอ ไม่สิ เขาพยายามจะเรียกเธอ

‘…’

เสียงของเขาไม่ได้ดังออกมา

‘อะไรกัน… ร่างกายของฉัน…’

ซอลจีฮูที่รู้สึกใจร้อนได้พยายามจะส่งสัญญาณออกไปทางสายตา แต่ว่าซอยูอุยไม่ได้มองเขาอยู่ ในตอนนี้พอมองดูดีๆแล้ว เธอมีสีหน้าที่ไม่พอใจ และกำลังขยับปากอยู่ มันดูเหมือนกับว่าเธอกำลังเถียงอยู่กับใครสักคน

เมื่อเขาได้กลอกตาออกไปเท่าที่ทำได้ เขาก็เห็นคนอีกคนหนึ่งจากมุมสายตา

คนๆนี้เป็นผู้หญิงที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน เป็นหญิงสาวชาวเอเชียที่สวมใส่ชุดแจ็คเก็ตยาวแบบดั้งเดิม ปากของเธอก็กำลังขยับอยู่เช่นกัน แถมคิ้วเธอยังขมวดขึ้นอีกด้วย

ในตอนนี้มันชัดเจนแล้วว่าหญิงสาวทั้งสองคนกำลังโต้เถียงกันอยู่

‘ทำไมพวกเธอถึงเถียงกันด้วยล่ะ…?’

ซอลจีฮูได้มองสำรวจดูหญิงสาวทั้งสองคนด้วยความไม่เข้าใจ

‘ได้โปรดอย่าทะเลาะกัน…’

ไม่นานนักหญิงสาวที่ถือหอกสีหยกก็ได้กระทืบเท้าออกไปอย่างไม่พอใจ

ซอลจีฮูได้จ้องมองดูประตูที่ค่อยๆปิดลงไปด้วยสีหน้าไม่พอใจ ก่อนจะหันหน้ามา จากนั้นสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นกังวล และค่อยๆยื่นมือออกมา

ดวงตาของซอลจีฮูได้สั่นไหวเบาๆ เขาเห็นฝ่ามือของซอยูฮุยกำลังลูบไล้แก้มของเขาอยู่ แต่ว่าเขากลับไม่รู้สึกอะไรเลยแม้แต่นิด

ในตอนนั้นเองซอลจีฮูถึงได้รับรู้ถึงสภาพร่างกายของเขาที่เป็นอยู่

หลังจากได้สติมาแล้ว ซอลจีฮูก็ตั้งใจพยายามทำความเข้าใจกับสถานการณ์ในปัจจุบัน และไม่นานนักเขาก็ได้คำตอบกลับมาว่าเขา ‘ยังไม่ตาย’

ดูจากห้องนี้แล้ว มันดูเหมือนกับว่าเขากำลังพักฟื้นอยู่ในวิหารลูซูเรีย แต่ว่านอกจากนี้เขาก็ไม่รู้อะไรแล้ว

นั่นมันก็เพราะว่านับตั้งแต่ที่ตื่นขึ้นมา เขาก็ขยับตัวไม่ได้เลย

‘ไม่มีทาง’

ไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหน แขนขาของเขาก็ไม่ได้ขยับเลยแม้แต่นิด กระทั่งการเปิดปิดปากก็ยังยากเลย

เขารู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายของเขากำลังหลับอยู่ และมีเพียงแค่จิตใจเท่านั้นที่ตื่นขึ้นมา ยังไม่หมดเท่านั้น นอกจากการมองเห็นแล้ว ร่างกายที่ไม่อาจควบคุมได้ของเขาได้สูญเสียสัมผัสไปทั้งหมด

ซอยูฮุยหรือนักบวชที่เขาไม่รู้จักจะมาดูแลเขาเป็นช่วงๆ แต่ว่าเขาก็ไม่อาจจะได้ยินถึงสิ่งที่พวกเธอคุยกันได้เลย ดูจากปากแล้วมันชัดเจนมากว่าพวกเขากำลังพูดอยู่ เพราะงั้นการที่หูของเขาไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยมันทำให้เขาแทบจะคลั่ง

ในตอนแรกมันเป็นเต็มไปด้วยความสับสน แต่ว่าเมื่อความสับสนลดลง สิ่งที่ตามมาก็คือความเจ็บปวด

‘ให้ตายสิ’

เขาได้นอนเป็นพักไปวันแล้ววันเล่าโดยที่ไม่อาจจะทำอะไรได้เลย เว้นก็แต่แค่การกระพริบตาเท่านั้น แล้วก็เพราะงั้นทุกๆครั้งก่อนที่เขาจะหลับไป เขาก็จะภาวนาออกมา

‘ได้โปรดให้มันเป็นแค่ฝัน’

แต่ว่าไม่ว่าเขาจะตื่นขึ้นมาจากหลับมากแค่ไหนเพดานบนหัวของเขาก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย

และเพราะแบบนี้ วันเวลาที่เขาภาวนาก่อนจะหลับไป และตื่นขึ้นมาด้วยความหงุดหงิดก็ได้ดำเนินต่อไป

ซอลจีฮูจีได้แต่สิ้นหวังที่รับรู้ว่าเขาไม่อาจจะทำอะไรกับชะตากรรมนี้ของเขาได้

***

แม้ว่ามันอาจจะฟังดูน่าตลก แต่ว่ามีอยู่ห้าขั้นตอนในการยอมรับความตาย

หนึ่งก็คือการปฏิเสธ ในขั้นนี้ คนๆนั้นจะปฏิเสธความเป็นจริง แต่ว่าไม่นานนักอารมณ์ของพวกเขาก็จะเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น นั่นคือความโกรธ

และเมื่อสถานการณ์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปไม่ว่าจะโกรธมากแค่ไหน พวกเขาก็จะเริ่มสาบานออกมา

บางคนก็ร้องขอกับเทพ บางคนก็สัญญาว่าจะยกทุกอย่างให้ อนาคตของพวกเขา ความเชื่อ และกระทั่งอิสระภาพ หากว่ามีคนมาช่วยให้พวกเขามีชีวิตต่อไป

แต่เมื่อเวลาผ่านไปความหวังอันไร้สาระนี้ก็จะหายไป กลายมาเป็นความสิ้นหวังแทน

ฉันจะต้องนอนอยู่บนเตียงไปตลอดเลยหรอ? ไม่อาจจะกลับโลกได้เลยหรอ?

สภาพที่ ‘ไม่ใช่ทั้งมีชีวิตหรือตาย’ เป็นสิ่งที่ชาวโลกทุกๆคนอยากจะหลีกเลี่ยงมันให้มากที่สุด ในตอนนี้เมื่อความเป็นไปได้มันเข้ามาในหัวของเขา ความหวาดกลัวที่ไม่เคยมีมาก่อนก็ได้พวยพุ่งเข้ามา

เมื่อเวลาได้ผ่านไป และเขาเคยชินกับความกลัว ซอลจีฮูก็จะได้มาถึงขั้นสุดท้าย การยอมรับ

แต่ว่าสิ่งที่พอจะปลอบใจในความเศร้านี้ได้ก็คือเขาไม่ได้ยอมรับว่าเขากำลังตาย เขาก็แค่ยอมรับความจริง และเฝ้ารอว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเขารอต่อไป

เหตุผลที่ความคิดของเขามาหยุดลงตรงนี้ก็คือแขกที่มาเยี่ยมเขาในช่วงนี้

ขณะที่ตาเขาเปิดอยู่ ซอลจีฮูก็ได้เห็นผู้คนมากมาย จางมัลดง แล้วก็สมาชิกคาเพเดี่ยม แอ็กเนส โอราฮี เทเรซ่า ฟีโซรา คนอื่นๆอีกมากมาย…

แทบจะทุกๆคนที่เขารู้จักได้มาปรากฏตัวต่อหน้าเขาโดยไร้บาดแผล

ซินเซียกับฮ่าวอวิ่นก็ยังมา และกระทั่งคิมฮันนาห์กับยุนซอราก็ยังเดินทางมาจากสกีเฮราซาร์ดอีกด้วย

ซอลจีฮูได้ยิ้มเขินๆออกมาเมื่อเขาเห็นยุนซอราถูจมูกด้วยสีหน้าแดงก่ำ ในเวลาเดียวกันเขาก็รู้สึกซาบซึ้งที่เธอเป็นห่วงเขา

เขายังเห็นโฟลนเป็นครั้งคราวอีกด้วย เธอจะปรากฏตัวขึ้นในตอนที่ไม่มีใครอยู่ และมันชัดเจนว่าเธอกำลังรู้สึกหมดพลัง

ในตอนไปหาเธอที่หลุมศพ เขาจำได้ว่าเขาเคยถ่ายถอดความคิดไปให้เธอได้ แต่ในคราวนี้ไม่ว่าเขาจะพยายามสักแค่ไหน เขาก็ไม่อาจจะทำให้โฟลนตอบกลับมาได้เลย

เธอเพียงแค่ลอยไปรอบๆเตียงอย่างเศร้าๆ ก่อนที่จะมาขดตัวอยู่ข้างๆซอลจีฮู เขารู้สึกแย่มากที่เห็นเธอเป็นเหมือนลูกแม่ที่กำลังรอเจ้าของในวันฝนตก

มาเรียก็ยังมีชีวิตอยู่เหมือนกัน หญิงสาวผมบลอนด์คนนี้ได้มาเยี่ยมเขาพร้อมกระเช้าดอกไม้ จากนั้นเธอก็มองมาที่เขาด้วยสายตามืดมน เธอได้โยนกระเช้าลงไปที่พื้นด้วยความโกรธ

จากนั้นซอลจีฮูก็เห็นเธอยกมือขึ้น และขยับปากอย่างไม่สบอารมณ์

‘ลงทุน? เธอลงทุน?’

ตอนที่ซอลจีฮูอ่านปากของมาเรียเสร็จ และได้เดาคำพูดที่เธอพูดออกมา เธอก็ได้กุมหัว และเริ่มกลิ้งไปกับพื้น

น้ำตาที่เหมือนลูกปัดกระทั่งไหลออกมาจากตาของเธอ!

พูดตรงๆแล้วมันดูไม่เหมือนกับว่าเธอร้องไห้เพราะความเป็นห่วงเขาเลย แต่ว่าการแสดงละครใบ้ของเธอนี้มันทำให้ซอลจีฮูรู้สึกขำขึ้นมา

เพราะการที่มีคนที่เขาคิดว่าตายไปแล้วมาเยี่ยมเขาทีล่ะคนทำให้ซอลจีฮูอดที่จะรู้สึกมีความหวังขึ้นมาไม่ได้

แขกยังมาไม่หยุดแม้ว่าเขาจะคิดว่าทุกๆคนมาเยี่ยมเขาแล้ว นั่นมันก็เพราะว่าแต่ล่ะคนต่างก็มาเยี่ยมเขาซ้ำๆ ไม่มีคนไหนเลยที่จะมาเยี่ยมเขาแค่ครั้งเดียว พวกเขามาสองครั้ง สามครั้ง… ไม่สิ มีกระทั่งคนที่มาเยี่ยมเขามากกว่ายี่สิบครั้งอีกด้วย

‘เธอมาอีกแล้ว’

หญิงสาวสวมแจ็คเก็ตแบบดั้งเดิมได้เปิดประตูเขามา ตัดสินจากหอกสีหยกในมือเธอแล้ว เธอคนนี้จะเป็นเป็นหญิงสาวที่เถียงกับซอยูฮุยในวันแรกที่เขาตื่นขึ้นมาอย่างแน่นอน

‘นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วนะ?’

ซอลจีฮูจะรู้สึกแปลกๆในทุกๆครั้งที่เห็นผู้หญิงลึกลับที่มีออร่าชวนฝันคนนี้ เขาไม่รู้เลยว่าเธอเป็นใคร แต่ว่านี่มันเป็นครั้งที่สิบแล้วที่เขาเห็นเธอมาเยี่ยมเขา

ซอยูฮุยยังคงอยู่ในอันดับหนึ่งที่มากมหาสาล แต่ว่าส่วนหนึ่งนั่นมันก็เพราะว่าวิหารแห่งลูซูเรียเป็นบ้านของเธอ

เมื่อคำนึงถึงจำนวนครั้งที่มาเยี่ยมแล้ว หญิงสาวลึกลับคนนี้ก็ทำได้เยี่ยมเช่นกัน เธอมาบ่อยยิ่งกว่าฮิวโก้ กับโชฮง และกระทั่งเกือบจะเทียบได้กับยี่ซอลอากับยี่ซังจินที่มาในทุกๆครั้งที่ว่างได้ด้วยซ้ำไป

สิ่งที่โดดเด่นยิ่งไปกว่านั้นก็คือทุกๆครั้งที่เธอมา เธอจะจ้องมองเขาเฉยๆโดยไม่พูดอะไรออกมาเลย ซอลจีฮูสามารถจะเห็นเธอถอนหายใจออกมาเป็นครั้งคราว

ภายในดวงตาของเธอมีความกังวลที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้อยู่

‘เธอเป็นใครกันนะ…?’

ซอลจีฮูได้แต่กระพริบตามองดูหญิงสาวที่จ้องเขาเฉยๆ ก่อนจะกลับไป

***

ผ่านมานานแค่ไหนแล้วนะ?

ซอลจีฮูเลิกนับวันเวลาไปแล้ว แต่เขาก็รู้ว่านี่มันไม่ใช่แค่ช่วงสั้นๆ อย่างแน่นอน เหตุผลที่เขายังไม่ได้หมดหวังไปนั่นก็เพราะหลังจากผ่านไปนานก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กๆขึ้นที่ร่างของเขา

-น่าขำใช่ไหมล่ะ?

เขาเริ่มได้ยินเสียงแล้ว

มันไม่ใช่เสียงชัดเจน แต่เป็นสีอื้อราวกับว่ามีคนกำลังพูดใส่ไมค์ แต่ว่าเขามีสิทธิ์จะบ่นด้วยงั้นหรอ?

เนื่องจากว่าเขายังขยับร่างไม่ได้ การที่สามารถกลับมาได้ยินเสียงอีกครั้งก็ทำให้เขาโล่งใจขึ้นมาเป็นร้อยเท่าแล้ว

นอกไปจากนี้การที่กลับมาได้ยินเสียงอีกครั้งนั่นมันหมายความว่าร่างกายของเขาดีขึ้นแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเขาจะต้องรอไปนานแค่ไหน แต่ในตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าสัมผัสของเขากำลังฟื้นฟูขึ้นมา

มันเป็นธรรมดาที่เขาจะมีความหวังมากยิ่งขึ้น

-นายรู้อะไรไหม มาเรียได้ร่ายเวทย์รักษาในตอนที่เธอลุกขึ้นมาหลังจากถูกเตะ หลังจากหยุดเลือดแล้ว เธอก็คลานเข้าไปในกองศพ และหลับตาลง เธอบอกว่านี่คือวิธีที่เธอเอาตัวรอดออกมาได้ เจ้าหนูนี่ก็นะ

‘ก็สมกับเป็นคุณมาเรียแหละนะ’

ซอลจีฮูได้ตอบกลับคำอธิบายของโชฮงกลับไปในใจ

-อ่า แต่ว่าอย่าไปคิดไม่ดีกับเธอนะ ความหมั่นเพียรอันนิรันดร์ได้บอกกับเธอว่าหากเธอเผยตัวตนของนาย เขาก็จะปล่อยเธอไป แต่ว่าเธอก็ยังปิดปากเงียบ และใช้โยเนียร์ทุบเข้าที่หัวหมอนั่นเลยล่ะ

‘จริงหรอ? ไม่อยากจะเชื่อเลย’

-มาคิดดูแล้วไอ้เจ้าจีโอก็น่าขำเหมือนกัน ฉันก็สงสัยอยู่เลยว่าไอ้เจ้าเด็กแสบนี่ไปอยู่ไหน มันปรากฏเขาถูกศัตรูจับไปเป็นเชลยน่ะสิ

‘อะไรนะ?’

-ความบริสุทธิ์อันโสมมได้สั่งให้ซัคคิวบัสของเธอจับเขาไปเป็นนักโทษ น่าขำจริงๆเลย!

‘อืม ฉันไม่คิดว่านั่นมันน่าขำนะ’

โชฮงได้หัวเราะออกมา จากนั้นก็บิดตัวออกมา

-ยังไงก็เถอะนะ สงครามมันจบลงไปแล้ว คนที่สมควรจะมีชีวิตอยู่ก็ยังมีชีวิตอยู่ ปัญหาหลังสงครามก็ได้ถูกปรามเอาไว้ และสิ่งต่างๆได้สงบลง… เพราะงั้นทำไมนายถึงยังนอนอยู่ตรงนี้ล่ะ? นี่มันสบายงั้นหรอ?

‘เล่าให้ฉันฟังหน่อยสิ’

-ไอ้เวร ลุกขึ้นมาแกล้งอะไรสักหน่อยสิ เหมือนแต่ก่อนไง ฉันจะล่ะเว้นนายสักครั้งแล้วกัน จริงๆนะ

‘เยี่ยมไปเลย ฉันจะทำมันในทันทีที่ฉันลุกได้เลยล่ะ’

-นายคงจะยังไม่ได้รู้ว่าช่วงนี้เกิดอะไรขึ้นในพาราไดซ์ใช่ไหม?

‘นี่เธอถามกับคนที่พูดไม่ได้เนี้ยนะ?’

ซอลจีฮูได้บ่นขึ้นมาภายในใจ

-ช่วงนี้ฉันรู้สึกหงุดหงิดสุดๆไปเลยล่ะ

‘ไม่ใช่ว่ากระทั่งช่วงสงครามเธอก็ยังมีความสุขไม่ใช่หรอ?’

-…ฉันอาจจะเป็นคนแปลกๆนะ แต่ว่าพอได้เห็นเมืองอยู่ในความรื่นเริงพร้อมกับพวกคนที่เอาแต่พล่ามว่านี่เป็นชัยชนะครั้งแรกของมนุษยชาติอะไรแบบนี้… มันทำให้ฉันคลื่นไส้จริงๆเลย

‘ทำไมล่ะ?’

-ไอ้เจ้าพวกเศษสวะพวกนั่น พวกเขาได้คิดไหมว่าใครต้องทำอะไรไปบ้างเพื่อชัยชนะครั้งนี้น่ะ? มีความสุขกันเข้าไปเถอะ…

น้ำเสียงของโชฮงได้ค่อยๆเบาลงไป จากนั้นเสียงของเธอก็ขาดห้วงไปอย่างกระทันหัน

ซอลจีฮูที่กำลังจ้องมองไปที่แสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาในหน้าตาก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติ และหันไปหาโชฮง

เมื่อเขาได้มองไปที่เธอ…

-นายรู้อะไรไหม?

เธอได้พูดต่อ

-ช่วงนี้ที่สำนักงานคาเพเดี่ยมเป็นเหมือนกับวัดเลยล่ะ ฉันไม่เคยเห็นตาแก่หมดพลังแบบนี้มาก่อนเลย

‘…’

-เราจะต้องรอไปอีกนานแค่ไหนกัน?

โชฮงได้ที่นั่งอยู่ตรงมุมเตียงได้ยืนขึ้น และมองลงมาที่เขาก่อนที่เขาจะรู้ตัวซะอีก

-เมื่อไหร่นายจะตื่นขึ้นมากันล่ะ?

ยิ่งเมื่อเห็นรอยแดงบริเวณตาของเธอ ซอลจีฮูก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา

‘ทำไมเธอถึงร้องไห้.. อีกแล้วล่ะ…’

เขาอยากจะบอกเธอว่าเขาไม่เป็นไร เขาได้สติมาแล้ว และก็กำลังดีขึ้นอย่างช้าๆ อย่างน้อยที่สุดเขาก็อยากจะพอเธอว่าอย่าร้องไห้

แต่ว่าเขาก็ไม่อาจจะทำได้เลย ซอลจีฮูได้รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเป็นครั้งแรกหลังจากไม่ได้รู้สึกมานาน

‘…ฉันควรจะลองดูไหมนะ?’

เขาได้ยอมแพ้ที่จะลองขยับร่างกายมานานแล้ว มันไม่เพียงแต่จะทำให้เขาเบื่อหน่ายเท่านั้น แต่มันก็ยังทำให้เขาหดหู่ขึ้นมาอีกด้วย

‘แต่ว่า…’

เขาอยากตะพูดออกมาให้ได้ อย่างน้อยที่สุดเขาก็หวังว่าจะพูด ‘อ่า’ หรือ ‘อื้อ’ ออกมาให้ได้

ไม่นานนักหลังจากสูดหายใจเข้าลึกๆ และพยายามจะเปล่งเสียงออกมา

‘หืม?’

จู่ๆภาพที่เขาเห็นก็พร่ามัวไป เขาไม่อาจจะมองเห็นอะไรได้อีกราวกับกำลังเดินอยู่ในม่านหมอก

และทันใดนั้นเขาก็รู้สึกร่างกายหนักขึ้นมา

‘อะไรกัน-?’

เมื่อรู้สึกเหมือนกับมีของหนักมาถ่วงเอาไว้ เขาก็ได้ค่อยๆหลับตาลงไปโดยไม่รู้ตัว

และเมื่อเขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็มองมันได้อย่างชัดเจน

เพดานได้กลายเป็นชัดเจนมากยิ่งขึ้น

“ฟู่”

เขาได้บ่นลมออกมาเหมือนกับว่าเขาเพิ่งจะผุดขึ้นมาจากใต้น้ำ มันไม่ใช่จากจมูก แต่เป็นจากปากของเขา

โลกมันไม่ได้สั่นไหว และชัดเจนกว่าเก่าแล้ว

ซอลจีฮูได้หันหัวออกมาด้วยความสับสน แม้ว่าเขาจะรู้สึกทื่อหน่อยๆ แต่ว่าหัวของเขาก็ขยับออกไปด้านข้างแล้ว

ห้องมันมืดอยู่ ไฟได้ถูกปิดเอาไว้ และภายนอกหน้าต่างก็มีแต่ท้องฟ้าที่มืดสนิทปกคลุมอยู่

ซอลจีฮูได้รีบกระพริบตาออกมาซ้ำๆอยู่หลายครั้ง

ไม่ใช่ว่าฉันกำลังคุยกับโชฮงอยู่หรอ?

มันยังมีแสงแดดอยู่เลยนะ!

ไม่นานนักในที่สุดเขาก็หลุดจากความสับสนและพูดออกมา

“เกิด…. อะไรขึ้น…?”

เขาได้เบิกตากว้างขึ้นมา

‘เสียงของฉัน…’

เขาสังเกตได้ว่าเขาหันหน้าอยู่ ร่างกายอของเขารู้สึกร้อนเหมือนกับว่าเขากำลังอบซาน่า แน่นอนว่าสิ่งสำคัญก็คือสัมผัสของเขาได้กลับมาแล้ว

“อ่า”

ซอลจีฮูได้ยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้า แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นมาแทน เขารู้สึกเจ็ดแปลบขึ้นที่แก้ม

แต่ว่าในตอนนี้เขากระทั่งยินดีกับความเจ็บปวด

“นี่มันคืออะไร…?”

เขาได้เห็นเข็มสีทองปักลงไปบนหลังมือของเขาอยู่ แถมมันไม่ใช่จุดเดียวด้วย

ต้นแขน อก ท้อง ต้นขา น่อง และกระทั่งเท้า… มีเข็มนับร้อยปักลงไปบนร่างของเขาจนทำให้เขาดูเหมือนกับเม่น

เขาได้แต่หลับตาลงก่อนจะเปิดขึ้นมาอีกครั้ง แต่ว่ามีหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปนับตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่เขาตื่นขึ้นมา

เขาอยากจะกระโดดออกจากเตียง และขยับตัว แต่ว่าเขาก็ต้องใช้ความอดทนกลั้นมันเอาไว้ มันจะต้องมีเหตุผลที่เข็มจำนวนมากปักร่างเขาอยู่แน่ๆ หากว่าเขาไปสัมผัสมันหรือทำอะไรผิดไป เขาก็คงจะโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง

และเพราะงั้นเมื่อเขาหันหัวไปข้างๆ เขาก็เห็นหญิงสาวกำลังฟุบหน้าหลับอยู่ข้างเตียง

นั่นก็คือยี่ซอลอา

เธอคงจะหลับไปในระหว่างทำหน้าที่เฝ้าเขาในตอนกลางคืนแน่ๆ

“ซอลอา…”

ซอลจีฮูได้เรียกยี่ซอลอาออกมาเบาๆ ในเวลาเดียวกัน เขาก็รู้สึกตกใจกับน้ำเสียงแหบแห้งของเขา เสียงของเขามันฟังดูเหมือนกับเสียงคนป่วยเป็นโรคเรื้อรังมากจริงๆ

หรือว่าเขาพูดเสียงเบาเกินไป? แม้ว่าเขาจะเรียกเธอไปหลายครั้งแล้ว ยี่ซอลอาก็ไม่ได้แสดงทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาเลย

ซอลได้เผลอคิดจะดึงเข็มออกมาสักเล่ม แล้วก็เอาไปจิ้มเธอ แต่แล้วก็ต้องรีบทิ้งความคิดนี้ออกไป

“ยาโดปคือ…”

ผงะ

ไหล่ของยี่ซอลอาได้สั่นขึ้นมาเล็กๆ

“ซอลอา…!”

เมื่อเขาได้เรียกเธอออกมาอีกครั้ง ในที่สุดเธอก็ลืมตาขึ้น เมื่อสายตาพวกเขาสบกัน คางของยี่ซอลอาก็ค่อยๆยกสูงขึ้น

“คะ… คุณพี่?”

เธอได้พึมพำออกมาอย่างสับสนทั้งๆที่ยังมีคาบน้ำลายอยู่ หลังจากจ้องซอลจีฮูอยู่สักพักแล้ว ใบหน้าของเธอก็มีความตกตะลึงปรากฏขึ้นมา

“คุณพี่… คุณพี่ตื่นแล้ว!?”

เธอไม่เพียงแค่ตะโกนเท่านั้น แต่เธอก็ยังพุ่งพรวดขึ้นมา หากว่าเขาปล่อยเอาไว้เธอจะต้องร้องกรีดออกมาแน่ๆ เพราะงั้นซอลจีฮูได้รีบหยุดเธอเอาไว้

“เดี๋ยวก่อนซอลอา รอเดี๋ยวก่อนนะ”

ยี่ซอลอาที่กำลังจะย่ำเท้าไปที่ประตูได้หันกลับมา

“ฉันเข้าใจความรู้สึกของเธอนะ แต่ว่าช่วยใจเย็นลงก่อน”

ความสับสนได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของยี่ซอลอา เธอแทบจะเป็นลมไปจากความตกใจอยู่แล้ว เธอไม่อาจจะสงบใจได้เลย

แต่ว่านี่ก็เป็นปกติเพราะว่าเธอไม่เคยรู้เลยว่าซอลจีฮูได้ตื่นขึ้นมานานแล้ว

“อย่างแรก… ฉันเอาเข็มพวกนี้ออกไปได้ไหม?”

เมื่อซอลจีฮูมองลงมาที่เข็มสีทอง และถามขึ้น ยี่ซอลอาก็ส่ายหัวออกมา

“ฉะ ฉันไม่มั่นใจ คุณปู่น่าจะรู้… ฉันจะไปหาคุณปู่!”

“ไม่ ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก่อน”

ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมา

เขารู้สึกสับสนมากอยู่แล้ว เพราะงั้นเขาไม่มั่นใจเลยว่าจะรับมือไหวไหมหากมีคนจำนวนมากเขามาในห้อง

“คุณพี่… ตื่นแล้วจริงๆหรอ?”

ขณะที่ซอลจีฮูกำลังจะระเบียบความคิด ยี่ซอลอาก็ถามออกมาด้วยน้ำเสียงแปลกๆ

“ใช่แล้ว ทำไมหรอ?”

“คุณพี่ดูสงบเกินไป…”

ซอลจีฮูได้ยิ้มแห้งๆออกมา จากนั้นยี่ซอลอาก็เริ่มสะอื้อขึ้น

“ฉันร้องได้ไหม?”

“ไม่ ไม่ได้เด็ดขาด”

“ทำไมล่ะ? น้ำตากำลังไหลออกมาแล้ว”

“เธอร้องไห้มามากแล้ว”

“มะ ไม่ ฉันไม่ได้ร้อง!”

ยี่ซอลอาได้เด้งตัวด้วยความตกใจ

“โกหก เธอเป็นเด็กขี้แยอันดับสองเชียวนะ”

เมื่อได้ยินคำพูดที่มั่นใจของซอลจีฮู ยี่ซอลอาก็ทำสีหน้าไม่พอใจออกมา ในขณะเดียวกันเธอก็ก้าวเท้าต่อไป

ขณะที่ยี่ซอลอากำลังดูกระตือรือร้นที่จะไปบอกข่าวนี้กับทุกๆคน ซอลจีฮูก็รีบถามออกมา

“ฉันไม่ได้ฝันไปใช่ไหม?”

ไม่ คุณพี่ไม่ได้ฝัน ฉันสัญญา”

ซอลจีฮูได้ถามติดตลกออกมา แต่ว่ายี่ซอลอาได้ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเบาๆ แต่ว่ามั่นใจ

“ฉันดีใจ … มีคนตั้งเยอะที่พยายามช่วย แต่ว่าคุณพี่ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาเลย…”

“…จริงหรอ?”

“ใช่แล้วล่ะ พี่สาวที่ถูกเรียกว่าบุตรแห่งลูซูเรียเป็นคนที่พยายามมากที่สุดเลย ฉันได้ยินว่าเธอเกือบจะตายไปเพราะการรักษา…”

เธอได้พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ในขณะพูดออกมา ในเวลาเดียวกันซอลจีฮูก็ขมวดคิ้วขึ้น

“อะไรนะ?”

“อ่อ ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ เธอพักฟื้นกลับมาก่อนที่จะสายเกินไปแล้ว”

ยี่ซอลอาได้รีบโบกมือออกมา

ยังไงก็ตามซอลจีฮูก็ไม่ได้พลาดถึงความแตกต่างในสิ่งที่เขารู้จากตอนที่เขาตื่นขึ้นมา และสิ่งที่เขาเพิ่งจะได้ยินจากยี่ซอลอา

แม้ว่าเขาจะไม่มั่นใจว่าความทรงจำพวกนั้นมันถูกต้องแค่ไหน แต่ซอยูฮุยเป็นคนที่มาเยี่ยมเขาบ่อยสุด และดูแลเขามากที่สุด เธอไม่ได้ดูป่วยเลยแม้แต่นิด เพราะงั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันล่ะ?

จากนั้นซอลจีฮูก็นึกขึ้นได้ว่าเขายังไม่ได้ถามคำถามที่สำคัญที่สุด

“ซอลอา ฉันหมดสติไปนานแค่ไหนนะ?”

“อืม…”

ยี่ซอลอาได้เริ่มนับวันอย่างตั้งใจ

“ประมาณ 5 สัปดาห์…?”

ห้าสัปดาห์ เขา หลับไปเดือนกว่า แต่ว่าในเมื่อมันค่อนข้างจะตรงกับที่เขาคิดไว้ เขาก็เลยไม่ได้ตกใจมากนัก

“ของเวลาบนโลก”

“อะ… อะไรนะ?”

แต่ว่าเมื่อเขาได้ยินสิ่งต่อมา ดวงตาเขาก็เบิกกว้างขึ้น

“5 สัปดาห์ของเวลาบนโลก? ถ้างั้นก็เป้น 15 สัปดาห์ในพาราไดซ์ล่ะมั้ง?”

“…หํะ…”

เมื่อซอลจีฮูได้ถามซ้ำให้มั่นใจ ยี่ซอลอาก็หยักหน้าออกมา

‘ไม่มีทางน่า’

ภายในพาราไดซ์ได้ผ่านมาสามเดือนกับอีกสามสัปดาห์แล้วงั้นหรอ?

ซอลจีฮูไม่อาจจะซ่อนความตกตะลึงของระยะห่างเวลาที่เกินกว่าที่เขาคาดคิดไปได้เลย

“พอจะบอกฉันได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น? อย่างฉันรอดมาได้ยังไง แล้วก็ทำไมฉันถึงหมดสตินานนัก”

ยี่ซอลอาได้มองไปที่ประตูอยู่สักพัก แต่ไม่นานก็หันกลับมา จากนั้นเธอก็ค่อยๆเริ่มอธิบาย

“สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ…”