ตอนที่ 270 หนอนและผีเสื้อ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 270 หนอนและผีเสื้อ

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 เดือนสอง วันที่ยี่สิบแปด ณ ทางเดินเท้าภูเขาฉีซาน

ขบวนรถม้าได้เดินทางอยู่ในเขตทางเดินเท้าภูเขาฉีซานเป็นวันที่สองแล้ว

เทือกเขาทั้งสองข้างสูงตระหง่านเสียดฟ้า หิมะบนภูเขายังไม่ละลาย เปรียบเหมือนแดนสวรรค์ที่เต็มไปด้วยเมฆหมอก

ทางเดินนี้เป็นหุบเขาระหว่างภูเขาสองลูก สายน้ำเชี่ยวกรากไหลลงมาสู่เชิงเขา ดอกไม้ป่านานาชนิดเบ่งบานอยู่ข้างลำธาร

โดยมากเป็นดอกกุหลาบพันปี มีทั้งสีขาว สีแดงและสีม่วง ดอกไม้หลากสีเหล่านี้ดูเหมือนกำลังแย่งชิงต้นฤดูใบไม้ผลิ โดยไม่สนใจว่าจะมีใครชื่นชมพวกมันหรือไม่ พวกมันเบ่งบานอย่างภาคภูมิใจพร้อมกลิ่นหอมฟุ้ง

ขบวนรถมาหยุดอยู่ที่หุบเขาซีกู่ ล่าช้ากว่าที่พวกเขาคิดไว้ 1 วัน

เนื่องจากฝนตกต้นฤดูใบไม้ผลินั้น ทางเดินเท้าจึงเต็มไปด้วยโคลน ประกอบกับถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อ ขบวนรถจึงเดินหน้าไปช้ากว่ากำหนดมาก

พื้นที่ของหุบเขาค่อนข้างโล่ง มองไปเหมือนว่าภูเขานั้นถอยออกไปหลายร้อยเมตร เหลือไว้เพียงพื้นราบแห่งนี้

เซวียผิงกุยสั่งให้นายทหารทั้งหลายตั้งกระโจมที่นี่และจัดทหารยามคอยดูแลและคุ้มกันตลอดเวลา ฟู่เสี่ยวกวนลงจากรถม้า เขาพูดคุยกับพวกฉินเหวินเจ๋อ และมองไปยังทิวทัศน์ที่มีเสน่ห์ราวกับสวรรค์นี้ ดูเหมือนเขาจะลืมเรื่องการโจมตีเมื่อคืนก่อนไปเสียสนิทแล้ว

“ถนนสายนี้ หากสามารถขยายให้รถม้า 2 คันสามารถวิ่งสวนทางกันได้ อีกทั้งปรับระดับถนนให้ราบเรียบ ก็จะกลายเป็นเส้นทางหลักของการค้าและการแลกเปลี่ยนระหว่างราชวงศ์อู่และราชวงศ์หยูได้”

ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้ามองออกไปยังถนนด้านหน้า แล้วกล่าวอีกว่า “หากทั้งสองประเทศพัฒนาการค้าขาย เมืองเปียนเฉิงจะกลายเป็นเมืองการค้าที่สำคัญยิ่ง หากพวกเจ้ามีเงินพอ ข้าแนะนำให้ซื้อที่ดินบริเวณเปียนเฉิงเอาไว้ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า พื้นที่ตรงนี้จะมีมูลค่าเพิ่มอย่างแน่นอน”

ซังเหลียงมองดูฟู่เสี่ยวกวนด้วยความประหลาดใจ ท่านปู่ของเขาคือซังหยู จงซูลิ่งของเสมียนกลาง เขามิเคยได้ยินท่านปู่เอ่ยมาก่อนว่าทั้งสองประเทศจะทำความร่วมมือด้านการค้า แต่เขารู้สึกว่าฟู่เสี่ยวกวนจะมิเอ่ยสิ่งนี้ออกมาโดยไร้เหตุผล

“ท่านฟู่หมายความว่า…ทั้งสองประเทศนั้นจะให้ความสำคัญกับการค้าในอนาคตเยี่ยงนั้นรึ ? ”

“อาจจะเป็นดังนั้น เพียงแต่บัดนี้ยังมิอาจตัดสินได้”

อู๋เชวียครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยถามออกไปว่า “จากคำแนะนำของท่านฟู่แล้ว หลังจากการค้าของทั้งสองประเทศดำเนินขึ้น สินค้าของราชวงศ์อู่จะส่งผลกระทบต่อสินค้าของราชวงศ์หยูหรือไม่ ? ข้าได้ยินมาว่าการถลุงและตีเหล็กของราชวงศ์อู่นั้นเป็นเลิศกว่าของเรามาก ทั้งดาบ ชุดเกราะหรือแม้แต่เครื่องมือทางด้านการเกษตรและมีดทำครัวของพวกเขาก็ยังดีกว่าของพวกเรา อีกทั้งราชวงศ์อู่อุดมไปด้วยแร่เหล็ก สินค้ามีราคาถูกกว่าด้วย หากเป็นเยี่ยงนี้จะส่งผลให้ราชวงศ์หยูของเราขายมิได้หรือไม่ ? ”

อู่เชวียเพียงยกตัวอย่างขึ้นมา แท้จริงแล้วราชวงศ์อู่ยังมีสินค้ามากมายที่ดีกว่าและถูกกว่าราชวงศ์หยู อาทิเช่น อาหาร วัวควายแพะม้า และรวมไปถึงผลิตภัณฑ์จากไม้

นี่คือเหตุผลที่ควรได้รับการพิจารณาอย่างยิ่ง การที่แต่ละประเทศมิสามารถทำการค้าร่วมกันได้ ก็ด้วยเหตุผลนี้

ผู้นำของแต่ละประเทศเป็นกังวลถึงปัญหานี้ เนื่องจากแต่ละประเทศมีข้อดีข้อด้อยของตนเอง พวกเขาล้วนคิดกลัวว่าประเทศฝ่ายตรงข้ามจะนำจุดแข็งเข้ามาในประเทศของตน และจะส่งผลกระทบร้ายแรงต่ออุตสาหกรรมของพวกเขาในด้านนั้นๆ

หากอุตสาหกรรมเหล่านี้ในประเทศค่อย ๆ ลดลงจนกระทั่งหมดไป จึงส่งผลให้ต้องพึ่งพาอุตสาหกรรมเหล่านี้จากประเทศอื่น เมื่อใดที่อีกฝ่ายยกเลิกอุตสาหกรรมนั้นไปก็จะเป็นการนำหายนะครั้งใหญ่มาสู่ประเทศอย่างแท้จริง

ดังนั้นการปิดประเทศจึงเป็นสภาวะในปัจจุบัน มีพ่อค้าที่มีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่หรือแข็งแกร่งเพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่กล้าลักลอบแอบและแสวงหาผลประโยชน์มหาศาลจากการค้านี้

สายตาของฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังบรรดานักเรียนทั้งหลาย แล้วค่อย ๆ เอ่ยขึ้นมาว่า “ก่อนหน้านี้ข้าได้ให้คำถามแก่พวกเจ้าไว้ อะไรคือสิ่งที่ส่งเสริมความก้าวหน้าทางสังคม ? บัดนี้ ข้าจะเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟัง พวกเจ้าลองฟังดู”

“หนอนตัวหนึ่งนอนอยู่บนกองฟาง และเห็นผีเสื้อที่สวยงามบินอยู่ท่ามกลางดอกไม้ มันอิจฉาเป็นอย่างมากและถามผีเสื้อว่า “ข้าจะบินอย่างอิสระภายใต้แสงอาทิตย์เหมือนเจ้าได้หรือไม่ ?”

ผีเสื้อบินลงมาและเอ่ยกับมันว่า “หากเจ้าต้องการจะบิน เจ้าจะต้องมีความใฝ่ฝันที่จะโบยบินเสียก่อน มีเพียงเจ้าตั้งมั่นใฝ่ฝันว่าจะบิน เจ้าจึงจะสามารถออกจากรังไหมที่ห่อหุ้มตัวเจ้าอยู่ได้ เจ้าจึงจะมีความกล้าหาญที่จะก้าวออกมาจากรังไหมอันอบอุ่นและปลอดภัยนั้น ซึ่งเจ้าจะต้องผ่านความทุกข์ยากอย่างสาหัสเสียก่อน”

หนอนกล่าวว่า “ข้าอาจจะตายได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ! ”

ผีเสื้อกล่าวว่า “หากเจ้าคิดเช่นนั้น หมายความว่าเจ้ามิได้มีความปรารถนาที่จะโบยบินอย่างแท้จริง หากเจ้าจะเป็นหนอนตลอดไป แน่นอนว่าเจ้าต้องตายอย่างแน่นอน ทว่าหากเจ้ากล้าเผชิญหน้ากับการกลายเป็นผีเสื้อ และเมื่อเจ้าแตกตัวออกจากดักแด้ วินาทีนั้นเจ้าจะได้รับชีวิตใหม่กลายเป็นผีเสื้อเช่นข้า มีอิสระในการโบยบินใต้แสงแดดอันอบอุ่น”

ผีเสื้อเอ่ยต่อไปว่า “หากมิมีความกล้าหาญที่จะเผชิญหน้ากับความตาย เจ้าก็จะไร้โอกาสในการโบยบิน ! ชีวิตนี้เจ้าทำได้เพียงเป็นหนอนคืบคลานอยู่บนพื้นดินเท่านั้น ไร้โอกาสชื่นชมท้องฟ้าอันสดใส และดอกไม้แสนสวย อีกทั้งทิวทัศน์งดงามบนภูเขา เจ้าจะมีเพียงความมืดมิดที่ทั้งหนาวทั้งหม่นหมองในรังไหม ! ”

เหล่าบัณฑิตฟังแล้วต่างพากันหน้าตาคร่ำเครียด ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินต่างก็คิดตาม แม้แต่ซูเจวี๋ยที่มิได้ใส่ใจเรื่องเศรษฐกิจก็ยังคล้ายกับกำลังจับต้นชนปลาย

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะออกมาแล้วกล่าวว่า “วันนี้ข้าจะทิ้งคำถามไว้ให้พวกเจ้าอีกหนึ่งคำถาม จะทำเยี่ยงไรให้การแข่งขันทางการค้าระหว่างสองประเทศโดดเด่นและสามารถขจัดปัญหาการขัดแย้งได้ ? เช่นเดียวกัน หลังไปถึงเมืองกวนหยุนแล้วจงให้คำตอบแก่ข้า”

เรื่องราวของตัวหนอนที่สนทนากับผีเสื้อนั้น เป็นทางเลือกที่ต้องใช้จิตวิญญาณ

มิมีผู้ใดอยากเป็นตัวหนอน เช่นนั้นคงทำได้เพียงเลือกที่จะกลายเป็นผีเสื้อ

กว่าจะได้กลายเป็นผีเสื้อ จะต้องพบกับอุปสรรคและความทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส แต่สุดท้ายจะได้พบกับสายรุ้งและก้อนเมฆ !

ซังเหลียงมองดูฟู่เสี่ยวกวนด้วยท่าทางตกตะลึง ในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์หยูเป็นเวลากว่าสองร้อยปี มีเพียงฮ่องเต้องค์ก่อนเท่านั้นที่เสนอให้เปิดการค้าระหว่างประเทศ แต่ขุนนางปฏิเสธด้วยเหตุผลหลายประการ น่าเสียดายที่ฮ่องเต้องค์ก่อนมิได้ยินเรื่องราวของหนอนและผีเสื้อ มิเช่นนั้นเกรงว่าเขาจะต่อต้านความคิดของฝูงชนอย่างแน่นอน เช่นนั้นราชวงศ์หยูในวันนี้จะต้องเดือดร้อนเรื่องเงินอย่างที่เป็นอยู่อีกหรือไม่ ?

เขารู้ดีถึงประโยชน์ของการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้อ่านหนังสือกั๋วฟู่ลุ่นของท่านปู่แล้ว เขาก็ตระหนักได้ว่าการที่จะทำให้ประเทศเจริญรุ่งเรืองจะต้องปฏิวัติเยี่ยงไร

ในแต่ละครั้งที่มีการปฏิวัติจะต้องพบกับจิตวิญญาณเช่นนี้ เหมือนกับนิทานเรื่องนี้ที่ต้องการจะสื่อว่าจะต้องกล้าเผชิญหน้ากับความตาย

เช่นนั้น ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจะมีความกล้าหาญพอหรือไม่ ?

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยออกมาอย่างไร้จุดหมายแน่นอน ดูเหมือนว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญกำลังจะเกิดขึ้น !

ฟู่เสี่ยวกวนทิ้งคำถามอันน่าปวดหัวนี้เอาไว้ จากนั้นพาหยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานไปยังที่พัก

ธารน้ำที่เชิงเขาไหลมาบรรจบกันเป็นทะเลสาบเล็ก ๆ และมีดอกธูปฤๅษีจำนวนมากงอกขึ้นในทะเลสาบ ต้นไม้นี้จะไม่โตเต็มที่จนกว่าจะถึงฤดูใบไม้ร่วง และตอนนี้มันเสมือนเป็นเพียงพืชน้ำสีเขียวเท่านั้น

มีต้นกุหลาบพันปีจำนวนมากเติบโตอยู่ริมทะเลสาบ อีกทั้งดอกไม้ป่ามากมายที่อยู่ใต้ต้นไม้

“เจ้าสิ่งนี้ว่ากันว่า…” ฟู่เสี่ยวกวนชี้ไปยังดอกกุหลาบพันปี “โบราณได้กล่าวไว้ว่าในประเทศสู่มีกษัตริย์ชื่อว่าตู้หยู่ ฉายาว่าวั่งตี้ หลังจากที่ประเทศล่มสลายและเขาได้สิ้นชีพลง วิญญาณของเขาได้กลายเป็นนกชื่อว่านกแขกเต้า นกแขกเต้าตัวนี้จะส่งเสียงร้องไห้ในปลายฤดูใบไม้ผลิดังว่า “ปู้หรูกุย ปู้หรูกุย…”

สตรีทั้งสองมองมายังเขาด้วยความประหลาดใจ เขานำมือขึ้นลูบจมูกแล้วกล่าวว่า “นกแขกเต้าร้องเช่นนี้จริง ๆ ”

“แล้วจากนั้นเล่า ? ”