ตอนที่ 269 สับสน

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 269 สับสน

เหตุใดกัน ?

เพราะอาวุธนี้มิจำเป็นต้องใช้กำลังภายใน !

ฟู่เสี่ยวกวนมิมีกำลังภายใน แต่กลับใช้มันจนเกือบจะสังหารเป่ยหวังฉวนผู้มีชื่อเสียงคับฟ้าได้ !

เยี่ยงนั้น พลังภายในของมันแฝงไปด้วยพลังของผู้แข็งแกร่งแบบใดกัน ?

หรือว่าภายในจะถูกผนึกด้วยพลังของปรมาจารย์กัน ?

ของสิ่งนี้ได้โค่นล้มความคิดของซูเจวี๋ยและคนอื่นจนสิ้น

สิ่งที่เรียกว่าอาวุธ จำต้องปลุกเสกโดยกำลังภายในของผู้แข็งแกร่ง พวกมันจึงจะสามารถแสดงแสนยานุภาพที่แรงกว่าอาวุธอันอื่นได้

ตัวอย่างเช่นฉินของซูซู หรือคันธนูของเป่ยหวังฉวน หรือแม้แต่เลี่ยงเทียนฉือด้ามนั้นของสำนักเต๋า

บนโลกใบนี้มิมีสิ่งใดที่จะสามารถกำจัดอาวุธของปรมาจารย์ได้โดยมิใช้กำลังภายใน ดังนั้น พลังภายในของอาวุธชนิดนี้ ย่อมสาบสูญไปเนิ่นนานแล้ว มิมีผู้ใดที่รับรู้ถึงความลับนี้ได้

สีหน้าของซูเจวี๋ยเคร่งเครียดกว่าเดิม หันหลังกลับและมองไปยังทุกคน และกล่าวด้วยท่าทีจริงจังอย่างถึงที่สุด “เรื่องเกี่ยวกับอาวุธตัวนี้ อย่าได้แพร่งพรายออกไปเด็ดขาด”

เขาหันไปมองฟู่เสี่ยวกวนอีกครา “ตั้งแต่นี้ไป เจ้าเองก็ไม่สามารถยกขึ้นมาได้อีก คนไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยก หากมีคนรับรู้ว่าอาวุธชนิดนี้สามารถคุกคามผู้แข็งแกร่งระดับปรมาจารย์ได้ เชื่อข้าเถิด ผู้คนทั้งใต้หล้าจะแตกตื่นไปกับมัน ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า การปรากฏตัวของสิ่งนี้ในคืนนี้ เกรงว่าจะทำให้ยุทธภพต้องสั่นสะเทือน

เขาปิดล็อคกล่อง และส่งมันให้กับซูเจวี๋ย

“หมายความว่าเยี่ยงไร ? ”

“เจ้าสะพายไว้ ข้าจะได้วางใจ”

“…ได้ ข้าจะสะพายมันไว้เอง เจ้าสบายใจเถิด ! ”

…..

…..

ที่มาที่ไปของสิ่งนี้ บนโลกใบนี้มีเพียงต่งชูหลานที่รู้

ยามที่อยู่หลินเจียงเมื่อปีที่แล้ว นางได้ให้ทหารองครักษ์พาตัวเขาไปยังลำธารแห่งหนึ่ง และใช้ไม้ตะบองตีเขาจนสลบ หลังจากนั้นผู้คุ้มกันของนางก็พบว่าข้างกายของฟู่เสี่ยวกวนได้มีกล่องสีดำปรากฏตัวขึ้นมา

ผู้คุ้มกันนำของสิ่งนั้นกลับมาให้ต่งชูหลาน

ต่งชูหลานมิทราบว่านั่นคือของสิ่งใด จึงนำมันกลับไปยังเมืองหลวงด้วย

แรกเริ่มนางก็รู้สึกประหลาดมากยิ่งนัก จึงได้เชิญช่างกุญแจมากมายทั่วทั้งเมืองหลวงมาทดลองเปิดมันออก แต่กลับมิมีผู้ใดที่สามารถเปิดมันออกได้ เพราะมันมิมีรูกุญแจ

หลังจากนั้นก็เป็นตอนที่จะออกเดินทางไปยังราชวงศ์อู่ ฟู่เสี่ยวกวนได้เข้าห้องของนางเป็นคราแรก

ยังจำได้ว่าคืนนั้นฟู่เสี่ยวกวนมีความสุขที่ได้เห็นของสิ่งนั้น เขารู้จักเจ้ากล่องดำใบนี้ !

เขาเปิดกล่องดำนั้นออก เพียงแค่สัมผัสเท่านั้น มันก็เปิดออก !

นางเคยถามเขาแล้วว่านี่คือสิ่งใด เขากล่าวว่า…นี่คือศาสตราเทพ !

คำถามจึงได้เกิดขึ้น ในเมื่อเขามีศาสตราเทพที่แข็งแกร่งเยี่ยงนี้ไว้ในครอบครอง เหตุใดจึงถูกทหารยามที่ธรรมดาเหล่านั้นของตนตีจนสลบไปกัน ?

หรือว่าเขาจะจงใจกัน ?

แต่เหล่าทหารยามมิได้กล่าวว่ายามที่ลักพาตัวเขาไป เขาได้สะพายกล่องไว้ใบหนึ่ง

ต่งชูหลานนอนพลิกตัวไปมาด้วยอาการนอนไม่หลับ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าฟู่เสี่ยวกวนที่ตนเองคุ้นเคยได้เปลี่ยนจนแปลกไปเล็กน้อย

คิดว่าตนเองเข้าใจเขามากพอแล้ว แต่ราวกับว่าเขามีความลับที่ซ่อนอยู่อีกมากมาย

เขา…แท้จริงแล้วเป็นคนเยี่ยงไรกันแน่ ?

“เจ้ากำลังคิดถึงเขาอยู่รึ ?” หยูเวิ่นหวินพลิกร่างมา เผชิญหน้าและเอ่ยถามต่งชูหลาน

“เวิ่นหวิน เจ้าว่าหากมีวันหนึ่ง เขาเปลี่ยนไปจนเก่งกาจอย่างมาก…เปลี่ยนไปจนอยู่สูงเป็นพิเศษ แต่พวกเรากลับยังเหมือนเฉกเช่นในตอนนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาแล้วพวกเราจะดูต่ำต้อยเกินไปหรือไม่ ? เขายังจะปฏิบัติกับพวกเราเฉกเช่นในตอนนี้หรือไม่ ? ”

ไฟดับไปแล้ว กลางคืนมืดยิ่งนัก ยังคงมีเสียงฝนโปรยด้านนอกหน้าต่าง ที่นี่เงียบสงบมากยิ่งนัก

ผ่านไปเนิ่นนาน หยูเวิ่นหวินก็หัวเราะออกมาเบา ๆ “ต่อให้เขาเปลี่ยนไปจนเก่งกาจยิ่งกว่าเดิม เขาก็จะยังปฏิบัติกับพวกเราดังเช่นวันวาน”

“เพราะเหตุอันใดกัน ? ”

“หรือว่าเจ้าลืมช่วงเวลายามที่ไปซีซานเสียหมดสิ้นแล้ว เขาเทิดทูนความเท่าเทียมกันของมนุษย์ ดังนั้นพวกเราจะมิมีทางต่ำต้อย และเขาก็มิมีทางให้ผู้อื่นยกยอให้เขาอยู่สูงเป็นพิเศษถึงเพียงนั้นเป็นแน่”

และก็ได้ตกสู่ความเงียบที่กินเวลายาวนานอีกครา

“เจ้าว่า…การที่เทพบู๊ถูกส่งตัวออกมาในครานี้ จะเป็นฝีมือหยูชุนชิวหรือไม่ ? ท้ายที่สุดคนที่รู้ชัดเรื่องเวลาการมาที่นี่ของพวกเราดีที่สุดก็มิพ้นเขา”

หยูเวิ่นหวินครุ่นคิด “ข้าคิดว่ามิน่ามีทางเป็นไปได้ ข้ามิได้เข้าข้างเขาเพียงเพราะเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับข้า เขาและภรรยามิได้มีความคับข้องใจอันใดกับฟู่เสี่ยวกวน และเมื่อคืนวานเผิงยวี๋เยี่ยนยังได้เอ่ยเตือนฟู่เสี่ยวกวนถึงเรื่องที่ในเมืองหลวงมีคนหมายปองชีวิตของเขา”

“เยี่ยงนั้นเจ้าว่าจะเป็นผู้ใดได้กัน ? ผู้ใดที่จะมีความสามารถถึงขนาดเชิญเทพบู๊ผู้หนึ่งมาได้กัน ?”

“ข้า…เกรงว่าจะเป็นหยูเวิ่นชู !”

ต่งชูหลานตื่นตกใจ นางมิทราบเรื่องระหว่างฟู่เสี่ยวกวนและองค์ชายสี่ ดังนั้นจึงเอ่ยถามอีกว่า “เพราะเหตุใดกัน ?”

“ข้าเองก็มิทราบว่าเหตุใด เสด็จแม่ตรัสว่าในคืนเทศกาลโคมไฟผู้ที่ลอบสังหารฟู่เสี่ยวกวนมาจากสองฝ่าย ฝ่ายแรกคือตระกูลชือ แต่ในตอนนี้ก็เขาคุกไปแล้ว แต่อีกฝ่ายคือเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่เหล่านั้นเป็นคนของหยูเวิ่นชู นอกจากเขา ข้าก็คิดมิออกแล้วว่าจะยังมีผู้ใดอีก”

ต่งชูหลานพลิกตัวนอนราบไปกับเตียง สองตาลืมตื่น จ้องมองเพดานที่สีดำราวกับน้ำหมึก ลอบคิดในใจ หากองค์ชายสี่ได้เป็นองค์รัชทายาท ควรจะรับมือกับช่วงเวลาในภายภาคหน้าเยี่ยงไรดี ?

…..

ในคืนนี้มีผู้คนมากมายที่นอนไม่หลับ

เป่ยหวังฉวนย่อมเป็นหนึ่งในนั้น

ในตอนที่เขากำลังวิ่งไปตามทางเดินฉีซาน ในหัวเต็มไปด้วยความสับสน

คาดมิถึงว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีผู้ที่แข็งแกร่งเยี่ยงนี้อยู่ด้วย !

แท้จริงแล้วคนผู้นั้นคือใครกัน ?

แท้จริงแล้วคืออาวุธใดกันที่ทำตนบาดเจ็บสาหัส ?

ย่อมมิใช่ลูกศร ในเรื่องวิถีศร ใต้หล้านี้มิมีผู้ใดคุ้นเคยไปกว่าเขาอีกแล้ว

แน่นอนว่าหากในตอนนั้นตนมิเบี่ยงหลบ ก็คงถูกฝ่ายตรงข้ามสังหารในพริบตา แท้จริงแล้วคือทักษะแบบใดกันแน่ ?

กระดูกสะบักไหลได้หักไปแล้ว ด้วยพลังของปรมาจารย์ผู้แข็งแกร่งเยี่ยงเขาคาดมิถึงว่าจะไร้หนทางบังคับให้เจ้าสิ่งที่ฝังอยู่ในสะบักไหล่ออกมาได้ !

เขาได้ห้ามเลือดบริเวณปากแผลนั่นแล้ว ยามที่เลือดหยุดไหลเขาจ้องมองบาดแผลจ้องจนปวดไปทั้งคอ ที่แผลเป็นรูหลุมหนึ่ง ขนาดเท่าหัวแม่มือ และเนื้อรอบๆ ต่างก็แตกละเอียด

หากชั่วพริบตานั้นเขามิได้เคลื่อนย้ายพลังภายในไปป้องกันช่วงหัวไหล่ รูนี้คงจะถูกเจาะทะลุไปแล้ว และคงจะสะเทือนจนหักไปทั้งสะบักไหล่ และเกรงว่าภายภาคหน้าจะมิสามารถจับคันธนูได้อีกต่อไป

เขาต้องรีบไปยังเมืองกวนหยุน ต้องนำสิ่งนี้ออกมาจากแผลของเขา เกรงว่าจะมีเพียงมือศักดิ์สิทธิ์สุ่ยหยุนเจียนแห่งเมืองกวนหยุนเท่านั้นที่จะสามารถนำมันออกมาได้

มิผิด นั่นคือนิกายลู่ !

การค้าขายครานี้สูญเสียคราใหญ่ ของรับมาแล้ว แต่ยังทำงานมิเสร็จสมบูรณ์ คาดมิถึงว่าข้างกายฟู่เสี่ยวกวนจะมีคนที่แข็งแกร่งถึงเพียงนั้นอยู่ คาดมิถึงว่าเขาจะจับสัมผัสคนผู้นั้นมิได้ !

หากจะสังหารฟู่เสี่ยวกวนอีกครา คงมีเพียงตอนที่มั่นใจว่าคนผู้นั้นมิได้อยู่ข้างกายฟู่เสี่ยวกวนแล้วจึงจะสามารถลงมือได้ มิเช่นนั้น คราหน้าคงมิบาดเจ็บเยี่ยงนี้แต่คงจะเป็นการจบสิ้นชีวิตแทน

หวังว่าบาดแผลในครานี้จะดีขึ้นในเร็ววัน ฟู่เสี่ยวกวนจะต้องตายก่อนที่จะออกไปจากราชวงศ์อู่ !

ในกรณีนั้น นอกจากปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหกในใต้หล้าแล้ว ยังมีใครหน้าไหนที่จะลอบสังหารเขาจากระยะไกลได้อีกกัน ?

…..

แท้จริงแล้วเซวียผิงกุยมาทราบว่าเกิดเรื่องขึ้นก็เป็นในยามที่การต่อสู้ในสวนท้อได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

ในยามที่เขาพาอัศวินดำ 500 นายปรี่เขาไปในสวนท้อ การต่อสู้ก็ได้จบลงแล้ว

ฟู่เสี่ยวกวนมิเป็นอะไร องค์หญิงเก้ามิเป็นอะไร ส่วนคนอื่นนั้นมีบาดแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ มีเพียงชายที่ตามหลังฟู่เสี่ยวกวนมาตลอดผู้นั้นที่บาดเจ็บสาหัส

โชคยังดี หากเกิดเหตุกับฟู่เสี่ยวกวนหรือองค์หญิงเก้า… เกรงว่าเขาจะทำได้เพียงหันดาบแทงตนเองเท่านั้น

ในยามนี้เขาก็มิได้นอนหลับ เขากำลังเฝ้าระวังศัตรูคนหนึ่งที่บาดเจ็บสาหัส

มือและเท้าของคนผู้นี้ถูกตัดออก ร่างกายท่วมไปด้วยหยาดโลหิต ช่างน่าสังเวชยิ่ง แต่ในสายตาของเซวียผิงกุย คนผู้นี้กลับน่าชิงชังมากยิ่งนัก !

เขามิได้ไต่สวน เพราะฟู่เสี่ยวกวนบอกว่าเหลือไว้ให้เขา 1 คน เขาจะไต่สวนด้วยตนเอง

และก็มิทราบว่าการไต่สวนในครานี้ จะไต่สวนเจอคดีที่สะเทือนขวัญหรือไม่ !