บนยอดหอสังเกตการณ์นั้นปรากฏร่างบุรุษหนุ่มสองคน คนหนึ่งสวมชุดสีขาว รูปลักษณ์สมบูรณ์แบบ ใบหน้าเย็นชาเงียบขรึม บรรยากาศรอบกายดูลึกลับน่าหวาดหวั่น ทว่าขณะเดียวกันกลับเชิญชวนให้สตรีหลายต่อหลายคนอยากจะค้นหา
อีกคนสวมชุดสีน้ำเงินเข้ม มุมปากประดับด้วยรอยยิ้มอ่อน ใบหน้าขี้เล่นอารมณ์ดี ท่าทีสุภาพสูงส่ง แต่กลับแฝงไปด้วยความยโสอยู่หลายส่วน
บุรุษหนุ่มทั้งสองนี้มิใช่ใครอื่น เขาคือหานโม่ฉือและหลินจิ้งหง
เป็นไปไม่ได้เลยที่คนอย่างพวกเขาจะพลาดโอกาสสั่งสอนคนพาลผู้มารุกรานนครไป๋อวิ๋น ก่อนหน้านี้คนทั้งคู่กำลังปฏิบัติภารกิจบางอย่างอยู่นอกเมือง ทว่าเมื่อได้ยินว่านครไป๋อวิ๋นกำลังตกอยู่ในอันตราย พวกเขาก็รีบมาทันที
“หงเอ๋อร์ เจ้าบอกว่าช่วงนี้เจ้ากลับมาไม่ได้เพราะติดภารกิจสำคัญมิใช่รึ ?”
หลินปิงหนานจ้องมองบุตรชายที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
“ท่านพ่อ ข้าหาใช่คนอย่างพวกสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร ไป๋อวิ๋นคือบ้านเกิดเมืองนอน ในเมื่อนครไป๋อวิ๋นเผชิญภัยร้ายเช่นนี้ จะให้ข้านิ่งเฉยได้อย่างไร”
หลินจิ้งหงกล่าวตอบบิดาด้วยรอยยิ้ม อย่างไรก็ตาม นายน้อยแห่งสมาคมทหารรับจ้างก็ยังไม่ลืมกล่าววาจาเสียดสีสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร
“หานโม่ฉือ ครั้งนี้ข้าคิดว่าจะไม่เห็นเจ้าปรากฏตัวแล้วเสียอีก !”
เมื่อเห็นบุรุษเย็นชาตระกูลหาน หัวคิ้วทั้งสองข้างของจ้าวอารามก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย สำหรับคนใกล้ชิดถ้าได้ลองสังเกตให้ดี ๆ จะทราบว่า บัดนี้ผู้ปกครองของอารามเริ่มเป็นกังวลขึ้นมาบ้างแล้ว
กล่าวเลยว่า หากจะมีใครในนครไป๋อวิ๋นที่หลิงซานหวั่นเกรง คนผู้นั้นก็ต้องเป็นหานโม่ฉือ เขาคือยอดฝีมือที่แข็งแกร่งจนยากจะหาผู้เท่าเทียม พรสวรรค์ของคนผู้นี้เรียกได้ว่าสูงส่งยิ่งกว่าสัตว์ประหลาดที่ซึ่งแม้แต่จ้าวอารามยังมิกล้ามองข้าม
“หึ ๆ ๆ วันนี้จ้าวอารามอุตส่าห์มาถึงที่นี่ ไฉนเลยข้าจะไม่มาขอคำชี้แนะเล่า”
หานโม่ฉือเอ่ยตอบด้วยท่าทีผ่อนคลาย ภายในน้ำเสียงไม่มีแววแห่งความกลัวอยู่เลยแม้แต่น้อย
แต่ไหนแต่ไรมา บุรุษน้ำแข็งนามหานโม่ฉือถือเป็นไม้เบื่อไม้เมากับอารามอยู่แล้ว ยิ่งครั้งนี้อีกฝ่ายกล้ายกพลบุกนครไป๋อวิ๋น อีกทั้งจ้าวอารามยังนำทัพด้วยตัวเองเช่นนี้ หานโม่ฉือจึงต้องรีบกลับมาเพื่อรับมือ ผู้นำแห่งประตูไร้เงาไม่เคยเกรงกลัวผู้ใดในหวนหลิง แม้อีกฝ่ายจะเป็นจ้าวอารามขุมกำลังอำนาจล้นฟ้า ก็มิอาจทำให้เขานึกหวาดหวั่น คงมีแต่เพียงยอดฝีมือจากดินแดนหนเหนือเท่านั้นที่สั่นคลอนจิตใจของหานโม่ฉือได้
“ฮ่า ๆ ๆ ตั้งแต่ที่เราสู้กันครั้งสุดท้ายก็ผ่านมาพอสมควรแล้ว ข้าไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้าจะรับมือข้าได้หรือไม่”
หลิงซานกล่าวเสียงก้อง บนใบหน้าอาวุโสปรากฏรอยยิ้มเย้ย
ก่อนหน้านี้เขาเคยประมือกับหานโม่ฉือมาแล้ว ครั้งนั้นบุรุษตระกูลหานรับมือเขาได้อย่างสูสี ไม่มีทีท่าว่าจะพ่ายแพ้ หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายมีเหตุที่ต้องถอนตัวออกไปก่อน เกรงว่าครานั้นเขาเองก็คงลำบากไม่น้อย
ดังนั้นผู้นำแห่งอารามจึงย้ำเตือนคนของตนอยู่เสมอว่าคนผู้เดียวในนครไป๋อวิ๋นที่ไม่ควรไปยั่วยุก็คือหานโม่ฉือ
เหตุผลก็เพราะพลังและฝีมือของหานโม่ฉือไม่ด้อยไปกว่าตัวเขาที่เป็นถึงจ้าวอารามเลย
“ต้องลองดูก่อนถึงจะรู้”
หานโม่ฉือกล่าวเสียงเรียบนิ่ง ฉับพลันร่างกายกำยำก็หายวับไป ก่อนจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ณ พื้นที่ว่างข้างกายจ้าวอาราม
ในพริบตานั้น หมัดของหานโม่ฉือที่ห่อหุ้มด้วยพลังไอเย็นก็พุ่งเข้าจู่โจมบริเวณสีข้างของจ้าวอาราม
— ปัง ! —
หลิงซานออกหมัดเพื่อป้องกันการโจมตีของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ร่างของเขาถอยหลังไปหลายก้าวกว่าจะยืนได้อย่างมั่นคง
ฝ่ายหานโม่ฉือเองก็ถอยหลังไปหลายก้าวเช่นกัน ทว่าใบหน้ายังคงเรียบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง
“เหอะ ช่างเป็นปีศาจที่มีพรสวรรค์น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก สำหรับคนอย่างเจ้า หากไม่สามารถเอามาเป็นพวกได้ก็ต้องรีบกำจัด มิฉะนั้นข้าอาจจะต้องเสียใจภายหลัง”
หลิงซานกล่าวอย่างเย็นชา พริบตานั้นกระบี่ยาวเล่มใหญ่เป็นประกายคมกล้าก็ปรากฏในมือของเขา
จ้าวอารามตวัดกระบี่พุ่งเข้าจู่โจมหานโม่ฉือโดยไม่ลังเล
หานโม่ฉือก็มิกล้าชักช้า พลันชักกระบี่น้ำแข็งคู่กายแล้ววาดผ่านอากาศพุ่งเข้าต้านทาน รับมืออาวุธของอีกฝ่าย
ภาพการปะทะกันของกระบี่ทั้งสองรวดเร็วจนเห็นเป็นเพียงเงาพร่ามัว ทว่ากลับเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง เหตุผลก็เพราะกระบี่ของหานโม่ฉือนั้นสร้างจากน้ำแข็ง ขณะที่กระบี่ของหลิงซานก่อกำเนิดมาจากพลังมายาที่อัดแน่น เมื่อสองกระบี่ปะทะก็ทำให้หนึ่งกลายเป็นหยดน้ำสาดกระจาย ขณะที่อีกหนึ่งสูญสลายไปในอากาศ
“หลิงซาน หากเจ้าต้องการจะสู้ก็อย่าตาขาว รีบเอาจริงเสียที พลังน้อยนิดเพียงแค่นี้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”
หานโม่ฉือกล่าว ด้วยอีกฝ่ายอาวุโสกว่าและเป็นถึงจ้าวอาราม วาจานั้นของบุรุษน้ำแข็งจึงนับว่าโอหังยิ่งนัก
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่หานโม่ฉือกล่าวออกมาล้วนตรงตามเจตนาที่ใจเขาคิด ชายหนุ่มรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ได้ใช้ฝีมือที่แท้จริง การโจมตีที่ผ่านมานั้นคล้ายทำเพียงต้องการจะหยั่งพลังฝีมือของเขาเสียมากกว่า และมันก็ไม่สามารถสร้างแรงกดดันใด ๆ ให้เขาได้เลยแม้แต่น้อย
“สามหาวยิ่งนัก !”
หลิงซานตวาดลั่นอย่างเดือดดาล ทันใดนั้นแรงกดดันอันหนักหน่วงก็ปะทุขึ้นมาจากร่างของเขา ก่อนจะพุ่งเข้ากดดันฝ่ายตรงข้าม
ทางด้านหานโม่ฉือ เมื่อเห็นเช่นนั้นก็ยกยิ้มมุมปากพร้อมกับปลดปล่อยแรงกดดันรุนแรงออกมาจากร่างและส่งเข้าต้านทานพลังของอีกฝ่าย
ชั่วลมหายใจถัดมา กระบี่งดงามที่อาบไล้ด้วยแสงอันศักดิ์สิทธิ์ก็ปรากฏขึ้นในมือหลิงซาน จ้าวอารามชี้คมกระบี่มาด้านหน้า ในพริบตาก้อนแสงที่อัดแน่นไปด้วยพลังมหาศาลก็ก่อตัวขึ้นในอากาศ ณ ปลายกระบี่ ก่อนที่จะขยายขนาดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ข้าจะแสดงวิชาลับของอารามให้เจ้าได้เห็นเป็นขวัญตา — ดาวจรัสฟ้า”
หลิงซานเปล่งเสียงเย็นชา ก้อนแสงตรงหน้าสาดประกายเจิดจรัส
หานโม่ฉือไม่มีความกลัวแม้แต่น้อย เขาก่อรวมพลังไอเย็นจนเกิดเป็นก้อนน้ำแข็งขนาดยักษ์อยู่เบื้องหน้า ก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่นี้ไร้ซึ่งความผันผวนของพลังใด ๆ ให้สัมผัสถึงประหนึ่งมันเป็นเพียงก้อนน้ำแข็งธรรมดา ทว่าคนทั้งหลายที่มองอยู่ ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนแต่จินตนาการได้ว่าจะต้องมีพลังที่รุนแรงอัดแน่นอยู่ภายในอย่างแน่นอน
ทุกคนยืนดูการต่อสู้ระหว่างหลิงซานกับหานโม่ฉือโดยไม่มีใครคิดจะเคลื่อนไหวหรือเข้าไปแทรกแซง
พวกเขาทราบดีว่านี่เสมือนศึกแห่งศักดิ์ศรีระหว่างสุดยอดฝีมือระดับแนวหน้าจากทั้งสองฝ่าย ต่อให้พวกเขาเข้าไปช่วยก็คงจะไม่ก่อเกิดผลดี และยังอาจจะมีผลเสียต่อคนของฝ่ายตัวเอง
ลั่วเฉินมองดูหานโม่ฉือที่กำลังรับมือกับจ้าวอารามอย่างสูสีด้วยความรู้สึกอัศจรรย์ใจ
เขาไม่สงสัยเลยว่าเหตุใดหานโม่ฉือผู้นี้ถึงกลายเป็นตำนานของโรงเรียนราชสำนักและเป็นคนที่ศิษย์น้อยใหญ่ทั่วทั้งโรงเรียนเคารพบูชา โอรสแห่งอารามประจักษ์ด้วยสายตาในตอนนี้ว่าพรสวรรค์และความแข็งแกร่งของคนผู้นั้นยากจะหยั่งถึงได้โดยแท้จริง
ทว่าฉินเฟินและเหล่าผู้นำตระกูลคนอื่น ๆ กลับมองดูการต่อสู้ด้วยสีหน้าที่เป็นกังวลด้วยเกรงว่าคนจากฝั่งตนเองจะพลาดพลั้งได้ อย่างไรก็ตาม ทุกคนล้วนเอาใจช่วยให้หานโม่ฉือเอาชนะให้ได้
ผู้ที่ดูสงบที่สุดก็คือหลินจิ้งหง เขาเป็นคนที่รู้จักความแข็งแกร่งของหานโม่ฉือดีที่สุด สำหรับการรับมือกับหลิงซาน นายน้อยแห่งสมาคมทหารรับจ้างมั่นใจว่าสหายของเขาจะรับมือได้โดยไม่เป็นรอง แม้หลิงซานจะแข็งแกร่งมากก็จริง แต่สหายของเขาก็เป็นมนุษย์เหนือมนุษย์เช่นกัน
ในขณะที่ทุกสายตาจดจ่ออยู่กับการต่อสู้ของหนึ่งผู้อาวุโสหนึ่งบุรุษหนุ่ม ดวงตาของหลินจิ้งหงกลับจ้องมองไปยังแถวหลังสุดของกลุ่มคนจากอาราม ณ บริเวณนั้นเขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันแปลกประหลาดกระแสหนึ่ง ซึ่งมันทำให้คุณชายตระกูลทหารรับจ้างรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี
— ตูม !–
ในตอนนั้นเอง ก้อนแสงกับก้อนน้ำแข็งก็พุ่งปะทะกันก่อให้เกิดเกิดเสียงดังสนั่น
การปะทะกันทำให้ก้อนพลังทั้งสองระเบิดอย่างรุนแรงกลางอากาศ รัศมีพลังสาดกระจายไปทั่วท้องฟ้าเหนือนครายิ่งใหญ่
สีหน้าของหลิงซานบิดเบี้ยวไปเล็กน้อย บัดนี้ ผู้นำแห่งอารามกำลังรู้สึกว่าคู่ต่อสู้ตรงหน้าดูน่ากลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ
หานโม่ฉือยังคงยืนอยู่อย่างมั่นคงโดยไม่กล่าวสิ่งใด กระแสลมแรงที่พัดผ่านเพียงทำให้ผมสลวยของเขาปลิวไสวเท่านั้น แต่นั่นก็ยิ่งช่วยเสริมความสง่างามราวเทพเซียนให้กับเขา
“หลิงซาน ดูเหมือนว่าพลังของเจ้าจะพัฒนาไปช้ากว่าที่ข้าคิดเอาไว้นะ”
หานโม่ฉือกล่าววาจาเย้ยหยันจ้าวอาราม
เมื่อได้ฟังวาจาเสียดแทงของบุรุษคราวหลานตรงหน้า หลิงซานก็ได้แต่กัดฟันกรอด นึกคำโต้ตอบไม่ได้ เพราะตัวเขาหาใช่สัตว์ประหลาดผิดมนุษย์อย่างหานโม่ฉือ กว่าจะมีพลังเหมือนอย่างวันนี้เขาต้องทุ่มเวลาเป็นร้อยปีทุ่มทรัพยากรอีกมหาศาล ทว่าเด็กเมื่อวานซืนผู้นี้กลับเก่งกล้าเทียบเคียงเขาได้ในเวลาอันสั้น สวรรค์ไร้ความยุติธรรมโดยแท้ !
หากจะกล่าวตามตรง ในการต่อสู้ครั้งก่อนเขายังรู้สึกว่าตนเหนือกว่าหานโม่ฉืออยู่ครึ่งขั้น ทว่าเวลานี้เขากลับดูเหมือนจะตกเป็นรองเสียด้วยซ้ำ
เขาไม่สงสัยเลยว่าหากให้เวลาคนตรงหน้าได้ฝึกฝนต่อไป ในอนาคตเขาคงจะพ่ายแพ้ราบคาบเป็นแน่
“หานโม่ฉือ ข้ายอมรับว่าพรสวรรค์ของเจ้าสูงส่งกว่าผู้ใดในแผ่นดิน แต่หากข้าไม่เตรียมตัวมาเป็นอย่างดีก็คงไม่กล้าบุกมาถึงที่นี่ อย่างไรวันนี้นครไป๋อวิ๋นก็จะต้องพินาศด้วยมือของเราชาวอาราม”
หลิงซานประกาศเสียงเย็นชา ทันใดนั้นเขาก็หายตัวไปก่อนจะปรากฏร่างขึ้นอีกครั้งตรงหน้ากองกำลังจากฝ่ายของตน
ทันใดนั้นเอง ขบวนศิษย์จากอารามก็แยกออกไปด้านข้าง เปิดทางให้บุคคลปริศนาสามคนได้เดินออกมาด้านหน้า
พวกเขาทั้งสามเป็นบุรุษ แม้ว่าทั้งสามคนจะไม่ได้ปลดปล่อยแรงกดดันใด ๆ แต่ทันทีที่ปรากฏตัวก็ทำให้ทุกคนทางฝ่ายไป๋อวิ๋นขมวดคิ้วแน่น
ชาวไป๋อวิ๋นทุกคนรู้สึกได้เลยว่าผู้มาใหม่ทั้งสามมีพลังที่เหนือชั้นยิ่งกว่าหลิงซานมาก สภาวะพลังของพวกเขาแข็งแกร่งกว่าจ้าวอารามอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านทั้งสามโปรดช่วยข้ากำจัดบุรุษผู้นั้นด้วย”
หลิงซานประกบฝ่ามือกับกำปั้นพลางก้มหัวลงเล็กน้อยแล้วกล่าวกับสามบุรุษปริศนาด้วยกิริยาเคารพยำเกรง
“หลิงซาน ฝีมือของเจ้ายังอ่อนด้อยนัก เมื่อทุกอย่างที่นี่ถูกสะสางแล้ว พวกเราจะช่วยเจ้าพัฒนาทักษะเอง”
หนึ่งในคนปริศนานั้นกล่าวขึ้น น้ำเสียงชี้ชัดว่าเขาไม่พอใจกับความแข็งแกร่งของหลิงซาน
“ฮ่า ๆ ๆ ไฉนเลยข้าน้อยจะเทียบเคียงพวกท่านได้”
เมื่อได้ฟังคำต่อว่าของคนผู้นั้น นอกจากจ้าวแห่งอารามจะไม่โกรธแล้วยังกลับแสดงท่าทีปลาบปลื้มใจ ราวกับว่าการได้รับคำชี้แนะจากคนผู้นี้นับเป็นเกียรติอันใหญ่หลวงสำหรับเขา
ซึ่งท่าทางนั้นก็ออกมาจากก้นบึ้งหัวใจเขาโดยแท้ ขอเพียงได้รับความช่วยเหลือจากผู้ที่เอ่ยคำตำหนิเขาไปเมื่อครู่ หลิงซานมั่นใจว่าระดับพลังของตนจะก้าวหน้าจนถึงขั้นสูงสุดของขอบเขตจักรพรรดิทูตสวรรค์ได้
“พวกท่านคงจะได้เห็นถึงพรสวรรค์อันน่าสะพรึงกลัวของบุรุษที่ชื่อหานโม่ฉือแล้ว การที่เขาเป็นศัตรูของข้าก็เปรียบดั่งศัตรูของพวกท่านเช่นกัน ถ้าไม่รีบกำจัดเขาเสียตั้งแต่ตอนนี้คงไม่เป็นการดีแน่ ฉะนั้นแล้ววันนี้พวกท่านได้โปรดอย่าได้แสดงความเมตตาและรีบลงมือกำจัดภัยร้ายในอนาคตเสียเถิด !”
หลิงซานชี้ไปที่หานโม่ฉือและกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง พวกเรารู้ว่าควรทำเช่นไร !”
หนึ่งในสามบุรุษนิรนามกล่าวก่อนจะหันไปมองหานโม่ฉือ “หนุ่มน้อย พรสวรรค์ของเจ้าน่าประทับใจนัก ข้าขอแนะนำให้เจ้ามาเข้าร่วมกับขุมกำลังของพวกเรา ด้วยพรสวรรค์นั้น เจ้าจะยิ่งใหญ่เหนือผู้ใดในแผ่นดินและกลายเป็นหลักของขุมกำลังที่แม้แต่จ้าวอารามยังมิกล้ามองหน้าด้วยซ้ำ”
สิ้นคำชี้ชวนของคนผู้นั้น หานโม่ฉือก็หัวเราะเสียงดังลั่น “ฮ่า ๆ ๆ ข้าเพิ่งรู้วันนี้ว่าพวกที่มาจาก ‘ดินแดนเทพมายา’ โดยเฉพาะคนจาก *‘อารามโชติช่วง’*เป็นพวกไร้ยางอายจนน่าขำ”
“เจ้าทราบได้อย่างไรว่าพวกเรามาจากอารามโชติช่วง ?!”
ทันทีที่ได้ยินวาจาของหานโม่ฉือ บุรุษผู้เอ่ยปากทาบทามไม่ได้ปฏิเสธ ทว่าถามกลับด้วยท่าทางประหลาดใจ
“ข้าจำเป็นต้องตอบคำถามเจ้าด้วยอย่างนั้นรึ ?”
บุรุษน้ำแข็งที่เคยเงียบขรึม บัดนี้กล่าวยียวนฝ่ายตรงข้ามด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น
“ถ้าจะพูดให้ถูก พวกเจ้าคือ ‘สามพี่น้องเหยา’ แห่งอารามโชติช่วง เหยาปิง เหยาชิงไข่ เหยาเหยา”
หานโม่ฉือกล่าวต่อราวกับว่าเขารู้จักอารามโชติช่วงเป็นอย่างดี
“หึ ๆ ๆ ช่างแสนรู้เสียจริง”
บุรุษอีกคนเอ่ยขึ้น “ใช่แล้ว ข้าคือเหยาปิงที่เจ้ากล่าวถึง ส่วนสองคนนี้คือเหยาชิงไข่กับเหยาเหยา วันนี้พวกเราจำต้องมาช่วยอารามแห่งหวนหลิงทำสงครามกับจักรวรรดิไป๋อวิ๋นตามคำสั่งของเบื้องบน เอาล่ะ หานโม่ฉือ ข้าจะให้ทางเลือกกับเจ้าสองทางคือหนึ่ง เข้าร่วมกับเราและสาบานว่าจะภักดีต่ออารามโชติช่วง หรือสอง สู้อย่างไร้ประโยชน์และจบชีวิตอยู่ที่นี่ !”
บุรุษนามเหยาปิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ราวกับตนเป็นเจ้าชีวิตของอีกฝ่าย
สามพี่น้องเหยาแต่ละคนล้วนเป็นจอมยุทธ์ขอบเขตจักรพรรดิทูตสวรรค์ขั้นสูงสุด แม้ว่าหานโม่ฉือจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่เขาก็คงทำได้เพียงรับมือกับพวกเขาทีละคนเท่านั้น หากต้องสู้กับทั้งสามคนพร้อมกันก็คงไม่มีโอกาสชนะ
“หึ ๆ ข้าเองก็จะให้เจ้าสองทางเลือกเช่นกัน ไสหัวกลับอารามโชติช่วงของเจ้าไปหรือไม่ก็ตายอยู่บนแผ่นดินนี้ เจ้าเลือกได้เลย”
หานโม่ฉือย้อนวาจา
เขาเองก็เป็นบุรุษหยิ่งทะนงผู้หนึ่ง หากจะให้ก้มหัวยอมต่ออีกฝ่าย เขาก็ขอสู้จนตัวตายเสียดีกว่า
เมื่อได้ยินถ้อยคำของหานโม่ฉือ สีหน้าของสามพี่น้องเหยาก็เปลี่ยนไปในทันที พวกเขาต่างก็คิดว่าบุรุษนามหานโม่ฉือผู้นี้โอหังเกินไป
“ข้าไม่คิดเลยว่าครั้งนี้คนจากดินแดนเทพมายาจะกล้ามาแทรกแซงดินแดนหวนหลิงของเรา”
ทันใดนั้นเสียงบุรุษผู้หนึ่งก็ดังขึ้น เสียงนั้นเป็นที่คุ้นเคยดีของเหล่ายอดฝีมือรุ่นเยาว์ทั้งหลาย ผู้มาใหม่คือผู้รั้งตำแหน่งสูงสุดในโรงเรียนราชสำนัก–อธิการมู่อวิ๋น สิ้นประโยคดังกล่าว ร่างของเขาก็ปรากฏขึ้นข้าง ๆ หานโม่ฉือ
“เจ้าเป็นใครกัน ?”
เมื่อสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของมู่อวิ๋น สามพี่น้องเหยาก็ขมวดคิ้ว
“เขาคืออธิการของโรงเรียนราชสำนัก !”
หลิงซานร้องบอกตัวตนของผู้มาใหม่
“โรงเรียนราชสำนักที่อวิ๋นซื่อเทียนเคยอยู่น่ะรึ ?!”
บุรุษเหยาสามพี่น้องแสดงท่าทีตกตะลึงในฉับพลัน พร้อมกันนั้นแววแห่งความตื่นตระหนกก็ปรากฏบนใบหน้าทั้งสาม…
…
ลึกเข้าไปในสถานที่อันลึกลับ
ฉินอวี้โม่ที่ยังคงอยู่ในดินแดนต้องหามไม่ทราบเลยว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นที่โลกภายนอกบ้าง ในยามนี้นางดูดซับพลังทั้งหมดสำเร็จแล้วและได้รับรู้ถึงความแข็งแกร่งอันน่าตกใจของตัวเอง ยามนี้ สตรีผู้ครองกายเทพมายารู้สึกสดชื่นและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
.