ณ ประตูทางเข้านครไป๋อวิ๋น ฉินเฟินและเหล่าผู้นำขุมกำลังน้อยใหญ่แห่งไป๋อวิ๋นกำลังมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้าตึงเครียด อย่างไรก็ตาม พวกเขากลับมิอาจทำสิ่งใดได้นอกจากเฝ้ามองอยู่เฉย ๆ เช่นนี้
พลังของยอดฝีมือแต่ละคนสูงส่งเกินไป เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะเข้าไปแทรกแซงหรือให้ความช่วยเหลือ
“ฮ่า ๆ ๆ อธิการของโรงเรียนราชสำนัก ข้าอยากพบเจ้ามานานแล้ว”
เหยาปิงกล่าวเสียงเรียบ ทว่าสีหน้ายังคงเผยความตระหนกออกมาให้เห็น ทันทีที่ได้ยินนามแห่ง ‘โรงเรียนราชสำนัก’ ก็ทำให้เขานึกถึงใบหน้าของอวิ๋นซื่อเทียน อัจฉริยะผู้น่าสะพรึงกลัว กระนั้นเพียงไม่นานบุรุษจากดินแดนเทพมายาก็ดึงสติกลับมาได้ มู่อวิ๋นผู้นี้เป็นเพียงอธิการของโรงเรียนเท่านั้น เขาไม่จำเป็นต้องหวาดกลัว
บุกมารุกรานแผ่นดินผู้อื่น ไฉนเลยพวกเขาจะไม่เตรียมการล่วงหน้า ก่อนมาเยือนจักรวรรดิแห่งนี้ พวกเขาค้นหาข้อมูลมามิใช่น้อย แม้ว่ามู่อวิ๋นจะนับว่าแข็งแกร่งมาก แต่ก็น่าจะมีพลังอยู่ในระดับที่ไม่เกินราชันทูตสวรรค์ ขอเพียงยังไม่ถึงขอบเขตจักรพรรดิทูตสวรรค์ก็ไม่ยากที่พวกเขาจะรับมือ
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าได้ยินเรื่องของอารามโชติช่วงมามาก แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดพวกเจ้าถึงเข้ามาในดินแดนหวนหลิงของเรา ?”
มู่อวิ๋นที่ยืนอยู่ข้างหานโม่ฉือเอ่ยถาม บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม
“นั่นเป็นเพราะเราได้รับคำสั่งมาให้ช่วยอารามแห่งหวนหลิงทำสงคราม”
เหยาปิงกล่าวตอบทันควัน ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าดูสงบเยือกเย็นไม่ทุกข์ร้อน
“เรื่องของดินแดนหวนหลิงคนนอกไม่ควรจะเข้ามาก้าวก่าย หากพวกเจ้าสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้จะถือเป็นการละเมิดกฎระหว่างสองดินแดน !”
มู่อวิ๋นกล่าวท้วงเสียงเข้ม หากอารามโชติช่วงจะส่งคนมาที่นี่เพื่อสังเกตการณ์ย่อมถือว่าไม่ผิด ทว่าหากจะยื่นมือเข้ามาร่วมศึกจะนับว่าละเมิดกฎอย่างร้ายแรงทันที
“ฮ่า ๆ ๆ อธิการมู่อวิ๋น อารามแห่งหวนหลิงคือสาขาย่อยของอารามโชติช่วงของเรา เรื่องของอารามหวนหลิงก็ถือเป็นเรื่องของเราด้วย ในเมื่อมีคนยั่วยุพวกพ้องของเรา จะให้เราเอาแต่นิ่งดูดายได้อย่างไร ถ้าหากพวกเราไม่ตอบโต้ ในเรื่องนี้อารามโชติช่วงของเราจะมิกลายเป็นตัวตลกไปหรอกรึ ?”
เหยาปิงหัวเราะอย่างขบขันแล้วตอบกลับ
อารามที่หวนหลิงนี้แท้จริงแล้วก็คือหนึ่งใน*‘กองกำลังสาขา’*ของอารามโชติช่วงแห่งดินแดนเทพมายา อารามโชติช่วงใช้ข้ออ้างที่ว่ามีคนบางคนจงใจเปิดศึกกับสาขาของตนก่อน การที่พวกเขาจะโต้กลับจึงถือว่าเป็นเรื่องชอบธรรม
ต้องกล่าวว่าขุมกำลังในดินแดนหนเหนือนั้นมีความเก่าแก่และหยั่งรากฝั่งลึกมาเนิ่นนาน เป็นผลให้ความสัมพันธ์ของแต่ละขุมกำลังมีความซับซ้อนและอ่อนไหวกว่าในดินแดนหวนหลิงมาก อารามโชติช่วงนั้นถือเป็นขุมกำลังระดับแนวหน้าของแผ่นดิน การที่พวกเขาจะเคลื่อนไหวหรือทำสิ่งใดก็ย่อมต้องคอยระวังสายตาและความคิดเห็นของขุมกำลังอื่น ๆ
ในครั้งนี้พวกเขาไม่เพียงลอบเข้ามาในดินแดนหวนหลิง แต่ยังจะเข้าร่วมก่อศึกสงครามในดินแดนแห่งนี้ด้วย หากการกระทำครานี้ไร้ซึ่งเหตุผลที่เพียงพอก็อาจจะเกิดปัญหาใหญ่หลวงตามมาได้
ดังนั้นก่อนหน้านี้พวกเขาจึงกระจายข่าวออกไปว่าทางอารามแห่งหวนหลิงถูกรุกราน อารามสาขาในดินแดนเทพมายาจึงต้องส่งคนไปช่วยเหลือเพื่อทวงความเป็นธรรมและยุติเหตุวุ่นวาย
ทางด้านหานโม่ฉือ ดูเหมือนเขาจะคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าเหยาปิงจะกล่าวสิ่งใด เพราะเมื่อได้ฟังวาจาของฝ่ายตรงข้าม มุมปากบางก็เผยรอยยิ้มเย็นชาในทันที อย่างไรก็ตาม บุรุษน้ำแข็งยังเลือกที่จะเงียบไม่เอ่ยวาจา
“เหอะ ! อย่ามัวกล่าวไร้สาระกันอยู่เลย อธิการมู่อวิ๋น ท่านต้องการจะเข้าร่วมสงครามครั้งนี้ใช่หรือไม่ ?”
หลิงซานร้องถามเสียงดัง
“หึ ๆ หลิงซาน แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไร ?”
มู่อวิ๋นยกยิ้มเล็กน้อยพลางจ้องมองฝ่ายตรงข้ามก่อนตอบกลับด้วยคำถาม
“เท่าที่ข้าทราบ แต่ไหนแต่ไรมาโรงเรียนราชสำนักมีกฎอยู่ว่าห้ามบุคลากรข้องเกี่ยวหรือแทรกแซงการทำสงครามระหว่างขุมกำลังในแผ่นดิน นี่หรือว่าอธิการมู่อวิ๋นจะแหกกฎนั้นเสียเอง ?”
หลิงซานอ้างกฎของโรงเรียนราชสำนัก
“ท่านพูดไม่ผิด แต่วันนี้ข้ามาในนามส่วนตัว มาในฐานะชาวไป๋อวิ๋น ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับโรงเรียนราชสำนัก ฉะนั้นท่านจะกล่าวว่าข้าฝ่าฝืนกฎคงไม่ถูกต้องนัก”
มู่อวิ๋นหยุดลงครู่หนึ่ง อธิการผู้งดเว้นตำแหน่งหน้าที่ชั่วคราวเหยียดยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่อ “ยิ่งกว่านั้น เรื่องนี้เกี่ยวพันกับความอยู่รอดของจักรวรรดิไป๋อวิ๋นซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียนราชสำนัก ในเมื่อท่านจ้าวอารามยังขอให้คนจากดินแดนหนเหนือมาช่วยได้ แล้วจะให้ข้าทนดูอยู่เฉย ๆ ได้อย่างไรกันเล่า”
สำหรับตัวมู่อวิ๋น เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าหลิงซานผู้นี้จะหน้าด้านหน้าทนกล่าวอ้างกฎเกณฑ์ความถูกต้องใด ๆ ได้อีก เพราะเขาที่เป็นถึงผู้นำแห่งขุมกำลังใหญ่กลับบุกมาเปิดศึกกับนครไป๋อวิ๋นโดยไร้เหตุอันสมควรก็ถือเป็นเรื่องผิดไปครั้งหนึ่งแล้ว นี่ยังไม่รวมกับการที่เขาขอให้คนนอกดินแดนเข้ามาแทรกแซง ทว่าคนผู้นี้กลับยังกล้ายกเรื่อง ‘การกระทำผิดกฎ’ ขึ้นมากล่าวหาผู้อื่นได้ไม่อายปาก
เมื่อได้ยินวาจาของมู่อวิ๋น หลิงซานก็ไม่คิดโต้ตอบอีก บุรุษผู้เป็นจ้าวอารามทำเพียงเผยรอยยิ้มชั่วช้า ในใจของเขาคิดว่าต่อให้มู่อวิ๋นเข้าร่วมด้วยฝ่ายพวกเขาก็ยังเอาชนะได้อยู่ดี เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ไม่มีสิ่งใดให้ต้องเป็นกังวล
“ฮ่า ๆ ๆ ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องขอคำชี้แนะจากท่านอธิการแล้ว ข้าเองก็สงสัยมาเนิ่นนานว่าสถาบันที่บ่มเพาะอวิ๋นซื่อเทียนขึ้นมานั้นเป็นเช่นไร !”
เหยาปิงหัวเราะลั่น ทันใดนั้นร่างของเขาก็หายวับไป บุรุษจากต่างดินแดนพุ่งเข้าจู่โจมมู่อวิ๋นอย่างรวดเร็ว ขณะที่พี่น้องเหยาอีกสองคนนั้นมีพลังอ่อนด้อยกว่า พวกเขาเลือกพุ่งเข้าจู่โจมหานโม่ฉือพร้อมกัน
สามพี่น้องเหยาไม่ยั้งมือแม้แต่น้อย พวกเขาไม่เพียงแค่รวดเร็วแต่ทักษะยังเฉียบขาดเป็นเลิศ ทุกกระบวนท่าที่เรียกใช้เฉียบคมถึงตายและแฝงเจตนาร้ายอันเด่นชัดว่ามุ่งหมายจะสังหารทั้งมู่อวิ๋นและหานโม่ฉือให้สิ้นซาก
กระนั้นหานโม่ฉือและมู่อวิ๋นก็มิได้หวาดหวั่น ต้องกล่าวเลยกว่าความแข็งแกร่งของทั้งสองไม่ด้อยไปกว่าฝ่ายศัตรูเท่าไหร่นัก ทางฝั่งมู่อวิ๋นแม้ว่าจะต้องรับมือกับเหยาปิงตัวต่อตัวแต่ก็ไม่รู้สึกกดดันแม้แต่น้อย อีกทั้งยังดูคล้ายจะผ่อนคลายอย่างมากด้วย
ส่วนทางด้านหานโม่ฉือที่ต้องรับมือกับทั้งเหยาเหยาและเหยาชิงไข่ แม้จะดูตึงมืออยู่บ้างแต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเพลี่ยงพล้ำ
เห็นชัดว่าความแข็งแกร่งของคุณชายใหญ่ตระกูลหานไม่ด้อยไปกว่าทั้งเหยาเหยาและเหยาชิงไข่ หากต่อสู้กันตัวต่อตัว เขาดูจะเหนือกว่าเล็กน้อยด้วยซ้ำ ทว่าเมื่อต่อสู้สองรุมหนึ่งเช่นนี้ ฝ่ายน้อยกว่าก็ย่อมตกเป็นรอง
เมื่อหลิงซานเห็นคนทั้งห้าต่อสู้กันอยู่บนอากาศอย่างสูสีและไม่มีท่าทีจะรู้ผลแพ้ชนะได้ เขาก็หันกลับไปมองฉินเฟินและกองกำลังฝั่งไป๋อวิ๋นวูบหนึ่ง ในตอนนั้นเองที่ภายในใจของจ้าวอารามเกิดความรู้สึกอันซับซ้อนขึ้น
เขาเริ่มรู้สึกว่าแม้ว่าจะขอความช่วยเหลือจากดินแดนหนเหนือแล้วก็ยังไม่แน่ว่าฝ่ายของตนจะได้รับชัยชนะ เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าหานโม่ฉือจะแข็งแกร่งจนน่ากลัวถึงเพียงนี้ เดิมทีเขาคาดเดาไว้ว่าเจ้าเด็กจองหองผู้นั้นคงจะมีพลังใกล้เคียงกับตัวเขาเอง ไม่คิดเลยว่ามันจะเหนือชั้นกว่ามากดั่งเช่นที่เห็นอยู่ในขณะนี้
เมื่อมองดูการต่อสู้ที่กำลังพัวพันกันอยู่ซึ่งคงจะไม่รู้ผลในเวลาอันสั้นแน่ ความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในใจหลิงซาน
‘หากฉวยโอกาสเปิดฉากจู่โจมคนของไป๋อวิ๋นในตอนนี้ คงจะรบกวนสมาธิของหานโม่ฉือกับมู่อวิ๋นได้แน่ ถ้าเป็นเช่นนั้นโอกาสชนะก็จะเปิดกว้างขึ้น ขอเพียงสังหารคนใดคนหนึ่งในสองคนนั้นได้ ชัยชนะก็จะตกเป็นของอารามทันที’
เมื่อคิดได้ดังนี้ แววตาของหลิงซานก็เผยรังสีแห่งความชั่วร้าย พลันร่างของเขาก็พุ่งเข้าจู่โจมผู้เฒ่าฉินเฟินทันที
ฉินเฟินนั้นกำลังจับตาดูการต่อสู้ของหานโม่ฉือและมู่อวิ๋นอยู่อย่างจดจ่อ คิ้วของบุรุษชราขมวดเป็นปมแน่น ผู้นำตระกูลฉินเป็นกังวลอย่างมาก ถึงจะทราบดีว่าหานโม่ฉือแข็งแกร่งและมีพรสวรรค์สูงส่ง แต่เขาก็ยังอดห่วงไม่ได้ เพราะอย่างไรฝ่ายตรงข้ามก็เป็นถึงจอมยุทธ์ระดับจักรพรรดิทูตสวรรค์ถึงสองคน
ทันใดนั้นเอง บุรุษผู้เฒ่าก็สัมผัสได้ถึงสภาวะพลังอันแข็งแกร่งพุ่งตรงเข้ามา ฉินเฟินรีบปลดปล่อยพลังทั้งหมดเพื่อสร้างม่านพลังป้องกันไว้เบื้องหน้าโดยไม่ลังเล
— ตูม ! —
ในเสี้ยวลมหายใจที่ม่านพลังมายาก่อตัวเสร็จสิ้น ฝ่ามือขนาดใหญ่ก็กระแทกเข้าใส่ก่อให้เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น ร่างของฉินเฟินถูกแรงระเบิดซัดกระเด็นออกไปไกล ผู้นำตระกูลฉินกระอักเลือดกลางอากาศคำโต ทว่าในชั่วพริบตาเขาก็ลงมายืนบนพื้นได้อย่างมั่นคง
หากไม่ใช่เพราะม่านพลังป้องกันนั้นเสร็จสมบูรณ์ได้ทันเวลา เมื่อครู่เขาก็อาจจะถูกสังหารไปแล้ว
“หลิงซาน เจ้าคนต่ำช้า !”
เมื่อเห็นว่าผู้เป็นปู่ถูกทำร้าย ฉินอี้เพ่ยก็ตวาดก้องด้วยความโกรธแค้น นางไม่คิดเลยว่าจู่ ๆ จ้าวอารามจะหน้าด้านเปิดศึกโจมตีฉินเฟินอย่างกะทันหันเช่นนี้
“หุบปากซะ !”
เมื่อได้ยินวาจาระคายหูของสตรีอ่อนวัยผู้หนึ่ง ฝ่ามือของหลิงซานก็ตวัดเข้าใส่ใบหน้าของนางทันที
“เหอะ อย่าคิดว่าตัวเองเป็นจอมยุทธ์ขอบเขตจักรพรรดิทูตสวรรค์แล้วพวกเราจะต้องกลัวเจ้า !”
จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยพุ่งมาถึงในฉับพลันและสกัดฝ่ามือที่กำลังพุ่งเข้าหาฉินอี้เพ่ยได้ทันที
เมื่อเห็นฉินเฟินได้รับบาดเจ็บ ฝ่ายชาวไป๋อวิ๋นทุกคนก็โกรธมาก หากไม่ใช่เพราะฉินเฟินมีประสบการณ์สูงและตอบสนองได้เร็วก็คงจะถูกคนต่ำทรามผู้นี้สังหารไปแล้ว บัดนี้ทุกสายตาจับจ้องไปที่หลิงซานด้วยความเดือดดาลและเคียดแค้น
“หลิงซาน เจ้าคนถ่อย พวกเราลุย ! ข้าก็อยากจะเห็นว่ามันจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน !”
ประธานสมาคมโอสถคำราม เขาไม่ลังเลอีกพลันเปิดฉากบุกจู่โจมหลิงซานในทันที ส่วนฉีเยวี่ยนเวย เหล่ยเจิ้น และโอวหยางเจวี๋ยเองก็ไม่ลังเลแล้วเช่นกัน ทั้งหมดต่างก็พุ่งเข้าจู่โจมหลิงซานไม่รอช้า
“ลั่วเฉิน เจ้าเป็นถึงโอรสแห่งอารามยังไม่รีบเข้ามาช่วยอีกเรอะ !”
แม้ว่ายอดฝีมือที่บุกเข้ามาจู่โจมทั้งหมดจะไม่ได้แข็งแกร่งเท่าเขา แต่หากร่วมมือกันมากขนาดนี้ หลิงซานเองก็เกรงว่าตนจะตกที่นั่งลำบากได้ ดังนั้นเขาจึงตะโกนสั่งให้ลั่วเฉินรีบเข้ามาช่วย
ชั่ววูบหนึ่งลั่วเฉินมีท่าทีลังเลให้เห็น ทว่าพริบตาเดียวเขาก็ตรงดิ่งเข้าไปใกล้ผู้ครองตำแหน่งจ้าวอาราม
“ลั่วเฉิน คู่ต่อสู้ของเจ้าคือข้า”
ในเวลานั้นเอง เสียงบุรุษเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ทันใดนั้นร่างของปิงเสวียนก็ปรากฏตัวขึ้นข้างหน้าลั่วเฉิน
“ปิงเสวียน เจ้า !”
ทันทีที่เห็นอดีตสหายผู้คุ้นเคยปรากฏตัวขึ้น ลั่วเฉินก็ผงะไป
เมื่อครั้งยังอยู่ในโรงเรียนราชสำนัก ปิงเสวียนและลั่วเฉินต่างก็เป็นคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อ ทว่าวันนี้กลับต้องมาพบเจอกันในฐานะศัตรู
ในใจจริงแล้ว ลั่วเฉินอยากประลองยุทธ์อย่างเต็มรูปแบบกับปิงเสวียนมาโดยตลอด แต่เนื่องจากเขาเข้าโรงเรียนราชสำนักโดยปกปิดสถานะที่แท้จริงของตน อีกทั้งด้วยหน้าที่สายลับทำให้ไม่อาจทำตัวโดดเด่นมากจนผิดสังเกต เป็นเหตุผลให้บุรุษหนุ่มจากอารามไม่สามารถใช้พลังอย่างเต็มที่และเปิดเผยฝีมือที่แท้จริงในการต่อสู้กับคนผู้นี้ได้
ในตอนนี้ เมื่อโอกาสมาถึงเขาจึงไม่ลังเลอีก
อย่างไรก็ตาม ลั่วเฉินก็ไม่ได้รีบร้อนลงมือ โอรสแห่งอารามหัวเราะแล้วกล่าว “ฮ่า ๆ ปิงเสวียน ข้าจำได้ว่าเจ้าไม่ใช่ชาวเมืองไป๋อวิ๋น เหตุใดต้องเข้ามายุ่มย่ามกับสงครามที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเจ้าด้วยเล่า ?”
ลั่วเฉินรู้ดีว่า ตัวตนของปิงเสวียนเองก็ลึกลับไม่แพ้กัน แม้จะไม่ทราบที่มาแต่เขามั่นใจเต็มสิบส่วนว่าคนตรงหน้าไม่ใช่ชาวเมืองไป๋อวิ๋น โดยทั่วไปหากไม่ใช่คนของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ได้ผลประโยชน์จากสงครามก็ไม่น่าจะหาเรื่องเดือดร้อนสอดมือเข้าแทรกแซง ยิ่งกว่านั้น เท่าที่ลั่วเฉินจำได้ ปิงเสวียนเป็นผู้ที่ไม่ชอบเรื่องวุ่นวายเป็นทุนเดิม แล้วเหตุผลใดที่ทำให้คนผู้นี้มาปรากฏตัวที่นี่ ?
“ถึงข้าจะไม่ใช่คนของที่นี่แต่ข้าก็อาศัยแผ่นดินของจักรวรรดินี้อยู่มาหลายปี ที่สำคัญจักรวรรดิไป๋อวิ๋นเป็นพันธมิตรที่ดีของเรา หากข้าจะเข้าร่วมด้วยก็มิใช่เรื่องแปลก”
ปิงเสวียนกล่าวตอบเสียงเรียบ
“องค์ชายแห่งจักรวรรดิชิงเฟิง ?!”
ทันใดนั้นผู้อาวุโสใหญ่แห่งอารามก็อุทานออกมาเมื่อเห็นปิงเสวียน
นางเคยไปเยือนจักรวรรดิชิงเฟิงอยู่หลายคราและเคยได้เห็นองค์ชายของอาณาจักรข้างเคียงมาก่อน องค์ชายของจักรวรรดิชิงเฟิงนั้น กล่าวได้ว่าเป็นบุรุษที่ลึกลับเป็นอย่างมาก แม้แต่คนในจักรวรรดินั้นเองก็ไม่มีผู้ใดทราบถึงความแข็งแกร่งของเขา ยิ่งกว่านั้นน้อยคนนักจะรู้จักนามของเขา
เมื่อได้เห็นปิงเสวียนที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง ผู้อาวุโสใหญ่แห่งอารามก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาจึงอุทานออกไปด้วยความสงสัย
“ผู้อาวุโสใหญ่แห่งอารามสายตาเฉียบแหลมนัก”
และเป็นจริงดังที่สตรีผู้เป็นใหญ่ในอารามคิด ปิงเสวียนไม่ปฏิเสธ วาจาที่เขากล่าวถือเป็นการยอมรับไปในตัว
“เหอะ ความสัมพันธ์ระหว่างจักรวรรดิชิงเฟิงกับจักรวรรดิไป๋อวิ๋นอยู่ในช่วงตกต่ำย่ำแย่ เหตุใดองค์ชายถึงมาช่วยไป๋อวิ๋นทำศึกสงครามอีกเล่า ?”
เมื่อปิงเสวียนยอมรับ ผู้อาวุโสใหญ่แห่งอารามก็ถามต่อ
“ใครบอกท่านกันว่าความสัมพันธ์ของชิงเฟิงกับไป๋อวิ๋นย่ำแย่ ?”
แม้ว่าภายนอกอาจจะคล้ายทั้งสองจักรวรรดิเป็นคู่แข่ง และอาจดูเสมือนมีความสัมพันธ์ไม่สู้ดี ทว่าเบื้องลึกแล้วทางราชวงศ์ของทั้งสองจักรวรรดิกลับเป็นมิตรไมตรีที่ดี มีการกระชับสัมพันธ์กันอยู่ตลอด แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นที่เรียกว่าแน่นแฟ้นมากนัก แต่ก็ไม่เข้าใกล้คำว่าบาดหมาง
“อย่ามัวแต่ห่วงทางอื่นจะดีกว่า หากท่านผู้อาวุโสใหญ่ยังไม่มีคู่ประมือ งั้นข้าขอรับหน้าที่นั้นเอง”
จู่ ๆ เสียงของหลินจิ้งหงก็ดังมา ฉับพลันร่างของนายน้อยสมาคมทหารรับจ้างก็ปรากฏขึ้นข้างกายผู้อาวุโสใหญ่แห่งอารามและจู่โจมนางทันที
แน่นอนว่าสตรีผู้รั้งตำแหน่งผู้อาวุโสของขุมกำลังลึกลับไม่กล้าประมาท นางเปล่งเสียง *ชิ* ออกมาอย่างเย็นชาแล้วออกอาวุธรับมือการโจมตีของหลินจิ้นหง
ทางด้านลั่วเฉินและปิงเสวียนก็ยุติการเจรจาทั้งหมด คนทั้งสองกระโดดห่างออกไปจากคนกลุ่มใหญ่แล้วยืนจ้องหน้ากันเพื่อเตรียมเปิดศึกอันดุเดือด
.