บทที่ 411 ผู้หญิงสารเลวที่หยุดปากไม่ได้

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

พลังสังหารของปราณหมื่นกระบี่และกระบี่อีกหมื่นเล่มโจมตีสังหารมาทางเย่เทียนเฉิน ภาพนี้ทำให้ผู้คนต้องตื่นตะลึงจริงๆ ภายในช่องว่างอันแปลกประหลาดที่อยู่ในกระบี่เซวียนหยวนสั่นสะเทือนราวกับจะถล่มอย่างไรอย่างนั้น เย่เทียนเฉินได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง เขาใช้วิธีการฆ่าตัวตายเช่นนี้เพื่อหากระบี่เซวียนหยวนที่แท้จริงออกมา ถึงแม้จะได้กระบี่เซวียนหยวนมาอยู่ในมือแล้ว แต่เขาก็ไม่มีพลังต่อสู้จะไปขัดขวางปราณหมื่นกระบี่อีก

ในตอนนี้เองปรมาจารย์กระบี่ก็ปรากฏตัวออกมาเขาดึงเย่เทียนเฉินโยนไปด้านหลังส่วนต้นก็โทรเข้าไปยังปราณเมืองกระบี่ยิ่งไปกว่านั้นปากยังตะโกนให้เย่เทียนเฉินช่วยตามหาภรรยาและลูกสาวของเขาด้วย

“ปรมาจารย์กระบี่…” เย่เทียนเฉินปลิวไปด้านหลัง เขาคิดไม่ถึงว่าในช่วงเวลาสำคัญ ปรมาจารย์กระบี่จะพุ่งออกมา ใช้วิธีการสละตนเองเพื่อช่วยเขาแล้วโถมเข้าหาปราณหมื่นกระบี่ จะต้องตายโดยไม่ต้องสงสัยเลย

“เจ้าอย่าได้รู้สึกรับผิดชอบในใจ เดิมทีการที่ข้ามีชีวิตอยู่ก็ไม่มีความหมายอะไร หลายปีมานี้ที่ข้ายืนหยัดมีชีวิตอยู่ในช่องว่างของกระบี่เซวียนหยวน เพียงเพราะต้องการรอคนที่จะช่วยไปตามหาภรรยาและลูกสาวของข้าที่ดาวจักรพรรดิ ตอนนี้ข้าหาพบแล้ว ข้าเชื่อว่าเจ้าจะทำสำเร็จ ความปรารถนาในใจบรรลุผล ตอนนี้เจ้าก็ได้กระบี่เซวียนหยวนที่แท้จริงไปแล้ว ขอเพียงฟาดฟันออกไปเต็มแรงก็จะออกไปจากที่นี่ได้!” ปรมาจารย์กระบี่เอ่ยปากอยู่ ห่างจากปราณหมื่นกระบี่ไม่ถึง 10 เมตรแล้ว

“ผมจะพาคุณไปด้วยกัน!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างจริงจัง คิดจะเข้าไป เขาไม่ใช่คนที่ไม่เห็นความสำคัญของมิตรภาพ ปรมาจารย์กระบี่สอนความรู้ให้เขามากมาย ยิ่งไปกว่านั้น หากไม่ใช่เพราะคำพูดของปรมาจารย์กระบี่ เขาคงไม่สามารถกำราบกระบี่เซวียนหยวนได้ ตอนนี้จะดูปรมาจารย์กระบี่ตายไปต่อหน้าต่อตาได้อย่างไร กระทั่งรอยประทับวิญญาณสุดท้ายก็จะไม่หลงเหลืออยู่ในโลกนี้อีก

ปรมาจารย์กระบี่เห็นว่าเย่เทียนเฉินจะเข้ามา จึงตวัดมือขวาออกไปครั้งหนึ่ง ปรากฏตาข่ายขวางกั้นอยู่เบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว เขารู้ว่าตนผิดไปแล้ว ต่อให้ปรมาจารย์กระบี่เหลือเพียงรอยประทับจิตวิญญาณ แต่เมื่ออยู่ในช่องว่างอันแปลกประหลาดของกระบี่เซวียนหยวนเช่นนี้ ปรมาจารย์กระบี่ยังคงมีพลังบ่มเพาะในระดับนักรบจักรพรรดิขั้นต้น ดูแล้วปรมาจารย์กระบี่คงไม่ได้หลอกตน ตอนแรกเพียงเพราะต้องการทดสอบนิสัยตนเท่านั้น มิฉะนั้นด้วยพลังบ่มเพาะในระดับนักรบจักรพรรดิขั้นต้นของปรมาจารย์กระบี่ หากต้องการฆ่าเขาก็เป็นเรื่องง่าย จะอย่างไรความสามารถก็แตกต่างกันมากเกินไป เขาไม่สามารถต่อต้านได้

“ไปเถอะ ข้าเป็นเพียงรอยประทับจิตวิญญาณเท่านั้น เมื่อออกไปจากช่องว่างในตัวกระบี่เซวียนหยวนแล้วข้าก็จะสลายไประหว่างฟ้าดินทันที ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่อีก ข้าไม่อาจไปตามหาภรรยาและลูกสาวของข้าด้วยตัวเองได้ ถ้าหากเจ้าตาย ก็ไม่รู้ว่าข้าจะต้องรออีกนานเพียงใด ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ข้าก็ไม่จำเป็นต้องรอคนต่อไปแล้ว ไม่มีใครเหมาะสมที่จะรับการไหว้วานของข้าไปมากกว่าเจ้าแล้ว ข้าเชื่อมั่นในตัวเจ้า!”

“ปรมาจารย์กระบี่!”

จากนั้นปรมาจารย์กระบี่พุ่งเข้าไปยังปราณหมื่นกระบี่และกระบี่สังหารหมื่นเล่มนั้นเพียงลำพัง เขาถูกปลุกคลุมอยู่ด้านใน เย่เทียนเฉินมองรอยประทับจิตวิญญาณสุดท้ายของปรมาจารย์กระบี่เลือนหายไป ในใจรู้สึกโศกเศร้าและซาบซึ้งใจ เมื่อมาถึงช่วงสุดท้ายของชีวิต สิ่งที่ปรมาจารย์กระบี่คิดถึงที่สุดยังคงเป็นภรรยาและลูกสาว ดังนั้นเรื่องต่อไปที่เย่เทียนเฉินคิดจะทำก็คือ หวงแหนครอบครัวปัจจุบัน ทำเรื่องตรงหน้าให้ดีที่สุด และพยายามมีชีวิตยืนยาว

ซู่ม!

หลังจากปรมาจารย์กระบี่ถูกกระบี่หมื่นเล่มฟาดฟันจนแหลกสลาย เบื้องหน้าของเย่เทียนเฉินพลันปรากฏกระดาษสีทองขึ้นแผ่นหนึ่ง ด้านในบันทึก “เคล็ดวิชาข่ายสวรรค์ขังมังกร” เอาไว้ นั่นก็คือเคล็ดวิชาที่ปรมาจารย์กระบี่พัฒนาออกมาเพื่อใช้ในการรับมือกับทัณฑ์สวรรค์โดยเฉพาะ มีพลังอำนาจยิ่งใหญ่มาก ภายหลังเย่เทียนเฉินก็ต้องพบกับทัณฑ์สวรรค์เช่นกัน เรียกได้ว่าเป็นเคล็ดวิชาที่ทุกคนต่างถวิลหา อีกทั้งด้านในยังมีคำพูดเขียนไว้ส่วนหนึ่ง เป็นคำพูดที่ปรมาจารย์กระบี่บอกกับเย่เทียนเฉิน ซึ่งก็คือชื่อและลักษณะของภรรยาเขา ดูแล้วปรมาจารย์กระบี่คงคาดเดาผลลัพธ์เช่นนี้ได้นานแล้ว ที่หายไปเมื่อครู่เป็นไปได้มากว่าจะไปเขียนคำพูดสุดท้ายนี้

เย่เทียนเฉินไม่ได้ฟาดฟันกระบี่เซวียนหยวนออกไปเพื่อเปิดช่องว่างนี้ แต่นำกระบี่เซวียนหยวนเข้าไปเก็บในช่องว่างในร่างกายของตน มองไปยังท้องฟ้าแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณวางใจเถอะ ผมต้องหาภรรยาและลูกสาวของคุณเจอแน่นอน และจะนำความคิดของคุณไปมอบให้พวกเธอ!”

เย่เทียนเฉินนั่งขัดสมาธิ ไม่ได้รีบร้อนจากไปทันที และไม่รีบหลอมรวมกับกระบี่เซวียนหยวน แต่ทำการจำเคล็ดวิชา “ข่ายสวรรค์ขังมังกร” ที่ปรมาจารย์กระบี่มอบให้ตน จากนั้นจึงค่อยๆ เรียนรู้ จากคำบันทึกบนกระดาษสีทองของปรมาจารย์กระบี่ เคล็ดวิชา “ข่ายสวรรค์ขังมังกร” ถูกสร้างมาเพียงขั้นต้นเท่านั้น ยังไม่สมบูรณ์ และยังไม่สามารถแสดงพลังอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาได้ นี่ยังต้องอาศัยเย่เทียนเฉิน ที่เย่เทียนเฉินนั่งขัดสมาธิและเรียนรู้เคล็ดวิชาข่ายสวรรค์ขังมังกรนี้ก่อน เพราะต้องการบอกกับปรมาจารย์กระบี่ว่า เรื่องที่เขามอบหมาย ตนจะต้องทำให้สำเร็จแน่นอน

ในขณะเดียวกัน ภายในห้องหินที่มีโลงศพซึ่งผนึกกระบี่เซวียนหยวนเอาไว้นั้น ตงฟางเมิ่งกำลังนั่งขัดสมาธิเบื้องหน้าโลงศพ เธอนั่งมาหลายวันหลายคืนแล้ว ในช่วงเวลาหลายวันนี้เธอไม่ได้ขยับเขยื้อนเลย บนหน้าผากมีเหงื่อหอมซึมออกมา ยิ่งไปกว่านั้นเหนือศีรษะยังมีควันสีขาวปรากฏขึ้นด้วย หากมียอดยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณอยู่ที่นี่จะต้องพากันตื่นตะลึงแน่ เนื่องจากพลังภายในของตงฟางเมิ่งบริสุทธิ์ขึ้นเรื่อยๆ เธอกำลังจะสำเร็จส่วนสุดท้ายของคัมภีร์ดรุณีหยก เพื่อที่จะช่วยเย่เทียนเฉิน เพื่อที่จะเปิดโลงศพที่ปิดสนิทนั้นให้ได้ เธอจึงไม่สนใจอาการบาดเจ็บในร่างกาย ฝืนทำการบ่มเพาะให้สมบูรณ์

“เย่เทียนเฉิน คนโง่ นายอย่าตายล่ะ ฉันจะรีบไปช่วยนายเดี๋ยวนี้!” ตงฟางเมิ่งพูดในใจ รีบโคจรพลังภายในเพื่อทำการบ่มเพาะ มุ่งสู่ขอบเขตสมบูรณ์ส่วนสุดท้ายของคัมภีร์ดรุณีหยก

ตู้มๆๆ … ทันใดนั้นกำแพงด้านหนึ่งภายในห้องหินเกิดเสียงโจมตีดังสนั่น ตงฟางเมิ่งอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว จากนั้นเธอได้ยินเสียงของหลี่ชิวสุ่ยซึ่งเป็นศิษย์พี่หญิงของเธอดังนั้น

“ศิษย์น้อง ฉันรู้ว่าเธออยู่ในนั้น ห้องหินนี้ถูกปิดแน่นจนไม่มีทางออกแม้แต่ทางเดียว เป็นที่ดีๆ ที่เธอจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับเจ้าหนุ่มหน้าขาวนั้นจริงๆ !” หลี่ชิวสุ่ยซัดฝ่ามือไปยังกำแพงหินพลางพูดด้วยรอยยิ้มเย็นชา

ตงฟางเมิ่งไม่สนใจหลี่ชิวสุ่ย เธอรู้ว่าหากสนใจหลี่ชิวสุ่ยตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าผู้หญิงคนนั้นเข้ามาจะต้องลงมือสังหารทันทีแน่นอน วิชาคัมภีร์ดรุณีหยกของเธออยู่ในขอบเขตสมบูรณ์แบบแล้ว เพียงแต่อย่างมากก็แค่สู้สูสีกับหลี่ชิวสุ่ยเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการช่วยเย่เทียนเฉิน ดังนั้นตงฟางเมิ่งจึงกลั้นใจตั้งสมาธิโคจรพลังภายในเพื่อฝ่าด่านสุดท้าย

ตู้มๆ …อีกหลายฝ่ามือซัดโจมตีไปยังกำแพงหิน ตงฟางเมิ่งรู้สึกว่ากำแพงหินถูกโจมตีจนแทบจะทะลุมาแล้ว แน่นอนว่าเสียงของหลี่ชิวสุ่ยซึ่งเป็นผู้หญิงโหดเหี้ยมคนนั้นยังไม่หยุด ยิ่งไปกว่านั้นยังหน้าด้านไร้ยางอายขึ้นเรื่อยๆ จุดประสงค์ของเธอก็คือทำลายสมาธิของตงฟางเมิ่ง

“ศิษย์น้องเล็ก ทำไม? เธอกับเจ้าหนุ่มหน้าขาวนั่นกำลังเปลือยกายต่อสู้กันเหรอ จะฝึกฝนคัมภีร์ดรุณีหยกร่วมกันอีกเหรอ? ช่างเป็นชีวิตที่ดีจริงๆ ศิษย์พี่หญิงอย่างฉันไม่มีผู้ชายนานแล้ว ให้ฉันร่วมด้วยเป็นไง? พวกเราเล่นกับเจ้าหนุ่มหน้าขาวนั้นด้วยกัน เธอจะยอมหรือเปล่า?”

หลี่ชิวสุ่ยเป็นผู้หญิงที่ทั้งโหดเหี้ยมและฉลาดคนหนึ่ง ตอนที่ตงฟางเมิ่งสู้กับเธอในถ้ำน้ำแข็ง เธอก็สัมผัสได้ถึงความไม่ถูกต้องบางอย่างแล้ว เพียงแต่ยังไม่กล้ามั่นใจ จนกระทั่งการดวลกันครั้งสุดท้ายเธอถึงมั่นใจได้ คัมภีร์ดรุณีหยกของตงฟางเมิ่งยังฝึกฝนไม่สำเร็จ อย่างน้อยก็ยังไปไม่ถึงระดับสมบูรณ์ เพื่อช่วยเย่เทียนเฉิน ตงฟางเมิ่งจึงฝืนกดพลังภายในของตนเพื่อมาสู้กับตน มิฉะนั้นด้วยคัมภีร์ดรุณีหยกที่เป็นวิชาอันกว้างขวางลึกซึ้ง หากบบ่มเพาะจนสำเร็จอย่างแท้จริง ตนย่อมไม่ใช่คู่มือของตงฟางเมิ่ง ตอนนี้เป็นไปได้มากว่าตงฟางเมิ่งจะกำลังโคจรพลังอยู่ ต้องการทะลวงขอบเขตสมบูรณ์ของคัมภีร์ดรุณีหยกไปให้ได้ มิฉะนั้นหากเวลาผ่านไปนานเธอยังเลี่ยงไม่ได้ที่จะตายเพราะถูกธาตุไฟเข้าแทรก หลี่ชิวสุ่ยพูดคำพูดหน้าด้านไร้ยางอายไม่หยุดหย่อนเพื่อทำให้ตงฟางเมิ่งเสียสมาธิจนไม่อาจรวบรวมสมาธิได้อีก กระทั่งอาจถูกธาตุไฟเข้าโจมตีทำให้ล้มเหลวจนตาย

ตงฟางเมิ่งได้ยินคำพูดของหลี่ชิวสุ่ยก็อดไม่ได้ที่จะลืมตาขึ้น ไม่ใช่ว่าเธอถูกคำพูดของหลี่ชิวสุ่ยกระตุ้นให้โกรธ แต่เสียงที่เธอได้ยินทำให้รู้ว่าอีกไม่นานกำแพงหินก็จะถูกหลี่ชิวสุ่ยโจมตีจนพังแล้ว ตอนนี้เธออยู่ในช่วงเวลาสำคัญของการฝ่าด่าน รวมกับที่เย่เทียนเฉินถูกขังอยู่ในโลงศพหินมาหลายวันหลายคืนแล้ว ความเป็นไปได้ที่จะมีชีวิตอยู่น้อยมาก เธอต้องเร่งขึ้นอีก ดังนั้นจำเป็นต้องคิดขวางไม่ให้ศิษย์พี่หญิงเข้ามา

ประกบฝ่ามือทั้งสองเข้าด้วยกัน ตงฟางเมิ่งย้ายเตียงหินและเก้าอี้หินภายในห้องทั้งหมดนอกจากโลงศพหินทั้งสองไปขวางอยู่บริเวณกำแพงด้านขวามือ หวังว่าจะหยุดหลี่ชิวสุ่ยได้ชั่วคราว ขอเพียงตนฝ่าด่านสมบูรณ์ของคัมภีร์ดรุณีหยกไปได้ ต่อให้หลี่ชิวสุ่ยพุ่งเข้ามาเธอก็ไม่กังวล ตอนนี้สิ่งที่เธอห่วงมากที่สุดก็คือเย่เทียนเฉิน หวังว่าเขาจะไม่เป็นไร

พลังที่แท้จริงของฝ่ามือหลี่ชิวสุ่ยเดือดพล่าน โจมตีลงบนกำแพงหินไม่หยุด ปากก็พูดคำลามกออกมาไม่หยุดเช่นกัน แต่กลับไม่ได้รับการตอบรับจากตงฟางเมิ่ง เพียงแต่เธอสัมผัสได้ถึงพลังภายในอันแข็งแกร่งภายในห้องหิน แน่ใจว่าตงฟางเมิ่งและเย่เทียนเฉินต้องอยู่ด้านในแน่นอน ตอนที่อยู่ในอุโมงค์น้ำแข็งเธอเกือบจะถูกกระบี่ไท่อาและกระบี่อวี๋ฉางสังหารไปแล้ว ทั้งยังต้องหลงอยู่ในสุสานโบราณหลายวันถึงจะพบห้องหินนี้ จึงรีบลงมือโจมตี แต่กลับคิดไม่ถึงว่ากำแพงหินจะแข็งขนาดนี้ใน เวลาเพียงชั่วครู่ยังไม่สามารถซัดทำลายได้

“ศิษย์น้องเล็ก ฉันรู้ว่าตอนนี้เธอกำลังผสานกายกับเจ้าหนุ่มหน้าขาวนั่นอย่างสบายอารมณ์ สบายจนพูดไม่ออกเลยรึไง? ยังไงเธอก็เพิ่งจะได้เป็นผู้หญิงเต็มตัว ยังไม่เชี่ยวชาญเคล็ดลับและท่วงท่า ให้ศิษย์พี่ใหญ่สอนเธอสักหลายท่าดีหรือเปล่า? ให้ฉันดูอยู่ข้างๆ ก็ได้? เธอเป็นดรุณีหยกของพรรคสุสานโบราณของพวกเรา ถ้าหากคนอื่นรู้สภาพของเธอในตอนนี้ จะต้องมีผู้ชายหลายคนฆ่าตัวตายแน่…ฮ่าๆๆๆ !” หลี่ชิวสุ่ยพูดไปพลางใช้ฝ่ามือทั้งสองโคจรพลังฝ่ามือสลายกระดูกไปพลาง

ตงฟางเมิ่งขมวดคิ้ว เดิมทีเธอก็เป็นผู้หญิงที่มีนิสัยค่อนข้างเย็นชาอยู่แล้ว รวมกับที่ท่านอาจารย์เพิ่งจะลาโลกไปไม่นาน พรรคสุสานโบราณเหลือแค่เธอคนเดียว อารมณ์จึงไม่ค่อยดีนัก ยิ่งเงียบไม่พูดไม่จาเข้าไปอีก ยิ่งไปกว่านั้น ผู้หญิงในพรรคสุสานโบราณแต่ละคนต่างก็บริสุทธิ์ไร้เดียงสาราวน้ำแข็ง ตอนนี้หลี่ชิวสุ่ยพูดแบบนี้นับเป็นการทำให้เธออับอาย ทำให้ขายหน้าของพรรคสุสานโบราณและทำให้เธอเสียสมาธิ

ปัง!

ปัง!

ในตอนที่ตงฟางเมิ่งยังไม่ทันมีปฏิกิริยากลับมา หลี่ชิวสุ่ยก็โคจรพลังภายในเคล็ดวิชาฝ่ามือสลายกระดูกซัดลงบนกำแพงอย่างแรงจนมีเสียงดังสนั่น กำแพงถูกซัดจนทลาย เตียงหินและเก้าอี้หินที่อยู่ด้านหน้าถูกโจมตีจนปลิวออกไป มุมปากของหลี่ชิวสุ่ยยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นชา สายตามองไปยังตงฟางเมิ่งอย่างโหดเหี้ยมพลางเดินเข้าไปในห้อง…

……………