ตอนที่ 139

Black Tech Internet Cafe System

งานหลักของมูฮงจูคือสอนเทคนิคการต่อสู้ให้แก่สาวก เธอไม่ได้มีหน้าที่ดูแลสาวกตามกลุ่มนั่นจึงเป็นเหตุผลที่เธอไม่ได้ติดตามสาวกที่เดินทางไปยังจิงฉี

 

ฉินบิงผู้นำทับได้พาศิษย์มากฝีมือหลายคนพร้อมอาจารย์ผู้สอนบางคนเดินทางไปที่จิงฉี เพื่อส่งสาวกเข้าร่วมการสอบวัดระดับในครั้งนี้ ส่วนสถานการณ์ในสำนักหลิงหยวนยังคงดำเนินการตามปกติ

 

สาวกส่วนใหญ่ที่มีมักษะฝีมือหรือชนชั้นที่ไม่ถึงตามกฏก พวกเขาล้วนถูกทิ้งให้อยู่ในสำนัก ที่นี่ไม่มีวันหยุดพิเศษอีกทั้งยังเรียนหนักอย่างสม่ำเสมอ

 

หลังจากหมดคาบเรียน มูฮงจูกลับมาอยู่คนเดียวอีกครั้งเธอนั่งอยู่บนกำแพงเล็กๆ นอกสนามฝึกพลางนึกคิดถึงสิ่งต่างๆ เธอกำลังรู้สึกสับสนในหัวใจ

 

สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นร้านเล็กๆ ที่กำลังถูกคว่ำบาตร สถานที่ที่สำนักกีดกันจากสาวกทุกคน เธอพบว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาคิดและการลงโทษของพวกเขาก็รุนแรงเกินไปสำหรับสาวก!

 

“อาจารย์มู!” อาจารย์ยูเหลียงเป็นอาจารย์สอนเทคนิคการต่อสู้อีกคน เธอกำลังจะเดินไปบ้านซวน เดินผ่านมาเห็นอาจารย์มูที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดจึงเอ่ยทัก

 

“คุณมาทำอะไรตรงนี้?” พวกเขาเป็นทั้งผู้ฝึกสอนและเพื่อนร่วมงานกัน

 

“อาจารย์ยู คุณเคยคิดบางมั้ยว่าเหตุใดสาวกหลายคนมักชอบไปคาเฟ่แห่งนั้นทั้งๆ ที่ที่นั่นเป็นที่ต้องห้าม” มูฮงจูเอ่ยถาม

 

“ไม่ใช่แค่บางคนหรอกหรอ?” ยูเหลียงขมวดคิ้ว

 

“หลายคนเป็นชนชั้นสูงจากครอบครัวที่มีฐานะ คุณคิดว่าที่นั่นมีอะไรที่ดึงดูดใจพวกเขาหรือเปล่า?” มูฮงจูกล่าวจริงจัง

 

อาจารย์หลายคนที่นี่ไม่ได้โง่ แต่พวกเขาไม่ได้มองเห็นถึงข้อแตกต่างเหล่านี้ แต่เมื่อมูฮงจูเอ่ยขึ้นก็ทำให้ยูเหลียงเริ่มเอะใจและคิดตาม

 

“โอ้ะ ฉันขอโทษ” มูฮงจูนึกขึ้นได้ขณะมองเวลา “ฉันหวังว่าฉันคงไม่ได้ทำให้ชั้นเรียนของคุณล่าช้าเกินไป”

 

“ไม่เป็นไร! ทุกอย่างปกติ” ยูเหลียงชำเลืองมองที่สนามฝึกซ้อม “ชั้นเรียนยังไม่เริ่มเลย”

 

ยูเหลียงที่ยืนอยู่ตรงนั้นยืนมองมูฮงจูที่กำลังเดินออกจากสนามซ้อมไป .. ทำไมจู่ๆ เธอถึงถามฉันแบบนั้น มันแปลก ..

 

 

“ทำไมเราถึงพยายามอย่างหนักเพียงเพื่อต้องการคว่ำบาตรร้านเล็กๆ นี้กันนะ?” เฉินเฟิงพึมพำกับตัวเองด้วยความเหนื่อยล้า

 

หลังจากที่เขาได้ทดลองปืนที่อยู่ในมือแล้ว เขาก็ไม่สนใจธุรกิจหรือสิ่งรอบข้างอีก

 

“นี่เจ้าลูกชาย นี่คืออาวุธที่เจ้าต้องการซื้อใช่มั้ย?” เฉินเฟิงถาม

 

“ไม่ อาวุธที่ทำการสลักร่องรอยพลังจิตวิญญาณจะมีพลังมากกว่าอาวุธปกติ”

 

“สลัก?” เฉินเฟิงรู้สึกตกใจและพบว่าปืนในมือเขาไม่มีการแกะสลักร่องรอยสักนิดเดียว

 

มันไม่มีพลังทางจิตวิญญาณ แต่ก็สามารถปลดปล่อยพลังธรรมดาๆ จากอาวุธได้

 

ในฐานะผู้ที่มีอำนาจควบคุมทรัพย์สมบัติส่วนใหญ่ของตระกูลเฉินเขาไม่ใช่คนโง่! เขารู้ว่าหากมีการแกะสลักเพิ่มเติมในอาวุธเหล่านี้จะช่วยเพิ่มคุณค่าให้มันยิ่งขึ้น นอกจากนี้อาวุธเหล่านี้จะได้รับความนิยมจากผู้คนมากขึ้นอีกด้วย!

 

“แกเคยบอกว่าร้านบลูเฟรมสามารถสร้างอาวุธเหล่านี้ได้ใช่มั้ย?” เฉินเฟิงถามเสียงเข้ม

 

“พวกเขาสามารถลอกเลียนแบบได้” นายน้อยเฉินกล่าว “แต่พวกเขายังไม่สามารถสร้างลวดลายทางจิตวิญญาณที่ทรงพลังได้ ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งประดิษฐ์ของกลุ่มโอเชียนและผู้เชี่ยวชาญจากหวังหลิวหยุนเองก็กำลังศึกษาอาวุธเหล่านี้เช่นกัน”

 

“พวกเขา .. กำลังศึกษาอยู่หรอ?” เฉินเฟิงได้รับข้อมูลข่าวสารสำคัญจากคำพูดของลูกชาย

 

“งั้น ครอบครัวของเราจะชักช้าไม่ได้!” เขาหยิบหยกสื่อสารออกมาและส่งข้อความ

 

“ท่านพ่อ! ท่านกำลังทำอะไร มาเล่นกันก่อน!”

 

“ฉันกำลังเรียกลุงหยางและลุงหยูผู้เชี่ยวชาญของครอบครัวเราให้มาร่วมเล่น CS!”

 

“เร็วเข้า! เกมเริ่มต้นขึ้นแล้ว! อาจารย์ซัวและหัวหน้ากลุ่มเยกำลังรออยู่” นายน้อยเรียกพ่อ

 

“โอเคๆ ..” เฉินเฟิงรับกลับมาประจำที่

 

เนื่องจากการเป็นการเข้าร่วมเล่นครั้งแรกของผู้เล่นใหม่ ตัวเกมจึงต้องโหลดนานกว่าปกติ ในขณะที่คนอื่นโหลดเสร็จแล้ว เฉินเฟิงยังคงเดินทางตามไป

 

พวกเขาเลือกเล่นแมพ Dusk 2

 

“ซื้อปืน!” นายน้อยเฉินกำลังเล่นบทผู้บัญชาการ “ทำตามข้า RUSH B!”

 

ผู้แข่งขันทุกคนตอนนี้พร้อมแล้ว!

 

“นั่น ระเบิด! ระวังระเบิด!”

 

“แม่งเอ้ย! ใครขว้างวะ มันทำให้ฉันมองไม่เห็นอะไรเลย!”

 

“ฉันก็มองไม่เห็นอะไรเหมือนกัน!”

 

“ขว้างระเบิดควันไป กันให้ฉันด้วย!”

 

ระเบิดควันแปดลูกถูกโยนขึ้นบนอากาศ ผู้รอดชีวิตที่ยังอยู่มองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากควันสีเทา!

 

“ฉันเป็นใคร? ฉันอยู่ที่ไหน? ใครยิงฉัน?”

 

“ฮ่าๆๆๆๆ  เหลือแค่คนเดียวเท่านั้น”

 

นายน้อยเฉินยิ่งสาดไปโดยไม่มีจุดหมายด้วยปืนกลของเขา

 

“ข้างหลัง!”

 

“รอบนี้พวกเขาชนะ!”

 

บทสนทนาของทั้งสองทีมดังขึ้นระหว่างเล่นเกม

 

ผู้ชมอย่างเซียวหยูเองที่ชื่นชมเป็นเวลานาน เขารู้สึกเบื่อเกินไปแล้วสำหรับวันนี้

 

 

ขณะเดียวกันระหว่างที่เซียวหยูหันหลังกลับเพื่อจะเดินตรงอื่น ข้างหน้าเขาคือสาวสองคนพร้อมผ้าคลุมหน้า คนซ้ายมือสวมชุดสีเขียวอ่อนผมดำขับผิว ส่วนอีกคนมีดวงตาแหลมคมใส่สวมชุดสีดำสนิททั้งตัว

 

ทำไมผู้คนที่เดินทางมาที่นี่ถึงดูลึกลับ? ก่อนหน้านี้ทั้งชายสวมหมวกไม้ไผ่ ตอนนี้ก็เด็กสาวสองคนสวมผ้าคลุมหน้า ฉันว่าสาวกหลายคนจากสำนักหลิงหยวนคงไม่กล้ามาเหยียบที่นี่อีกแล้วละ

 

เวลาเดียวกันฟางฉีเองก็กำลังนั่งจกฮาเก้นดาสอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์ โดยที่มีสายตาอาฆาตของเจ้าตัวเล็กมองจ้องอยู่

 

“ใครเป็นเจ้าของร้านนี้?” จางวันยูมองไปรอบๆ และตะโกนขึ้น

 

“เขาคือ ..” เซียวหยูชี้นิ้วไปที่ฟางฉีผู้นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์

 

“ห้ะ!?” ฟางฉีเงยหน้าขึ้นจากฮาเก้นดาส “ลูกค้าใหม่? กฏอยู่บนกระดานนั่น พวกคุณลองอ่านดูก่อนได้”

 

จางวันยูชักสีหน้า ถ้าเป็นที่ร้านอาหารศาลาลมและพระจันทร์คงจะมีบริกรออกมาต้อนรับลูกค้า แต่ร้านนี้ดันบอกให้พวกเขาอ่านด้วยตัวเอง!

 

ร้านนี้ตั้งอยู่ในที่ห่างไกลแหล่งชุมชน แถมเจ้าของร้านยังมีทัศนะคติที่แย่อีกไม่นานมันคงปิดตัวลงโโยไม่ต้องรอให้พวกเราคว่ำบาตรหรอก เธอคิดในหัวรู้สึกหัวเราะเยาะในใจ

 

ขณะที่เธอกำลังพึมพำกับความคิดอันชั่วร้ายนั้น ฟางฉีกล่าวเรียกสติ “โอ้ว! พวกคุณมาผิดเวลา ตอนนี้คอมพิวเตอร์ทุกตัวที่นี่เต็มหมดแล้ว ฉันเกรงว่าพวกคุณต้องรอสักประมาณสี่ถึงห้าชั่วโมง”

 

“!!??”