งานหลักของมูฮงจูคือสอนเทคนิคการต่อสู้ให้แก่สาวก เธอไม่ได้มีหน้าที่ดูแลสาวกตามกลุ่มนั่นจึงเป็นเหตุผลที่เธอไม่ได้ติดตามสาวกที่เดินทางไปยังจิงฉี
ฉินบิงผู้นำทับได้พาศิษย์มากฝีมือหลายคนพร้อมอาจารย์ผู้สอนบางคนเดินทางไปที่จิงฉี เพื่อส่งสาวกเข้าร่วมการสอบวัดระดับในครั้งนี้ ส่วนสถานการณ์ในสำนักหลิงหยวนยังคงดำเนินการตามปกติ
สาวกส่วนใหญ่ที่มีมักษะฝีมือหรือชนชั้นที่ไม่ถึงตามกฏก พวกเขาล้วนถูกทิ้งให้อยู่ในสำนัก ที่นี่ไม่มีวันหยุดพิเศษอีกทั้งยังเรียนหนักอย่างสม่ำเสมอ
หลังจากหมดคาบเรียน มูฮงจูกลับมาอยู่คนเดียวอีกครั้งเธอนั่งอยู่บนกำแพงเล็กๆ นอกสนามฝึกพลางนึกคิดถึงสิ่งต่างๆ เธอกำลังรู้สึกสับสนในหัวใจ
สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นร้านเล็กๆ ที่กำลังถูกคว่ำบาตร สถานที่ที่สำนักกีดกันจากสาวกทุกคน เธอพบว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาคิดและการลงโทษของพวกเขาก็รุนแรงเกินไปสำหรับสาวก!
“อาจารย์มู!” อาจารย์ยูเหลียงเป็นอาจารย์สอนเทคนิคการต่อสู้อีกคน เธอกำลังจะเดินไปบ้านซวน เดินผ่านมาเห็นอาจารย์มูที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดจึงเอ่ยทัก
“คุณมาทำอะไรตรงนี้?” พวกเขาเป็นทั้งผู้ฝึกสอนและเพื่อนร่วมงานกัน
“อาจารย์ยู คุณเคยคิดบางมั้ยว่าเหตุใดสาวกหลายคนมักชอบไปคาเฟ่แห่งนั้นทั้งๆ ที่ที่นั่นเป็นที่ต้องห้าม” มูฮงจูเอ่ยถาม
“ไม่ใช่แค่บางคนหรอกหรอ?” ยูเหลียงขมวดคิ้ว
“หลายคนเป็นชนชั้นสูงจากครอบครัวที่มีฐานะ คุณคิดว่าที่นั่นมีอะไรที่ดึงดูดใจพวกเขาหรือเปล่า?” มูฮงจูกล่าวจริงจัง
อาจารย์หลายคนที่นี่ไม่ได้โง่ แต่พวกเขาไม่ได้มองเห็นถึงข้อแตกต่างเหล่านี้ แต่เมื่อมูฮงจูเอ่ยขึ้นก็ทำให้ยูเหลียงเริ่มเอะใจและคิดตาม
“โอ้ะ ฉันขอโทษ” มูฮงจูนึกขึ้นได้ขณะมองเวลา “ฉันหวังว่าฉันคงไม่ได้ทำให้ชั้นเรียนของคุณล่าช้าเกินไป”
“ไม่เป็นไร! ทุกอย่างปกติ” ยูเหลียงชำเลืองมองที่สนามฝึกซ้อม “ชั้นเรียนยังไม่เริ่มเลย”
ยูเหลียงที่ยืนอยู่ตรงนั้นยืนมองมูฮงจูที่กำลังเดินออกจากสนามซ้อมไป .. ทำไมจู่ๆ เธอถึงถามฉันแบบนั้น มันแปลก ..
…
“ทำไมเราถึงพยายามอย่างหนักเพียงเพื่อต้องการคว่ำบาตรร้านเล็กๆ นี้กันนะ?” เฉินเฟิงพึมพำกับตัวเองด้วยความเหนื่อยล้า
หลังจากที่เขาได้ทดลองปืนที่อยู่ในมือแล้ว เขาก็ไม่สนใจธุรกิจหรือสิ่งรอบข้างอีก
“นี่เจ้าลูกชาย นี่คืออาวุธที่เจ้าต้องการซื้อใช่มั้ย?” เฉินเฟิงถาม
“ไม่ อาวุธที่ทำการสลักร่องรอยพลังจิตวิญญาณจะมีพลังมากกว่าอาวุธปกติ”
“สลัก?” เฉินเฟิงรู้สึกตกใจและพบว่าปืนในมือเขาไม่มีการแกะสลักร่องรอยสักนิดเดียว
มันไม่มีพลังทางจิตวิญญาณ แต่ก็สามารถปลดปล่อยพลังธรรมดาๆ จากอาวุธได้
ในฐานะผู้ที่มีอำนาจควบคุมทรัพย์สมบัติส่วนใหญ่ของตระกูลเฉินเขาไม่ใช่คนโง่! เขารู้ว่าหากมีการแกะสลักเพิ่มเติมในอาวุธเหล่านี้จะช่วยเพิ่มคุณค่าให้มันยิ่งขึ้น นอกจากนี้อาวุธเหล่านี้จะได้รับความนิยมจากผู้คนมากขึ้นอีกด้วย!
“แกเคยบอกว่าร้านบลูเฟรมสามารถสร้างอาวุธเหล่านี้ได้ใช่มั้ย?” เฉินเฟิงถามเสียงเข้ม
“พวกเขาสามารถลอกเลียนแบบได้” นายน้อยเฉินกล่าว “แต่พวกเขายังไม่สามารถสร้างลวดลายทางจิตวิญญาณที่ทรงพลังได้ ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งประดิษฐ์ของกลุ่มโอเชียนและผู้เชี่ยวชาญจากหวังหลิวหยุนเองก็กำลังศึกษาอาวุธเหล่านี้เช่นกัน”
“พวกเขา .. กำลังศึกษาอยู่หรอ?” เฉินเฟิงได้รับข้อมูลข่าวสารสำคัญจากคำพูดของลูกชาย
“งั้น ครอบครัวของเราจะชักช้าไม่ได้!” เขาหยิบหยกสื่อสารออกมาและส่งข้อความ
“ท่านพ่อ! ท่านกำลังทำอะไร มาเล่นกันก่อน!”
“ฉันกำลังเรียกลุงหยางและลุงหยูผู้เชี่ยวชาญของครอบครัวเราให้มาร่วมเล่น CS!”
“เร็วเข้า! เกมเริ่มต้นขึ้นแล้ว! อาจารย์ซัวและหัวหน้ากลุ่มเยกำลังรออยู่” นายน้อยเรียกพ่อ
“โอเคๆ ..” เฉินเฟิงรับกลับมาประจำที่
เนื่องจากการเป็นการเข้าร่วมเล่นครั้งแรกของผู้เล่นใหม่ ตัวเกมจึงต้องโหลดนานกว่าปกติ ในขณะที่คนอื่นโหลดเสร็จแล้ว เฉินเฟิงยังคงเดินทางตามไป
พวกเขาเลือกเล่นแมพ Dusk 2
“ซื้อปืน!” นายน้อยเฉินกำลังเล่นบทผู้บัญชาการ “ทำตามข้า RUSH B!”
ผู้แข่งขันทุกคนตอนนี้พร้อมแล้ว!
“นั่น ระเบิด! ระวังระเบิด!”
“แม่งเอ้ย! ใครขว้างวะ มันทำให้ฉันมองไม่เห็นอะไรเลย!”
“ฉันก็มองไม่เห็นอะไรเหมือนกัน!”
“ขว้างระเบิดควันไป กันให้ฉันด้วย!”
ระเบิดควันแปดลูกถูกโยนขึ้นบนอากาศ ผู้รอดชีวิตที่ยังอยู่มองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากควันสีเทา!
“ฉันเป็นใคร? ฉันอยู่ที่ไหน? ใครยิงฉัน?”
“ฮ่าๆๆๆๆ เหลือแค่คนเดียวเท่านั้น”
นายน้อยเฉินยิ่งสาดไปโดยไม่มีจุดหมายด้วยปืนกลของเขา
“ข้างหลัง!”
“รอบนี้พวกเขาชนะ!”
บทสนทนาของทั้งสองทีมดังขึ้นระหว่างเล่นเกม
ผู้ชมอย่างเซียวหยูเองที่ชื่นชมเป็นเวลานาน เขารู้สึกเบื่อเกินไปแล้วสำหรับวันนี้
…
ขณะเดียวกันระหว่างที่เซียวหยูหันหลังกลับเพื่อจะเดินตรงอื่น ข้างหน้าเขาคือสาวสองคนพร้อมผ้าคลุมหน้า คนซ้ายมือสวมชุดสีเขียวอ่อนผมดำขับผิว ส่วนอีกคนมีดวงตาแหลมคมใส่สวมชุดสีดำสนิททั้งตัว
ทำไมผู้คนที่เดินทางมาที่นี่ถึงดูลึกลับ? ก่อนหน้านี้ทั้งชายสวมหมวกไม้ไผ่ ตอนนี้ก็เด็กสาวสองคนสวมผ้าคลุมหน้า ฉันว่าสาวกหลายคนจากสำนักหลิงหยวนคงไม่กล้ามาเหยียบที่นี่อีกแล้วละ
เวลาเดียวกันฟางฉีเองก็กำลังนั่งจกฮาเก้นดาสอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์ โดยที่มีสายตาอาฆาตของเจ้าตัวเล็กมองจ้องอยู่
“ใครเป็นเจ้าของร้านนี้?” จางวันยูมองไปรอบๆ และตะโกนขึ้น
“เขาคือ ..” เซียวหยูชี้นิ้วไปที่ฟางฉีผู้นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์
“ห้ะ!?” ฟางฉีเงยหน้าขึ้นจากฮาเก้นดาส “ลูกค้าใหม่? กฏอยู่บนกระดานนั่น พวกคุณลองอ่านดูก่อนได้”
จางวันยูชักสีหน้า ถ้าเป็นที่ร้านอาหารศาลาลมและพระจันทร์คงจะมีบริกรออกมาต้อนรับลูกค้า แต่ร้านนี้ดันบอกให้พวกเขาอ่านด้วยตัวเอง!
ร้านนี้ตั้งอยู่ในที่ห่างไกลแหล่งชุมชน แถมเจ้าของร้านยังมีทัศนะคติที่แย่อีกไม่นานมันคงปิดตัวลงโโยไม่ต้องรอให้พวกเราคว่ำบาตรหรอก เธอคิดในหัวรู้สึกหัวเราะเยาะในใจ
ขณะที่เธอกำลังพึมพำกับความคิดอันชั่วร้ายนั้น ฟางฉีกล่าวเรียกสติ “โอ้ว! พวกคุณมาผิดเวลา ตอนนี้คอมพิวเตอร์ทุกตัวที่นี่เต็มหมดแล้ว ฉันเกรงว่าพวกคุณต้องรอสักประมาณสี่ถึงห้าชั่วโมง”
“!!??”