ตอนที่ 168 ประสก เจ้าเหยียบอาหารของอาตมาแล้ว (1)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

ชิวเยี่ยไป๋นึกไปนึกมา ดูเหมือนในยุทธจักรไม่มีคนคนนี้ จึงกล่าวว่า “ในเมื่อท่านอาทั้งหลายพูดเช่นนี้ คงโทษว่าเย่ไป๋สอดรู้สอดเห็นไม่ได้แล้ว คนผู้นี้อยู่ที่นี่หรือไม่”

 

 

หลินชงลั่งเห็นชิวเยี่ยไป๋ถามก็ผงกศีรษะ “อยู่นี่”

 

 

ว่าแล้วก็ชี้ไปโต๊ะที่อยู่มุมสุด

 

 

ชิวเยี่ยไป๋มองตาม นึกไม่ถึงว่าพอมองไปก็พบสายตาคมเหมือนเหยี่ยวข้างหนึ่ง

 

 

เยือกเย็น เจ้าเล่ห์

 

 

นั่นเป็นบุรุษเยาว์วัย ดูแล้วไม่เหมือนพวกโจรสลัดที่หยาบกร้านหรือชาวยุทธจักรที่เหี้ยมเกรียม คนผู้นั้นดูแล้วยังมีกลิ่นอายของหนอนตำราอยู่บ้าง ถ้ามิใช่ตาข้างหนึ่งคาดที่ปิดตาสีดำไว้ ดูแล้วน่าจะเป็นบัณฑิตตกยาก

 

 

มิน่าเล่าหลินชงลั่งจึงไม่ชอบ คนเช่นนี้ดูก็รู้ว่าเป็นคนถ่อย เจ้าเล่ห์ ต่างกับชาวยุทธจักรเช่นพวกเรา

 

 

ชิวเยี่ยไป๋หรี่ตา เม้มริมฝีปากล่างช้าๆ

 

 

บุรุษตาเดียวผู้นั้นพยักหน้าให้แล้วก็หันไปทางอื่น โต๊ะที่เขานั่งอยู่ก็ไม่ครึกครื้น หลังบุรุษตาเดียวหันไปแล้ว บุรุษร่างอ้วนเตี้ยไว้หนวดสองแฉกดูเหมือนจะสังเกตอะไรได้ จึงหันมายิ้มอย่างประจบประแจงกับชิวเยี่ยไป๋

 

 

“ฮึ่ม!” เหล่าเจิงหันไปถลึงตาใส่ บุรุษไว้หนวดรีบหลบตาทันที

 

 

ชิวเยี่ยไป๋หัวร่อกล่าวว่า “เจ้าหนวดนั่นคือหัวหน้าใหญ่ค่ายฉงฉีใช่หรือไม่”

 

 

หลินชงลั่งผงกศีรษะ “ใช่”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋กำลังครุ่นคิดว่าจะใช้วิธีอะไรให้บุรุษไว้หนวดเข้ามาคารวะสุรา เพื่อจะได้รู้เบาะแสบ้าง กลับนึกไม่ถึงว่าผีน้ำคนหนึ่งพลันเข้ามาอย่างรีบร้อน กระซิบบางอย่างใส่หูหลินชงลั่ง

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เห็นสีหน้าเขาเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจึงดึงความสนใจกลับมา หัวร่อกล่าวว่า “ท่านอาเป็นอะไรไป หรือว่าคนของทางการกลับคำ จะส่งกองทัพมาเยือน”

 

 

หลินชงลั่งสั่นศีรษะ สีหน้าสับสนกล่าวว่า “ไม่ถึงกับใช่แต่ก็ประมาณนั้น คุณชายใหญ่ตระกูลเหมยมาตรวจไหวหนาน”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ชะงักจอกสุราในมือ “อ้อ แล้วอย่างไร”

 

 

หลินชงลั่งฝืนยิ้ม “เขาให้คนส่งเทียบมา บอกว่าเตรียมของขวัญให้พี่ใหญ่ ยามนี้กำลังรอคำตอบจากข้า คิดว่าป่านนี้อินชวนกงคงไปรับแล้ว”

 

 

นางหลับตาลง ซ่อนแววเย็นเยียบของดวงตา

 

 

เหมยซู สมกับเป็นเหมยซูจริงๆ ถึงได้มีปฏิกิริยาเร็วกว่าที่คิด

 

 

อุตส่าห์นึกถึงค่ายหัวหน้าหลิน เป็นความบังเอิญ หรือจะมาอวยพรวันเกิดจริง

 

 

อีกสักครู่ต้องหลบไปก่อน!

 

 

บุรุษตาเดียวพลันลุกขึ้นเดินมาโต๊ะชิวเยี่ยไป๋

 

 

“หัวหน้าหลิน” เขาประสานมือคารวะหลินชงลั่ง กล่าวอย่างนอบน้อมว่า “พี่ใหญ่ ข้าไม่ค่อยสบาย จะขอกลับห้องพักก่อน จึงให้ข้ามาขออภัยหัวหน้ากับทุกท่าน”

 

 

หลินชงลั่งไม่อยากเห็นพวกเขาอยู่แล้ว พวกเขารั้งอยู่ที่นี่ก็เพราะชิวเยี่ยไป๋จะมา บัดนี้แขกสำคัญมาแล้ว ย่อมไม่มีเหตุผลอะไรที่จะให้คนขัดตาพวกนี้อยู่ต่อ

 

 

เขาลูบหนวดแล้วกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ในเมื่อพี่ซูไม่สบาย ซูจิ่น เจ้าดื่มสามจอกแล้วไปได้”

 

 

เขานึกดูแล้วผายมือไปยังชิวเยี่ยไป๋ “นี่เป็นแขกพิเศษของข้า เจ้าก็ดื่มสามจอกแล้วกัน”

 

 

นี่ยากแล้ว ชิวเยี่ยไป๋ไม่ได้กลิ่นสุราจากตัวซูจิ่นแม้แต่น้อย คิดดูแล้วอีกฝ่ายคงดื่มไม่เป็น หรือไม่ก็คอแข็งมาก แต่หลินชงลั่งไม่ชอบคนของค่ายฉงฉี ย่อมมิใช่ใจดีแต่อย่างใด

 

 

นางแลดูซูจิ่นที่อยู่เบื้องหน้า ยิ้มจางๆ “ช่างบังเอิญจริง สักครู่จะมีแขกพิเศษมาอีกคน รองนายค่ายซูจะไปแล้ว หรือว่าคนที่จะมาเป็นคู่ปรับจึงรีบหลบ”

 

 

อย่างน้อยโดยเปลือกนอกแล้ว สินค้าของตระกูลเหมยถูกคนของค่ายฉงฉีปล้นไป

 

 

ซูจิ่นแลดูชิวเยี่ยไป๋ ดวงตาฉายแววเย็นเยียบแวบหนึ่ง “คุณชายสี่ หมายความว่าอย่างไร”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เลิกคิ้ว “เจ้าคิดว่าข้าหมายความอย่างไร ย่อมหมายความอย่างนั้นแหละ”

 

 

หลินชงลั่งเห็นชิวเยี่ยไป๋ถากถางซูจิ่นตรงๆ ก็คิดว่าเพราะชิวเยี่ยไป๋ไม่พอใจพฤติกรรมที่ขัดกับกฎเกณฑ์ยุทธจักรของค่ายฉงฉี เหล่าเจิงก็เสริมว่า “ว่าอย่างไร คุณชายสี่พูดแทงใจดำใช่ไหมเล่า ตอนนี้รู้จักหลุบหางหนีแล้ว ตอนแรกก่อนจะทำเรื่องงี่เง่าทำไมถึงไม่มีสมอง ทิ้งขยะให้คนอื่นเก็บกวาด!”

 

 

ที่หลินชงลั่งกับเหล่าเจิงขัดตาที่สุด มิใช่เหล่าเจอกูที่เป็นนายค่ายของค่ายฉงฉี แต่เป็นซูจิ่น เหล่าเจอกูเป็นคนยากจนมาแต่เล็ก แม้จะกลอกกลิ้งอยู่บ้างแต่ยังคงเป็นคนหยาบกร้าน ใช้เล่ห์ร้ายไม่เป็น แต่หลังซูจิ่นเป็นรองนายค่ายแล้วก็ใช้ทุกวิถีทางเพื่อขยายอิทธิพลของค่ายฉงฉี!

 

 

แต่แม้พวกเขาจะอยากสั่งสอนค่ายฉงฉี กลับจำต้องกริ่งเกรงคนที่ซูจิ่น ‘ช่วยชีวิต’ ไว้ บวกกับที่ซูจิ่นพนันไว้ครานั้นเป็นฝ่ายชนะ การจะเป็นผู้นำฝ่ายอธรรมต้องเน้นหนักที่คุณธรรมมากที่สุด ดังนั้นแม้พวกเขาจะถือว่าเป็นหนามตำใจยังคงลงมือไม่ได้

 

 

ซูจิ่นเห็นเหล่าเจิงเอ่ยปาก แม้ผู้ใหญ่ของฝ่ายอธรรมที่อยู่รอบข้างจะไม่พูด แต่พวกเขายังคงมองดูตนอย่างเย็นชา แม้จะมีความโกรธในใจแต่ยังคงก้มหน้าลง ดวงตาข้างเดียวฉายแววดุร้าย

 

 

เขาลดเสียงลงอย่างเจียมตัว ท่าทางเหมือนคนสำนึกผิด “ล้วนเพราะข้าน้อยไม่รอบคอบพอ แต่ก็เป็นดั่งที่คุณชายสี่กล่าว มิทราบคุณชายใหญ่ตระกูลเหมยมาที่นี่เพราะเหตุใด แต่หากพบคนที่ล่วงเกินต่อท่านในที่นี้อาจไม่สบอารมณ์ ดังนั้นข้าน้อยกับพี่ใหญ่จึงคิดว่าหลบหน้ากลับค่ายไปก่อนจะดีกว่า”

 

 

หลินชงลั่งฟังแล้วก็ครุ่นคิด ดูเหมือนที่พูดก็ถูกต้องอยู่ จึงผายมือกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็หลบไปก่อน แต่ยังคงต้องขออภัยคุณชายสี่ที่เจ้าเสียมารยาทเมื่อครู่!”

 

 

เสียมารยาท?

 

 

คนผู้นี้หาเรื่องก่อน กลับจะให้ตนขออภัย

 

 

ซูจิ่นเห็นท่าทางเฉื่อยชาของชิวเยี่ยไป๋ ดวงตาฉายแววเย็นเยียบวูบหนึ่ง นี่คือความสามารถของคนที่เหนือกว่า ไม่ว่าจะในวงการยุทธจักรหรือชาวบ้านทั่วไป คนที่มีฐานะสูงกว่าสามารถเหยียบย่ำคนที่ด้อยกว่าไว้ใต้ฝ่าเท้าดุจมดปลวก!

 

 

เขากำลังคิดว่าคารวะสุราต่อชิวเยี่ยไป๋เป็นการขออภัยแล้วรีบไปจะดีกว่า พลันได้ยินเสียงกังวานคราหนึ่ง จึงหันไปดูตามสัญชาตญาณ ไม่เฉพาะเขาคนอื่นก็หันไปดูด้วย

 

 

พอแลดูก็พบว่าที่พื้นโต๊ะข้างๆ มีจานใบหนึ่งแตกละเอียดอยู่ และคนที่โต๊ะนั้นก็มีท่าทางประหลาด ล้วนกำลังตะลึงงัน

 

 

แม้แต่หลินชงลั่งเองก็รู้สึกว่าคนโต๊ะนั้นผิดปกติ

 

 

หลินชงลั่งแปลกใจ หรือว่ากินกันจนเกิดปัญหา

 

 

เขาลุกขึ้นยืนทันที คราวนี้เป็นปัญหาแล้ว…เนื่องจากงานเลี้ยงนี้กินกันตั้งแต่เช้ายันค่ำ ทุกคนจึงอิ่มหนำกันนานแล้ว แต่ตามธรรมเนียมของงานเลี้ยงฉลองวันเกิดที่จัดต่อเนื่องกัน จะให้ในจานขาดอาหารมิได้ ดังนั้นโต๊ะข้างๆ จึงควรมีหมูเห็ดเป็ดไก่กองพะเนินเช่นเดียวกับโต๊ะของตน