ตอนที่ 169 ประสก เจ้าเหยียบอาหารของอาตมาแล้ว (2)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

แต่ยามนี้อาหารโต๊ะข้างๆ กลับเกลี้ยงทุกจาน!

 

 

หรือจะเป็นเพราะจานชามมากมายกองซ้อนกัน ใบหนึ่งจึงตกแตกกับพื้น และคนที่ทำหล่นก็คือหัวหน้าค่ายสตรีซึ่งเป็นค่ายขนาดกลางทำตกเอง

 

 

หลินชงลั่งเห็นสายตาทุกคนจับจ้องที่คนคนหนึ่งอย่างงุนงง ผมสีเงินเต็มศีรษะทำให้เขานึกถึงใครคนหนึ่ง

 

 

นั่นมิใช่ไต้ซือเมิ่งอี๋เจ้าสำนักซวีอู๋แห่งเขาซวีอู๋ที่ติดตามชิวเยี่ยไป๋มาอวยพรวันเกิดหรอกหรือ

 

 

เขาจึงเหลือบมองชิวเยี่ยไป๋ตามสัญชาตญาณ กลับเห็นสีหน้าของชิวเยี่ยไป๋แปลกไป หรือน่าจะกล่าวว่า…อึดอัด

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ย่อมรู้ว่าหลินชงลั่งกำลังจับจ้องตน จึงมองเขาตรงๆ แล้วยิ้มอย่างจนใจ “ไต้ซือเมิ่งอี๋ฝึกพลังภายในเปลืองเรี่ยวแรงโขอยู่ จึงกินมากหน่อย”

 

 

หลินชงลั่งฟังแล้วก็หันไปดูหลายครั้ง พบว่าทุกคนบนโต๊ะนั่นกำลังมองดูหลวงจีนอย่างทึ่งจัด และเขากำลังกินอาหารจริงๆ!

 

 

“ฮ่าๆ ไต้ซือเจริญอาหาร…” หลินชงลั่งไม่ถือสาและหันกลับไป ขณะกำลังจะพูดต่อต้องชะงักหันกลับไปดูอีกครั้ง เห็นสภาพการดื่มกินของหยวนเจ๋อ พริบตานั้นจึงอ้าปากค้าง

 

 

นะ…นั่นเป็นตัวอะไร

 

 

อสูร…จอมตะกละหรือ!

 

 

เขาแทบจะดูไม่ทันว่าอีกฝ่ายเคลื่อนไหวอย่างไร แต่อาหารทั้งจานหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็วในไม่กี่นาที!

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ไม่ต้องดูก็รู้ว่าหลวงจีนงี่เง่าเวลากินอาหาร มูมมามจนเหมือนผีเปรตหิวโหยราวกับเป็นที่โม่อาหารในรูปคน

 

 

นางคลึงหว่างคิ้ว ลุกขึ้นเดินไปที่หยวนเจ๋อ เห็นเขากำลังสวาปามไก่ทั้งตัว กำลังถ่มกระดูกไก่ชิ้นสุดท้ายลงบนจานอย่างนุ่มนวล

 

 

ในจานเหลือโครงไก่ทั้งตัว จานข้างๆ เป็นก้างปลาทั้งตัว โครงกระดูกห่าน โครงกระดูกเป็ด ล้วนจัดวางอย่างประณีต ราวกับว่าตอนขึ้นโต๊ะก็มีสภาพเป็นโครงกระดูกอยู่แล้ว

 

 

ชิวเยี่ยไป๋กุมหน้าผาก “…”

 

 

นี่เป็นหลวงจีนหรือ เป็นคนจริงหรือ

 

 

ที่แท้นางเก็บเอาเปรตมาด้วยกระมัง

 

 

คนร่างผอมที่อยู่ข้างๆ ถอนหายใจอย่างทึ่งจัด ถึงกับลืมตัวตบโต๊ะชมว่า “ยอดเยี่ยม!”

 

 

ฝีมือเช่นนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน

 

 

คนทั้งโต๊ะพากันปรบมือให้รางวัลราวกับกำลังดูการแสดงปาหี่!

 

 

ไต้ซือเมิ่งอี๋ที่ผมยาวปรกหน้าประนมมือ แล้วกล่าวกับทุกคนที่ปรบมือให้ว่า “อมิตาภพุทธ!”

 

 

แล้วถามทุกคนอย่างยิ้มแย้ม “อาตมาจะสวดส่งไส้หมูทอดจานนี้ได้ไหม”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ไม่อยากดูต่อไป จึงบีบไหล่เขากระซิบว่า “หยุดได้แล้ว ตั้งแต่ข้าพบเจ้า เจ้าก็กินมาตลอดทาง กินไปกี่มื้อแล้วเนี่ย ไม่กลัวท้องแตกตายบ้างหรือ!”

 

 

นางลืมสั่งไปคำหนึ่งว่าเจ้าจงอย่าทำเรื่องงี่เง่าให้เป็นที่สะดุดตา และนึกดูแล้วความจริงค่ำนี้เขากินไปสามมื้อแล้ว ต่อให้กินเก่งแค่ไหนก็น่าจะอิ่มแล้ว กลับนึกไม่ถึงว่าไอ้หมอนี่เหมือนอสูรจอมตะกละ ไม่เช่นนั้นทำไมจึงกินได้เยอะแยะขนาดนี้

 

 

หยวนเจ๋อเงยหน้าขึ้น แววตาสีเงินทะลุผ่านผมที่ปรกหน้า ถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจว่า “อมิตาภพุทธ ประสกมิใช่พูดเองว่าติดตามเจ้าแล้วจะมีเนื้อกินหรอกหรือ”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋กลั้นใจไม่ให้ถลึงตา กัดฟันแค่นหัวร่อกระซิบว่า “อาเจ๋อ ถ้าเจ้าไม่รู้จักพอเช่นนี้ วันนี้ข้าจะให้เจ้ากินแต่น้ำทั้งสามมื้อ จะได้ทำความสะอาดท้องไส้ดีไหม”

 

 

หยวนเจ๋อมองดูอาหารกองพะเนินบนโต๊ะข้างๆ อย่างลังเล จากนั้นก็ผงกศีรษะอย่างจำใจ “อมิตาภพุทธ ถ้าเช่นนั้นไว้ค่อยส่งวิญญาณพวกมันทีหลังก็แล้วกัน”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เห็นเขารับปากแม้จะไม่ค่อยเต็มใจ จึงพยักหน้าอย่างพอใจแล้วกลับไปที่โต๊ะของตน

 

 

คนบนโต๊ะข้างๆ แม้ยังอยากดูการแสดงของไต้ซือเมิ่งอี๋ต่อ แต่ก็ยำเกรงต่อฐานะของชิวเยี่ยไป๋ ไต้ซือเมิ่งอี๋ดูแล้วน่าจะเป็นคนของอีกฝ่าย ดังนั้นแม้จะเสียดายที่ไม่ได้ชมต่อ แต่ก็ไม่ส่งอาหารบนโต๊ะของพวกเขาให้ไต้ซือเมิ่งอี๋อีก

 

 

แต่คนอย่างกู้ซานเหนียงเป็นสตรีที่ชอบพัวพันไปทั่ว เห็นบุรุษหล่อเหลาเป็นต้องแตะเนื้อต้องตัว ซ้ำร้ายบางทียังจับตัวกลับค่ายไปเสพสุขด้วย เมื่อครู่หยวนเจ๋อเอาแต่ก้มหน้าก้มตากิน จึงเห็นใบหน้าไม่ถนัด บัดนี้เห็นชัดเจนถึงเค้าหน้าอันหล่อเหลา แถมตอนนี้ยังมีแววกลัดกลุ้มด้วย พลันนึกอะไรบางอย่างในใจ

 

 

นางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กระแซะเข้าหาหยวนเจ๋อ อวดอกมหึมาต่อหน้าเขาก่อน แล้วหัวร่ออย่างยั่วยวน “ไต้ซือ ท่านออกบวชจริงหรือ”

 

 

คนโต๊ะเดียวกันเห็นท่าทางของกู้ซานเหนียงก็รู้อยู่แก่ใจ ต่างทำท่าเหมือนจะรอดูละครฉากสำคัญ

 

 

หยวนเจ๋อกินเนื้อ ย่อมถูกพวกเขาลงความเห็นว่าเป็นหลวงจีนทุศีลเป็นธรรมดา แต่ไม่รู้ว่าเจ้าชู้ด้วยหรือไม่

 

 

หยวนเจ๋อทำเหมือนไม่เห็นเนินอกขาวผ่องราวหิมะ ประนมมือต่อกู้ซานเหนียง “อมิตาภพุทธ อาตมาชื่อเมิ่งอี๋”

 

 

ในเมื่อเขารับปากประสกคนนี้ไว้แล้วจึงไม่มุสา

 

 

ภายหลังชิวเยี่ยไป๋จึงพบว่านอกจากเรื่อง ‘กิน’ แล้ว หยวนเจ๋อไม่มุสาในเรื่องอื่นเด็ดขาด เป็นหลวงจีนที่ซื่อสัตย์ และอีกหลายปีให้หลัง นางจึงพบว่าแม้เขาจะไม่มุสา แต่มักพูดอมพะนำครึ่งเดียว

 

 

ชิวเยี่ยไป๋มีโทสะ แต่หยวนเจ๋อคิดเข้าข้างตนเองว่าเป็นหลวงจีนซื่อสัตย์ที่มิได้ละเมิดต่อพุทธะและไม่ทำให้นางผิดหวัง!

 

 

“พรืด!” ไม่เฉพาะกู้ซานเหนียง คนบนโต๊ะพอได้ยินฉายาของเขาแล้วก็พากันหัวร่อ

 

 

กู้ซานเหนียงแววตาสับสน จ้องมองบางจุดที่อยู่ติดกับต้นขาแล้วเลียบเคียงว่า “ไต้ซือ ท่านฝันเปียกหรือ”

 

 

หยวนเจ๋อนึกดูจึงรู้ว่านางถามถึงฉายาของตนกระมัง

 

 

จึงพยักหน้าตอบว่า “ใช่ อาตมาเมิ่งอี๋”

 

 

ทุกคนบนโต๊ะพากันหัวร่อ

 

 

กู้ซานเหนียงตัวแข็ง แอบนึกในใจว่า หลวงจีนน้อยหล่อเหลาคนนี้…ช่างเป็นคนตรงเสียจริง

 

 

หรือว่าเพราะเหตุนี้ อาจารย์ของเขาจึงได้ตั้งฉายาที่มีความหมายลึกซึ้งให้

 

 

สตรีในยุทธจักรไม่ถือสาเรื่องหยุมหยิม อย่าว่าแต่กู้ซานเหนียงเจตนาจะยั่วยวนหลวงจีนหล่อเหลาคนนี้ หลังจากลังเลชั่วขณะก็วางแขนลงบนตักเขา หัวร่ออย่างยั่วยวนว่า “นั่นเป็นอาการป่วยชนิดหนึ่ง แต่รักษาได้ ไต้ซือจะให้ซานเหนียงช่วยรักษาให้ไหม”

 

 

หยวนเจ๋อแลดูท่อนแขนขาวผ่องที่วางบนตักตน ดวงตาสีเทาเงินที่สดใสจู่ๆ ม่านตาก็หดลง ประกายสีดำเหมือนหมึกจุดหนึ่งค่อยๆ แผ่ออกมาจากส่วนลึกของดวงตา

 

 

กู้ซานเหนียงกระแซะเข้าชิดกว่าเดิม รู้สึกแววตาของเขาพิกล กำลังจะดูให้ละเอียด กลับเห็นเขาจู่ๆ ก็ตัวแข็งเกร็ง จากนั้นพลันหลับตาลงแล้วปัดมือนางออกอย่างไม่เกรงใจ

 

 

กู้ซานเหนียงนึกไม่ถึงว่าหลวงจีนน้อยจะไม่รู้ดีชั่วถึงเพียงนี้ ช่างไม่ถนอมบุปผาเอาเสียเลยจึงงงงัน