ตอนที่ 170 ประสก เจ้าเหยียบอาหารของอาตมาแล้ว (3)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

ข้างๆ มีคนประชดทันทีว่า “กู้ซานเหนียง ไต้ซือไม่สนใจหน้าตาธรรมดาอย่างเจ้าหรอก ฮิๆ”

 

 

“ซานเหนียง ไต้ซือเป็นโรค แถมยังไม่เข้าใจเรื่องทางโลกคงเติมเต็มเจ้ามิได้ สู้ให้ข้าผู้เป็นหัวหน้าค่ายทะนุถนอมเจ้าดีกว่านะ ฮ่า!”

 

 

กู้ซานเหนียงหน้าเครียดทันที กวาดตามองรอบโต๊ะอย่างขุ่นใจ แล้วเขม้นใส่หยวนเจ๋อ “เจ้า…!”

 

 

ยามนี้หยวนเจ๋อลืมตาแล้ว แววตายังคงเป็นสีเทาเงินที่น่าหลงใหล ดวงตาก็มีจุดหนึ่งเป็นสีดำเช่นคนทั่วไป เพียงแต่ประกายตาหม่นมัวเล็กน้อย และจู่ๆ ก็โพล่งออกมาว่า “สีกา อาตมาจะสวดส่งนกพิราบทอดของเจ้าได้ไหม”

 

 

กู้ซานเหนียงงงงัน แล้วจึงพบว่าจานที่อยู่เบื้องหน้านางคือนกพิราบทอด แต่นางไม่ชอบของทอดจึงไม่ได้กิน

 

 

หยวนเจ๋อขยี้ตาคล้ายไม่ค่อยสบาย แล้วมองนางอีกครั้งประนมมือถามอย่างนุ่มนวล “สีกา?”

 

 

กู้ซานเหนียงเห็นท่าทางของเขาพลันยิ้ม ลูบหลังมือที่โดนปัดออกจนเป็นรอยแดงของตนด้วยท่าทางยั่วยวน กล่าวว่า “ได้สิ ไต้ซือ แต่ซานเหนียงมีข้อแม้”

 

 

ยามนี้ถ้าชิวเยี่ยไป๋สังเกต ก็จะพบว่าฉากนี้คุ้นเคยมาก เจ้าหลวงจีนน้อยที่ตนเก็บมาด้วยกำลังนั่งสงบเสงี่ยม ข้างๆ มีปีศาจแมงมุมตัวหนึ่งกำลังจับจ้อง ‘เนื้อพระถังซัมจั๋ง’ เขม็ง

 

 

แต่ยามนี้นางกลับไปที่โต๊ะของตนเองแล้ว และกำลังแต่งนิทานให้ทุกคนฟังว่าทำไมไต้ซือเมิ่งอี๋จึงตะกละตะกลามเช่นนี้

 

 

แม้หลินชงลั่งจะไม่รู้ว่าฝึกพลังอะไรถึงต้องกินมากขนาดนี้ แต่ท่าทางพิลึกของหยวนเจ๋อตรงกับความคิดดั้งเดิมของเขาที่ว่าพวกยอดฝีมือมักมีนิสัยประหลาด เขาย่อมไม่ขุดคุ้ยต่อ เพียงหัวร่อลั่นกล่าวว่า “คุณชายสี่ โปรดอย่ากังวล ค่ายของพวกเรายังเลี้ยงไหว!”

 

 

บรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ต่างรู้สึกประหลาดใจในตัวไต้ซือเมิ่งอี๋ และหัวร่อล้อเลียนกัน

 

 

ส่วนซูจิ่นยืนอยู่ข้างๆ พวกผู้ใหญ่พักหนึ่งแล้ว แววตาอัดอั้น สุดท้ายจึงแข็งใจก้าวเข้าหาชิวเยี่ยไป๋ ก้มหน้าลงอย่างนุ่มนวล ประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม “คุณชายสี่ เมื่อครู่ข้าน้อยเสียมารยาท ท่านเป็นคนใจกว้าง โปรดให้อภัยข้าน้อยเถิด ข้าน้อยขอดื่มสามจอกทำโทษตนเองที่ล่วงเกิน!”

 

 

พูดจบก็ไม่รอให้ชิวเยี่ยไป๋มีปฏิกิริยา ดื่มติดต่อกันสามจอกแล้วคว่ำจอกให้ดู

 

 

พวกผู้ใหญ่กำลังคุยกันอยู่ จู่ๆ ก็มีคนขัดคออย่างไร้มารยาท สีหน้าจึงไม่พอใจจ้องซูจิ่นเขม็ง

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เห็นแววดุร้ายของเขาเมื่อครู่แล้ว จึงหรี่ตามองดูเขาดื่มทีละจอกจนครบโดยไม่ห้ามปราม

 

 

หลังเขาดื่มจอกที่สามจนหมด นางเห็นเขาใบหน้าแดงก่ำ จึงนึกในใจว่าที่แท้ดื่มไม่ไหวจริง

 

 

นางจึงกล่าวด้วยใบหน้ากึ่งยิ้มว่า “รองหัวหน้าซู ข้าก็แค่แขกเหรื่อธรรมดา แต่เจ้าน่าจะคารวะทุกคนในโต๊ะนี้ก่อนไหม โดยเฉพาะหัวหน้าหลิน เพราะอีกสักครู่คนที่จะออกหน้ารับแทนคือพวกเขา”

 

 

ซูจิ่นงงงัน มองดูชิวเยี่ยไป๋อย่างเย็นชา “คุณชายสี่ ข้าน้อยคอไม่แข็ง…”

 

 

“คอไม่แข็งหรือว่าหลอกใช้คนอื่นเสร็จก็จะหนีหน้าไปกันแน่ หัวหน้าหลินกับพวกช่วยเจ้าเก็บกวาดก็มิใช่เรื่องที่ควรทำอยู่แล้วนะ!” ชิวเยี่ยไป๋พิงพนักเก้าอี้กอดอก แลดูเขาอย่างเฉยเมย

 

 

รู้สึกได้ถึงแววตาดูแคลนของพวกผู้ใหญ่ ยังเจือด้วยความดุดันและตำหนิ เขาสะดุ้งในใจ เขาเคยนึกว่าโจรร้ายพวกนี้เป็นพวกไม่มีสมองจึงได้ฉวยโอกาสใช้กฎเกณฑ์ของพวกเขาเป็นข้ออ้างและหลอกใช้

 

 

ชิวเยี่ยไป๋พูดไม่ผิด เขาก็แค่หลอกใช้พวกโง่เต็มประดานี้เท่านั้น แต่แล้วเกี่ยวอะไรกับชิวเยี่ยไป๋!

 

 

ซูจิ่นมองดูชิวเยี่ยไป๋อย่างมีโทสะ กัดฟันกล่าวว่า “คุณชายสี่ท่านอย่ารังแกกันเกินไป ค่ายฉงฉีของข้าอยู่ได้ถึงวันนี้ล้วนอาศัยคุณธรรมของหัวหน้าหลิน ยังมีหัวหน้าค่ายอีกหลายท่านในที่นี้ด้วย เดรัจฉานยังรู้จักสำนึกคุณเลย พวกเราจะลืมพระคุณของหัวหน้าหลินและบรรดาหัวหน้าค่ายทั้งหลายได้อย่างไร!”

 

 

หลินชงลั่งขมวดคิ้ว มองดูซูจิ่นและชิวเยี่ยไป๋อย่างไม่เข้าใจ สำนักหอซ่อนกระบี่ไม่เคยเข้าข้างใครง่ายๆ อยู่แล้ว และไม่เคยหาเรื่องใคร แม้ซูจิ่นจะมิใช่คนสำคัญแต่อย่างใด แต่คุณชายสี่วันนี้เป็นอะไรไป

 

 

ทว่าเขาย่อมไม่ยอมเข้าข้างซูจิ่น จึงกอดอกคอยดูต่อไป

 

 

ชิวเยี่ยไป๋แลดูหลินชงลั่งแล้วหัวร่อกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นก็เชิญรองหัวหน้าคารวะหัวหน้าหลินและหัวหน้าทุกค่ายคนละสามจอกก็แล้วกัน”

 

 

ซูจิ่นตัวแข็ง สีหน้าอึมครึมราวฝนจะตก เขาทดลองขอความช่วยเหลือจากหลินชงลั่งโดยหัวร่อกล่าวว่า “ท่านหัวหน้าหลินและท่านหัวหน้าค่ายทั้งหลาย ข้าน้อยดื่มไม่เป็นจริงๆ เกิดเมาขึ้นมาคงต้องแสดงความทุเรศ เกิดทำให้งานล่มก็เป็นโทษหนักแล้ว”

 

 

เหล่าเจิงชิงชังต่อการพูดจาอ้อมไปอ้อมมาของซูจิ่นอยู่แล้ว ถ้าซูจิ่นใช้จอกตบโต๊ะอย่างองอาจ เขาอาจชื่นชมความใจกล้าของซูจิ่นก็ได้ บัดนี้เขาจึงอยากให้ซูจิ่นเสียหน้า จึงตบโต๊ะถลึงตาใส่ซูจิ่นด่าว่า “บิดาเจ้าเถิด ข้าเห็นเจ้าพิรี้พิไรเหมือนสตรี เจ้าดูถูกว่าพวกข้าไม่เคยเรียนตำรับตำราหรือไร ให้เจ้าดื่มสุราจอกหนึ่งเหมือนทำมารดาเจ้าตาย เจ้าจะไม่ดื่มก็บอกตรงๆ เลยว่าไม่ดื่ม!”

 

 

คราวนี้เป็นเรื่อง ทุกสายตาจับจ้องมาที่จุดเดียว ทุกคนพากันชมดูความครึกครื้น

 

 

เหล่าเจอกูที่อยู่ด้านโน้นย่อมเห็นสภาพด้านนี้ คนของค่ายฉงฉีคิดจะข้ามมา เหล่าเจอกูยกมือห้ามไว้ ส่วนตนเองถือจอกสุราข้ามมาเอง

 

 

แต่เขาเพิ่งเดินได้ไม่ถึงสองก้าว ด้านโน้นก็มีหัวหน้าค่ายคนหนึ่งขว้างจอกเขาใส่ จอกใบนั้นแตกละเอียดที่แทบเท้าของเหล่าเจอกูในพริบตา ทั่วห้องจวี้อี้ถางเงียบกริบ บรรยากาศพลันหนักอึ้ง

 

 

ซูจิ่นยิ่งตัวแข็ง จอกกระเบื้องเคลือบในมือถึงกับถูกเขาบีบจนแตกละเอียด เขาเขม้นใส่ชิวเยี่ยไป๋

 

 

อย่างดุดัน แล้วกล่าวเสียงเบากับหลินชงลั่งที่ดูอยู่ข้างๆ อย่างเย็นชา “หัวหน้าหลิน ท่านดูข้าน้อย…”

 

 

“ทำไม ให้เจ้าดื่มเป็นเพื่อนพวกเราสักจอกยากนักหรือ หรือเจ้าคิดว่าพวกเรานี้ไม่มีคุณสมบัติชนแก้วกับเจ้า หืม” หลินชงลั่งสวนกลับอย่างเย็นชา

 

 

ซูจิ่นกับคนของค่ายฉงฉียิ่งไม่พอใจ

 

 

เห็นท่าทางไม่มีทางรอมชอมได้แล้ว ซูจิ่นจึงหัวร่อแห้งๆ ตัดใจมือหนึ่งยกป้านสุรา อีกมือถือจอก เริ่มคารวะสุราไปรอบโต๊ะ

 

 

เนื่องจากท่าทางพิรี้พิไรของเขาเมื่อครู่ ทำให้พวกผู้ใหญ่ได้ทีขี่แพะไล่ พากันดุด่าบังคับให้เขาดื่มมากกว่าเดิม

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ชายตาดูอย่างเย็นชา จนกระทั่งซูจิ่นดื่มหมดจอกสุดท้าย แข้งขาก็พันกันหน้าแดงปานโลหิต สติสตังไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว