บทที่ 84 ต่อรอง
ฉือไคฮวงพูดได้ถูกต้องอยู่เรื่องหนึ่ง เพราะแท้จริงแล้วซูเฉินต้องการลดปฏิสัมพันธ์กับอารามนิรันดร์
ความคิดนี้เริ่มขึ้นหลังจากได้พบเยว่หลงซา
การลอบสังหารเยว่อูตี้เปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงที่องค์กรไม่เผยให้ซูเฉินรับรู้ เรื่องนี้สั่นสะเทือนความเชื่อของเขาต่อองค์กรเป็นอย่างมาก
หากแต่เขารู้ดีว่าตนเองไม่อาจสะบั้นความสัมพันธ์สองฝ่ายลงได้ง่ายดายเช่นนั้น
อารามนิรันดร์ลงทุนกับเขามามาก หากเขาเป็นฝ่ายตัดความสัมพันธ์เช่นนั้นก็เท่ากับเชื้อเชิญหายนะเข้าหาตน
ถึงกระนั้น การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของหม่าเหรินเจ๋อและท่าทางวางอำนาจของอีกฝ่ายนั้นกลับเร่งให้ซูเฉินรู้สึกไม่พอใจมากยิ่งขึ้น เช่นนี้ซูเฉินจึงตัดสินใจได้
เขาไม่กลัว !
เพราะเหตุใดน่ะหรือ ? เพราะว่าซูเฉินค่อนข้างรู้จักอารามนิรันดร์ในหลายปีที่ผ่านมาดี หากแต่ส่วนมากเป็นอารามนิรันดร์ที่ยอมให้ซูเฉิน ไม่ใช่ว่าซูเฉินทำงานให้อารามนิรันดร์
สองอย่างนี้แตกต่างกันมาก
แน่นอนว่าการรับแรงสนับสนุนจากองค์กรก่อการร้ายเช่นนี้เขาย่อมมีความผิด หากแต่บทลงโทษก็ยังไม่ถึงตาย ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เสียมากกว่า
สถานการณ์เช่นไร ? นั่นขึ้นอยู่กับว่าเขาทำอะไรให้องค์กรบ้าง
แล้วซูเฉินทำสิ่งใดให้อารามนิรันดร์บ้าง ?
กล่าวโดยง่าย มีเพียงการเข้าไปเอาสมบัติออกมาจากเนินกลบวิญญาณเท่านั้น
เขาทำเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียว อีกทั้งดอกซากวิญญาณส่วนมากยังอยู่ในมือซูเฉิน
หรือก็คือเขาสามารถพลิกคำพูดได้ว่าตนเองทำงานให้อีกฝ่ายหรือไม่ ไม่แน่ว่าเขาอาจฉวยโอกาสหาประโยชน์ส่วนตน หลอกลวงองค์กร หากมองเช่นนี้ย่อมไม่นับเป็นอาชญากรรม แต่กลับส่งผลดีต่อทางการเสียด้วยซ้ำ
เมื่อเรื่องราวเป็นเช่นนี้ ซูเฉินจึงไม่กลัวว่าความสัมพันธ์ของตนกับองค์กรจะถูกเปิดเผยแม้แต่น้อย
ดังนั้นเขาจึงกล้าเปิดเผยตนอย่างโจ่งแจ้ง
เลวร้ายที่สุดก็คือความสัมพันธ์ของเขากับอารามนิรันดร์ถูกเปิดเผย แต่เพราะเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดล้ำลึกมากกับทางองค์กร อีกทั้งยังเป็นคนเปิดเผยเรื่องนี้เอง ดังนั้นบทลงโทษที่ตามมาคงไม่ร้ายแรง แต่หากอีกฝ่ายชิงเอาดอกซากวิญญาณทั้งหมดไป ซูเฉินคงได้เป็นศัตรูคู่อาฆาตกับอารามนิรันดร์
เหตุการณ์ไม่ดีไม่ร้ายคือหลังจากถูกตรวจสอบแล้ว ความสัมพันธ์ของเขากับอารามนิรันดร์ถูกเปิดเผย แต่จะไม่มีใครรู้เรื่องเนินกลบวิญญาณ ผลคือเขาอาจถูกตำหนิตักเตือน จากนี้ไปอารามนิรันดร์คิดจะพูดคุยกับเขาคงยาก ดังนั้นเขาอาจทำเมินต่อหนี้เรื่องโอสถปลุกวิญญาณได้
ดีที่สุดคือเมื่อตรวจสอบแล้วไม่พบสิ่งใด ทุกคนเชื่อคำเขา ดังนั้นจึงไร้ผลใดไม่ว่าดีหรือร้าย
หากแต่ซูเฉินไม่คิดว่าผลที่ออกมาจะดีกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้นัก
ไม่มีการตรวจสอบเสียด้วยซ้ำ
ไม่มีการสอบปากคำหรือคำถามใด ๆ ไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น มีเพียงคะแนนอุทิศพิเศษ 300 คะแนนที่ได้รับมาเนื่องจากค้นพบว่าเหอซือหงมีส่วนเกี่ยวข้องกับอารามนิรันดร์
ซูเฉินรู้ดี นี่เป็นเพราะได้ความช่วยเหลือจากฉือไคฮวง
อาจารย์ส่วนตัวของเขาท่าทางสบาย ๆ หากแต่เมื่อถึงยามวิกฤติกลับกระทำการรอบคอบนัก
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันที่เขาคิดจะตัดสัมพันธ์กับอารามนิรันดร์คงต้องเลื่อนออกไปอีก……
————————————————
แล้วยามราตรีก็มาถึง
ซูเฉินดึงยาออกมาขวดหนึ่ง จากนั้นเริ่มปลอมตัว
เขาปลอมเป็นศิษย์หน้าเหลืองคนหนึ่งแล้วออกจากห้องไป
ฉือไคฮวงกำลังนั่งครุ่นคิดอยู่ใต้ค่ายกลยันต์พลังต้นกำเนิดดังเคย ทั้งคู่หาวิธีทำที่สามารถทะลวงผ่านไปยังด่านกลั่นโลหิตโดยไร้สายเลือดได้แล้ว หากแต่ชายชราไม่เสียเวลาแม้แต่น้อย เริ่มค้นคว้าวิธีทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณโดยไร้สายเลือดในทันที
เมื่อเห็นซูเฉิน ฉือไคฮวงก็เอ่ยขึ้น “จะออกไปหาคนหรือ ?”
“ขอรับ” ซูเฉินตอบ
ฉือไคฮวงถอนหายใจ “รู้หรือไม่ว่าตนกำลังทำสิ่งใดอยู่ ?”
“อาจารย์ โปรดเชื่อมั่นในตัวข้า ศิษย์ไม่มีทางทำเรื่องทรยศต่อเผ่ามนุษย์ !”
ฉือไคฮวงพยักหน้า จากนั้นเงียบไป
ซูเฉินออกจากหอพลังต้นกำเนิด จากนั้นมุ่งหน้าไปยังประตูทางออกของสถาบัน
หลังออกจากสถาบันมังกรซ่อนเร้นมาแล้ว ซูเฉินก็เดินมายังตรอกแคบมืดสนิทแห่งหนึ่ง เดินเลี้ยวซ้ายขวาไปมาครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินเข้าประตูหนึ่งไป
เมื่อเขามายังเรือนแห่งหนึ่งก็เห็นซางเจินนั่งอยู่ภายใน
เมื่อเห็นว่าเป็นซูเฉินเดินทางมาเพียงลำพัง ซางเจินก็ถอนหายใจยาวออกมา “เคราะห์ดีที่เหตุการณ์ไม่บานปลายไปมากกว่านี้ สถาบันมังกรซ่อนเร้นไม่ได้ทำอะไรคุณชายใช่หรือไม่ ?”
“ครั้งนี้ไม่ แต่ต่อไปไม่แน่ หม่าเหรินเจ๋อของท่านรับมือไม่ง่ายเลย” ซูเฉินเอ่ยขึ้น เอนตัวพิงผนังมุมหนึ่ง
“คุณชายต่างหากที่รับมือไม่ง่าย ? หากไม่เห็นด้วยก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ” ซางเจินหัวเราะเสียงขื่น
“หากตอนนั้นข้าไม่ขัดขืน หม่าเหรินเจ๋อคงคิดว่าข้าจัดการได้ง่าย ข้าต้องแสดงให้เขาเห็นว่าตัวข้าสามารถทำสิ่งใดได้บ้าง ต่อไปจะได้รู้ว่าควรรับมือกับข้าอย่างไร”
“ถูกต้อง หากแต่เท่าที่ข้ารู้จักหม่าเหรินเจ๋อ เขาไม่กลัวเจ้าเป็นแน่ มีแต่จะชังน้ำหน้าเจ้ามากขึ้น”
ซูเฉินหัวเราะเสียงเย็น “เช่นนั้นก็น่าสนใจดีมิใช่หรือ ? ใจร้อนกันทั้งสองฝ่ายเช่นนี้ หากแต่ข้าไม่ใส่ใจมากหรอก หากเขาต้องการสู้ข้าก็จะสู้ด้วย อีกทั้งข้าเป็นฝ่ายติดค้างพวกท่าน ข้ายังมีสิ่งใดต้องกังวล ? อย่างมากหากตัดสัมพันธ์กันเขาก็สังหารข้า ส่วนโอสถปลุกวิญญาณก็หายไปพร้อมกับข้าก็เท่านั้น”
“จะทำเช่นนั้นไปเพื่ออะไรเล่า ? ไม่ว่าอย่างไรอารามนิรันดร์ก็ไม่เคยปฏิบัติไม่ดีกับคุณชาย โอสถปลุกวิญญาณเป็นสิ่งที่คุณชายสมควรมอบให้พวกเราตั้งแต่แรกแล้ว”
“พวกท่านต้องการโอสถปลุกวิญญาณหรือ ? ได้ บอกหม่าเหรินเจ๋อให้ไสหัวไปเสีย ข้าจะคุยกับท่านเท่านั้น”
ซางเจินส่ายหัว “ขออภัย แต่ข้าไม่มีอำนาจตัดสินใจ ข้าถูกย้ายไปที่อื่นแล้ว พรุ่งนี้จะกลับมณฑลสามเทือกเขาเพื่อไปจัดการเรื่องที่นั่น เยี่ยเม่ยและคนอื่น ๆ ก็จะตามข้าไปด้วย”
“เหตุใดต้องเป็นเช่นนี้ ?” ซูเฉินไม่อาจเข้าใจ
ซางเจินถอนใจ “คุณชายควรรู้ว่าองค์กรใหญ่ทุกที่ไม่ได้มีผู้กุมอำนาจเพียงหนึ่ง บางคราลมตะวันออกก็เหนือกว่าลมตะวันตก บางครั้งก็กลับกัน”
ซูเฉินเข้าใจที่เขาจะสื่อ “ที่ท่านจะสื่อคือครั้งนี้ ลมแห่งการบีบบังคับเอาชนะลมแห่งการรอมชอมใช่หรือไม่ ?”
ซางเจินพยักหน้าน้อย ๆ “คนบางคนก็เชื่อว่าองค์กรควรจะใช้ความแข็งแกร่ง การเดินหน้าอย่างไม่เกรงกลัวและการฆ่าสังหารในการทำงานดีกว่าใช้การรอมชอม”
“หรือก็คือไม่ว่าข้าจะทำอย่างไรก็ไม่อาจเปลี่ยนทิศทางลมได้ ?”
“หม่าเหรินเจ๋อฝากคำถึงคุณชายว่าแม้ครั้งนี้ท่านจะชนะ แต่เรื่องก็ไม่เปลี่ยน ตราบเท่าที่คุณชายยังมีลมหายใจและยังไม่ถูกพบ อย่างไรก็ต้องปรุงโอสถปลุกวิญญาณออกมา!”
“ไม่มีข้องดเว้นเลยหรือ ?”
“พวกข้าไม่มีทางเลือก อารามนิรันดร์กำลังต่อกรกับองค์กรหนึ่งอยู่ ตอนนี้ต้องการยาจำนวนมาก โอสถปลุกวิญญาณไม่เพียงเพิ่มพลังวิญญาณได้ แต่ยังสามารถต้านการโจมตีจิตได้ เป็นยาที่เราต้องการมาก เป็นเหตุผลที่หม่าเหรินเจ๋อจึงยอมทำทุกอย่างเพื่อเอายาจากคุณชายให้ได้”
ที่ตัดสินใจเช่นนี้เพราะมีเรื่องสำคัญอยู่หรอกหรือ ?
ซูเฉินคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ “ข้าปรุงโอสถปลุกวิญญาณให้ได้ แต่เยี่ยเม่ยต้องอยู่เป็นคนกลาง หากหม่าเหรินเจ๋อไม่อยากให้เหตุการณ์เลวร้ายลงกว่าเดิมก็ต้องยอมรับข้อตกลงนี้”
ซางเจินชะงักไปเล็กน้อย หากแต่ก็พยักหน้า “คุณชายสามารถปรุงออกมาได้เท่าไหร่ ?”
“ข้าจะปรุงออกมาให้ได้มากที่สุดจะได้ทันรับกับสถานการณ์เร่งด่วนของทางองค์กร อย่างน้อย 1 ร้อยขวด แต่พวกท่านก็ต้องช่วยเหลือข้า หากข้าปรุงยาตอนนี้ข้าเสียเปรียบมาก”
“ตกลง ข้าจะกลับไปแจ้งทางองค์กร”
ซูเฉินหมุนตัวแล้วเดินจากไป