บทที่ 85 จูเซียนเหยา
2 วันต่อมา
จูเฉินเดินทางมาพบซูเฉินอีกครั้ง
ครั้งนี้มาคนมาอีกหนึ่งคน
เป็นสตรีผู้หนึ่ง
พูดสั้น ๆ คือเป็นสตรีที่งามจนน่าตกตะลึง
“คุณชายซู 3 วันผ่านไปแล้ว คุณชายได้ลองเก็บข้อเสนอไปคิดบ้างหรือไม่ ?” จูเฉินถาม สายตามองซูเฉิน
ซูเฉินเหลือบมองแม่นางด้านข้างอีกฝ่ายแวบหนึ่งก่อนเอ่ย “หากข้าปฏิเสธ ท่านจะให้สตรีข้างกายท่านคุมจิตข้าแล้วถอดประกาศออกโดยบังคับหรือไม่ ?”
สีหน้าจูเฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขากำลังจะเผยความโกรธเมื่อแม่นางข้างกายเขาเปล่งเสียงหัวเราะเบาออกมา “คุณชายซูคงล้อเล่นเป็นแน่ ตอนนี้พวกเราอยู่ในสถาบันมังกรซ่อนเร้น จะมีใครกล้าทำเช่นนั้นได้ ? อีกทั้งตระกูลจูต้องการคงความสัมพันธ์เป็นมิตรกับทุกคน หากสามารถคุยกันได้ย่อมไม่ใช้กำลังแน่นอน”
ซูเฉินยิ้ม “เป็นเช่นนั้นนี่เอง ข้าวางใจขึ้นมาก หากเช่นนั้นแล้วพวกท่านก็กลับไปได้ เวลา 3 วันนั้นยังไม่มากพอให้ตัดสินใจ ข้าต้องขอเวลาคิดอีก 3 วัน”
“ซูเฉิน อย่าคิดหักหน้าข้า……” จูเฉินเอ่ยเสียงโกรธ
แม่นางผู้นั้นหยุดจูเฉินไว้ “คุณชายซู พวกข้าเดินทางไกลมาพบท่าน เหตุใดจึงปฏิเสธอย่างง่ายดายเช่นนี้ ? หากคิดว่าข้อเสนอของตระกูลจูไม่ดีมากพอย่อมต่อรองเพิ่มขึ้นได้ หรือไม่…… คุณชายไม่ลองดูคนที่เราเตรียมมาให้ก่อนดีหรือไม่ ?”
คนที่เตรียมมาให้ ?
ซูเฉินได้ยินแล้วชะงักไป
หญิงสาวหน้าตางดงามปรบมือทีหนึ่ง จากนั้นแม่นางอีกคนก็เผยกายออกมาจากในป่า
หญิงสาวดูมีอายุราว 16 สวมชุดกระโปรงยาวสีม่วง ใบหน้ามีผ้าคลุมหน้าสีขาว เรือนผมประดับประดาด้วยเครื่องประดับต่าง ๆ นางค่อย ๆ เดินเข้ามา แต่ละย่างก้าวแฝงความเย้ายวน นางเคลื่อนกายแต่ละคราคละคลุ้งไปด้วยเสน่ห์ยวนใจ
นางเดินมาหยดลงตรงหน้าซูเฉิน จากนั้นโค้งกายด้วยความเคารพนบน้อม น้ำเสียงใสกระจ่างสะท้านจิตดังแผ่วขึ้น “จูเซียนเหยาทำความเคารพคุณชายซู”
จากนั้นนางค่อย ๆ ปลดผ้าคลุมหน้าออก เผยให้เห็นความงามไร้ผู้ใดเทียม ใบหน้างามประณีต ผิวกายดั่งหยก นางจ้องลึกลงไปในดวงตาซูเฉินพร้อมรอยยิ้มบาง นัยน์ตานางมีแววกระเพื่อมเล็กน้อย ค่อย ๆ ลวงใจซูเฉิน
ซูเฉินจ้องมองนางด้วยความตะลึง คล้ายกับภายในจิตใจพลันว่างเปล่า
หญิงงามด้านข้างเห็นดังนั้นแล้วก็แลบลิ้นเลียริมฝีปาก จากนั้นเปล่งเสียงหัวเราะออกมา “ดูท่าคุณชายซูจะสนใจเซียนเหยาของเรา ในเมื่อเป็นเช่นนั้น คุณชายไม่ไปใช้เวลาร่วมกับนางเสียหน่อยหรือ ?”
จูเซียนเหยาค่อย ๆ เดินมาทางซูเฉิน มืองามจับมือซูเฉินไว้แล้วดึงเข้าไปในห้องที่อยู่ไม่ไกลนัก
ซูเฉินเดินตามนางเข้าห้องไป จูเซียนเหยาเดินนำเขาไปยังเตียง จากนั้นพยุงเขานอนลง นางเอนกายลงกระซิบที่ข้างหูเขา “คุณชายซูชื่นชอบข้าใช่หรือไม่ ? ถ้าเช่นนั้นเหตุใดไม่ตอบรับข้อเสนอของตระกูลจูเล่า หากคุณชายปลดประกาศนั่นลง ท่านกับข้าก็จะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป ท่านไปเสีย ไปยังแดนฝันแล้วปลดประกาศนั่นลง……”
จูเซียนเหยากระซิบเสียงแผ่วเบา พูดวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด
นางมองซูเฉินที่ค่อย ๆ ผล็อยหลับไป บนใบหน้าฉายแววยินดี
หากแต่พริบตาต่อมากลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้น “เป็นวิธีนี้เองหรือที่พวกเจ้าคิดใช้กับข้า ? สายตาข้ากว้างไกลขึ้นอีกขั้นแล้ว”
คือเสียงของซูเฉิน
“ท่านไม่ถูกวิชาหรือ ?” จูเซียนเหยาใจสั่น ฉับพลันรู้สึกว่ามีพลังจิตมหาศาลตีกลับมายังจิตใจนาง นางร้องเสียงดังออกมาคราหนึ่งแล้วหมดสติไป
ซูเฉินลุกขึ้นมา คว้าแขนจูเซียนเหยาไว้ไม่ให้หนี
จูเฉินและหญิงงามที่ยืนอยู่ด้านนอกได้ยินเสียงร้อง พุ่งเข้าห้องมาพร้อมกัน กลับพบว่าซูเฉินกำลังกำลำคอจูเซียนเหยาไว้ “หากไม่อยากให้นางตายก็ทำตัวดี ๆ เสีย”
“ซูเฉิน เจ้ากล้าดีนัก !” จูเฉินเดือดดาล
“ลงมือกับข้าขณะที่ยังอยู่ในรั้วสถาบันมังกรซ่อนเร้นงั้นหรือ ? ข้าไม่ได้มีความกล้ามากเช่นนั้น เป็นพวกเจ้าต่างหาก !” ซูเฉินคำรามต่ำ
อีกฝ่ายกล้าโจมตีเขาในรั้วสถาบันมังกรซ่อนเร้นเช่นนี้ทำให้เขาตกใจอยู่บ้าง
เช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าตระกูลจูนั้นมีอำนาจสูงส่งจนไม่ใส่ใจสถาบันมังกรซ่อนเร้น หากแต่การลงมือครั้งนี้ปิดบังได้ดีนัก ไม่ได้สร้างความแตกตื่นใหญ่หลวง การโจมตีวิญญาณนั้นตรวจจับยาก กระทั่งอาจารย์ผู้ดูแลของสถาบันยังไม่อาจจับสัมผัสได้
ที่น่าเหลือเชื่อไปกว่านั้น คนที่ลงมือกลับไม่ใช่หญิงงาม แต่เป็นหญิงสาวที่ดูอายุน้อยกว่าตัวเขาผู้นี้
อีกฝ่ายลงมือฉับพลันและเด็ดขาดยิ่ง
หากไม่ใช่เพราะเด็กหนุ่มเตรียมตัวมาก่อนก็คงตกหลุมพรางนี้ไปแล้ว
แต่ถึงกระนั้นซูเฉินก็ยังถูกลวงจิตไปครู่หนึ่ง
สายเลือดจักรพรรดิอสูรไม่ธรรมดาจริง ๆ หากเทียบกับสายเลือดจิ้งจอกร้อยเล่ห์แล้ว วิชาของจินหลิงเอ้อร์นั้นด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด
หญิงงามเอ่ยน้ำเสียงตกตะลึง “เป็นไปได้อย่างไร ? เหตุใดจึงฟื้นเร็วเช่นนี้ ?”
ซูเฉินเพิ่มแรงบีบรอบลำคองามของหญิงสาวแล้วคำราม “ดูท่าตระกูลจูไม่คิดต่อรองกับข้าตั้งแต่ต้น คิดจะสังหารข้าเสีย ใช่หรือไม่ ?”
“คุณชายซูเข้าใจผิดแล้ว” หญิงงามรีบกล่าว “ตระกูลจูต้องการสานไมตรีกับคุณชายซูจริง ๆ แต่พวกเราไร้ทางเลือกจึงต้องกระทำเรื่องน่าอับอายเช่นนี้ลงไป เป็นเพราะคุณชายเอาแต่ปฏิเสธ เราบอกให้เซียนเหยาลงมือก่อนเป็นเพราะต้องการให้คุณชายซูปลดประกาศวิชานั่นลงก่อนจะคุยเรื่องเข้าตระกูลให้เรียบร้อย น่าเสียดายที่คุณชายซูตื่นเร็วกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ ดังนั้นพวกเราจึงไม่มีโอกาสแสดงความจริงใจ”
น้ำเสียงนางเต็มไปด้วยความเสียใจสุดซึ้ง สีหน้าเองก็ดูมีน้ำใจงามไม่น้อย ซูเฉินได้แต่กล่าวว่า “หรือก็คือข้าผิดที่ตื่นขึ้นมาเร็วเกินควร ?”
“ไม่ใช่เช่นนั้น” หญิงงามมองซูเฉินหน้าตาเริ่มบูดบึ้ง
นางไม่เอ่ยถึงความปลอดภัยของจูเซียนเหยาแม้แต่น้อย เอาแต่กล่าวว่าพวกตนถูกเข้าใจผิด แท้จริงคิดจะแสดงความจริงใจ คำพูดนางระแวดระวังรอบคอบ ซูเฉินไม่อาจหาจุดตำหนิได้ เขาขมวดคิ้วครุ่นคิด
เมื่อเห็นสีหน้าเขา หญิงงามจึงถอนหายใจก่อนเอ่ย “ช่างเถอะ ไม่ว่าจะพูดอะไรคุณชายซูก็คงไม่เชื่อใจเราอีก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ให้พวกข้าได้ทำบางอย่างเพื่อแสดงความจริงใจกับคุณชายเถอะ”
“ทำบางอย่าง ?” ซูเฉินไม่เข้าใจคำนาง
“ถูกต้อง” หญิงงามกล่าว “คุณชายซูคิดว่าพวกเราคิดจะลวงคุณชายให้ถอนประกาศออกแล้วสังหารท่านมิใช่หรือ ? ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราจะเป็นฝ่ายแสดงความจริงใจก่อน”
นางพูดจบ นางกับจูเฉินก็ถอยออกจากห้องไป
แสดงความจริงใจก่อน ?
ซูเฉินยังครุ่นคิดกับคำของหญิงงามอยู่ เป็นตอนนั้นเองที่หญิงสาวนามจูเซียนเหยาถลาร่างเข้าใส่อกซูเฉินแล้วเงยหน้าจ้องตาเขา นัยน์ตานางใสกระจ่างดั่งลำธารนิ่ง “คุณชายซูเข้าใจเซียนเหยาผิดแล้ว เซียนเหยาเพียงอยากจัดการเรื่องให้จบ พวกเราจะได้แต่งงานกันเสียที ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า หากคุณชายซูไม่เชื่อคำข้า จะแต่งกันวันนี้เลยก็ยังได้ คุณชายไม่ต้องเป็นกังวล ร่างกายของเซียนเหยานั้นรักษาไว้เป็นอย่างดี……”
นางพูดแล้วเสื้อบนไหล่นางพลันเลื่อนหล่น เผยให้เห็นผิวลื่นมือภายใน
จูเซียนเหยายังคงอิงแอบชิดใกล้ เงยหน้าขึ้นหมายจะมอบจุมพิตให้ซูเฉิน
ซูเฉินตกใจนัก ผลักจูเซียนเหยาออกโดยสัญชาตญาณ
หากแต่เมื่อผลักนางออกไป ซูเฉินก็เพิ่งรู้ตัว เขาพยายามคว้าร่างนางไว้ หากแต่ร่างจูเซียนเหยากลับกระเด็นไปในพริบตา กระแทกเข้ากับบานประตูจนพังลงมา
บัดซบ ! สุดท้ายก็ถูกแม่นางน้อยนี่หลอกจนได้
“ฮ่า ๆ ขอบพระคุณชายซูที่ปฏิบัติกับข้าอย่างอ่อนโยนเช่นนี้ ในเมื่อท่านต้องการเวลาเพิ่มอีกสามวัน เช่นนั้นข้าก็ให้เวลาท่านอีกสามวัน อีกไม่นานข้าจะมาพบคุณชายใหม่ เซียนเหยาขอลา”
เมื่อซูเฉินรีบออกจากห้องไป สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงเสียงสะท้อนของประโยคก่อนหน้าดังก้องอยู่ทั่วบริเวณเท่านั้น
เมื่อเห็นว่ารอบกายไร้คน ไม่มีกระทั่งอาจารย์ผู้ควบคุม ซูเฉินก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้แล้วหัวเราะขื่นออกมา
เขาเงยหน้าแล้วตะโกนขึ้นฟ้า “อย่าลืมมาตอนกลางคืนเล่า ตอนกลางคืนเป็นเวลานอนที่ดีที่สุดแล้ว !”