[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร
บทที่ 391 : เทพธิดาชุดขาว!
ยอดฝีมือของตระกูลซันตอนนี้เหลืออยู่เพียงแค่สี่คน และแต่ละคนก็กำลังตกใจกลัวจนพูดอะไรไม่ออก..
หลิงหยุนได้เตือนและให้โอกาสกับทุกคนแล้ว ตราบใดที่พวกเขาส่งตัวคนของตระกูลเฉิงทั้งหมด และถังเทียนห่าวให้กับหลิงหยุน แล้วออกไปจากเมืองจิงฉู หลิงหยุนก็จะไว้ชีวิตพวกเขาทุกคน
อีกทั้งพวกเขายังมีกันมากมายถึงสามสิบคน ส่วนหลิงหยุนนั้นมีกันเพียงแค่สามคน แต่พวกเขากลับพ่ายให้หลิงหยุนอย่างย่อยยับจนไม่น่าเชื่อ และนั่นได้สร้างความอับอายขายหน้าให้กับพวกเขามากมาย
พวกเขาต่างก็คิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะแข่งแกร่ง และมีวิชาตัวเบาที่สามารถเคลื่อนไหวได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังเก่งกาจจนน่ากลัว!
หลิงหยุนให้โอกาสพวกเขาเลือกแล้วระหว่างความเป็นกับความตาย.. แต่โอกาสก็มีเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น!
แต่เมื่อทุกคนไม่ฟัง.. หลิงหยุนจึงจัดการมอบความตายให้กับยอดฝีมือหลายสิบคนภายในเวลาเพียงแค่ชั่วพริบตา และตอนนี้ก็มีศพมากมายนอนเกลื่อนกลาดอยู่เต็มพื้น เลือดก็ไหลเจิ่งนองไปทั่ว เวลานี้.. คฤหาสน์ตระกูลเฉิงได้กลายเป็นนรกไปในชั่วเวลาสั้นๆ!
“เจ้า.. เจ้ารู้ไม๊ว่าเจ้าฆ่าใครไปบ้าง?”
มือกระบี่ขั้นโฮ่วเทียน-9 คนหนึ่งร้องตะโกนถามออกมา ในขณะที่ใช้ปลายดาบยันพื้นเพื่อช่วยพยุงร่างที่กำลังสั่นเทาของตนเองไว้ ส่วนมืออีกข้างก็ชี้ไปทางศพที่นอนเกลื่อนกลาดอยู่รอบตัว
“รู้สิ.. ก็คนที่ขวางทางข้าไงล่ะ!” หลิงหยุนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
“เจ้าไม่กลัวที่จะต้องเป็นศัตรูกับคนทั้งโลกหรือยังไง?”
แต่หลิงหยุนก็แสยะยิ้มออกมา และแววตาของเขาก็เต็มไปดวยความเหยียดหยัน พร้อมกับพูดออกมาอย่างจองหอง
“ข้ากลัวแต่ว่าคนทั้งโลกจะไม่มีใครกล้าเป็นศัตรูกับข้ามากกว่าน่ะสิ?”
“นี่เจ้า..” ยอดฝีมือผู้นั้นถึงกับอึ้งและเงียบไปในที่สุด
ด้วยนิสัยที่เป็นคนตรงของหลิงหยุน เขาจึงพูดอีกว่า “เจ้าก็รู้นี่.. หากข้าไม่สังหารพวกเจ้า พวกเจ้าก็ต้องเป็นฝ่ายสังหารข้า! และบนโลกใบนี้.. ความจริงมักอยู่ข้างผู้ชนะและผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด เจ้าไม่จำเป็นต้องพล่ามอะไรไร้สาระ..!”
จากนั้น.. หลิงหยุนก็มอบรอยยิ้มที่เย็นยะเยือกให้ก่อนจะถามมือกระบี่ผู้นั้นว่า
“ฟังนะ.. ข้าจะให้เวลาเจ้าหนึ่งนาที บอกข้ามาว่าซันเทียนเปียว รวมทั้งคนของตระกูลเฉิง และถังเทียนห่าวตอนนี้อยู่ที่ใหน ไม่แน่.. ข้าอาจจะพิจารณาไว้ชีวิตเจ้าก็ได้..”
ด้วยความสามารถของหลิงหยุนในเวลานี้ เขาสามารมองเห็นและได้ยินในระยะรัศมีที่ค่อนข้างไกล อีกทั้งเขาเองก็เคยบุกมาที่คฤหาสน์ตระกูลเฉิงครั้งหนึ่งแล้ว เขาจึงสัมผัสได้ว่าที่นี่นั้น นอกเหนือจากยอดฝีมือของตระกูลซันแล้ว ก็ไม่มีคนอื่นอยู่อีกเลย จุดประสงค์ที่หลิงหยุนมาที่นี่ ก็เพื่อต้องการช่วยคนกลับไป แต่ดูเหมือนเขาจะรีบร้อนจนเกินไป!
ทันทีที่ได้ยินคำถามของหลิงหยุน มือกระบี่ขั้นโฮ่วเทียน-9 ผู้นี้ ก็ไม่ลังเลที่จะตอบเลยแม้แต่น้อย
“คนของตระกูลเฉิงทั้งหมดถูกนำตัวไปไว้ที่บ้านของตระกูลเฉิงอีกหลัง ซันเทียนเปียวได้ให้ยอดฝีมือธรรมดาคอยเฝ้าไว้ ส่วนถังเทียนห่าวที่เจ้าพูดถึงนั้น ก็น่าจะถูกนำตัวไปที่นั่นด้วยเหมือนกัน..”
เขาครุ่นคิดอยู่อีกครู่หนึ่งจึงรีบพูดต่อว่า “แต่เจ้าสบายใจได้ เพราะคนของตระกูลเฉิงล้วนไม่มีใครรู้ว่าหนิวเฟิ่นเหยียวและซันจิ้งอยู่ที่ใหน ซันเทียนเปียวไม่ได้ทำร้ายพวกเขา เพียงแค่ควบคุมตัวไว้ชั่วคราวเท่านั้น”
หลิงหยุนพยักหน้าและถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “แล้วตัวซันเทียนเปียวล่ะ.. มันอยู่ที่ใหน?”
ยอดฝีมือผู้นั้นรีบตอบไปตามความจริง “ซันเทียนเปียว เป็นคนไปจับตัวถังเทียนห่าวด้วยตัวเอง และตอนนี้ก็น่าจะนำตัวไปไว้ที่บ้านหลังเดียวกันนั่นแล้ว!”
“หลิงหยุน.. รอบๆบ้านไม่มียอดฝีมือเหลืออยู่เลยแม้แต่คนเดียว..”
ตู้กู่โม่ทำการสำรวจบริเวณรอบคฤหาสน์ของตระกูลเฉิงจนทั่วแล้ว จึงรีบกลับมาแจ้งให้หลิงหยุนรู้
หลิงหยุนพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นจึงรีบถามยอดฝีมือคนอื่นๆว่า “พวกเจ้าทั้งสี่คน มีใครเคยไปที่บ้านหลังนั้นบ้าง?”
ยอดฝีมือทั้งสี่คนต่างก็มองหน้ากัน แล้วยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-8 ก็ตอบกลับมาว่า “ข้าเคยไปที่นั่น..”
หลิงหยุนคิดในใจว่า.. ‘ก็ดี.. ช่วยข้าได้มาก!’
หลิงหยุนยกมือขึ้นชี้ไปทางยอดฝีมืออีกสามคน พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ
“พวกเจ้าสามคน.. อยากมีชีวิตอยู่ หรือว่าอยากตาย!”
“ข้ายังไม่อยากตาย!”
ยอดฝีมือทั้งสามคนต่างก็ตื่นตระหนกตกใจสุดขีด ทุกคนต่างก็หวาดกลัวจนฟันกระทบกัน และไม่มีใครต้องการที่จะกลายเป็นศพนอนขึ้นอืดอยู่ที่พื้นอีก
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับสั่งว่า “ถ้าพวกเจ้าอยากมีชีวิตอยู่ ก็จัดการทำลายวรยุทธของตัวเองซะ จากนั้นก็รีบไสหัวออกไปจากเมืองจิงฉู!”
ยอดฝีมือทั้งสี่คนต่างก็อยู่กันคนละสำนัก และยอดฝีมือที่หลิงหยุนเพิ่งจะลงมือสังหารไปหลายสิบคนนั้น ก็คงเป็นคนในสำนักเดียวกับพวกเขาบ้าง หลิงหยุนจึงไม่ต้องการส่งพวกเขาไปนอนกองรวมกันอีก
“ห๊ะ.. อะไรนะ?!”
ยอดฝีมือทั้งสามคนต่างก็หันไปมองหน้ากัน และต่างก็เห็นแววตาที่สิ้นหวังและไม่เต็มใจของกันและกัน..
พวกเขาฝึกวรยุทธมาจนถึงเข้าโฮ่วเทียน-9 แล้ว และในอนาคตพวกเขาก็มีโอกาสที่จะก้าวเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้ แต่หลิงหยุนกลับต้องการให้พวกเขาทำลายวรยุทธของตัวเอง ซึ่งก็ไม่แตกต่างจากการบังคับให้พวกเขาฆ่าตัวตาย
“หนี!”
ยอดฝีมือทั้งสามคนต่างก็ใช้วิชาตัวเบากระโดดหนีอย่างไม่คิดชีวิต และแยกออกเป็นสามทาง!
“ฆ่าพวกมัน!”
หลิงหยุนที่เตรียมพร้อมอยู่แล้ว ได้ใช้มังกรพรางร่างพุ่งเข้าหามือกระบี่ระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-9 ในขณะที่เหล่ากุ่ยและตู้กู่โม่ก็แยกกันไล่ตามยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-9 อีกสองคนไป
มือกระบี่ระดับสูงสุดขั้นโฮ่วเทียน-9 นั้น รู้ถึงพลังความร้ายกาจของกระบี่โลหิตแดนใต้ดีว่า หากเทียบกันแล้ว กระบี่ในมือของเขาก็ไม่ต่างจากไม้จิ้มฟันดีๆนี่เอง แต่ในเมื่อเขาเองก็ไม่มีหนทางอื่น จึงได้แต่ใช้มันป้องกันการโจมตีจากหลิงหยุน และหวังว่ามันจะช่วยอะไรเขาได้บ้าง..
“หมอนี่กระจอกมาก!”
เมื่อหลิงหยุนเห็นว่ามือกระบี่ผู้นั้นกำลังจะวิ่งหลบไปทางขวา ก็รีบใช้มังกรพรางร่างเข้าไปดักหน้าไว้ และจัดการสังหารภายในสามดาบ!
ดาบแรกนั้นหลิงหยุนฟันกระบี่ยาวในมือของเขาทิ้งไป ดาบที่สองหลิงหยุนเพียงแค่ยื่นกระบี่ออกไปขวางหน้าไว้ และดาบที่สามกระบี่ของหลิงหยุนก็ฟันเข้าที่ร่างของยอดฝีมือผู้นั้น!
อ๊าก! ทันทีที่ร่างของมือกระบี่ขั้นโฮ่วเทียน-9 ขาดเป็นสองท่อน เลือดก็พุ่งกระฉูดออกจากร่างของเขาทันที
หลิงหยุนไม่ปล่อยให้ยอดฝีมือที่เหลืออีกสองคนหนีไปได้ เขาใช้มังกรพรางร่างตามเข้าไปสังหารคนทั้งคู่ ก่อนจะมาหยุดอยู่หน้ายอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-8
“เจ้าชื่ออะไร? ทำไมเจ้าจึงไม่หนี?” หลิงหยุนถามเสียงเบา
“หนีงั้นเหรอ? ขนาดยอดฝีมือโฮ่วเทียน-9 ยังหนีท่านไม่พ้น แล้วข้าจะหนีพ้นได้ยังไง?”
ยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-8 ตอบอย่างหมดท่าพร้อมกับยิ้มให้หลิงหยุน และแนะนำตัวเอง “ข้าชื่อปี่หยวนเจีย”
ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ หลิงหยุนได้ฟันกระบี่ของปี่หยวนเจียหักไปแล้ว และได้ซัดตะปูใส่เขาด้วย แต่เขาก็สามารถหลบได้
แต่ก็นับว่าโชคดีที่ปี่หยวนเจียตระหนักถึงวิชาตัวเบาที่ว่องไวของหลิงหยุน และเลือกที่จะไม่หนี..
หลิงหยุนหัวเราะอย่างพอใจพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ความจริงวิชาตัวเบาของเจ้าก็ไม่เลวเลยนี่! เอาล่ะตอนนี้พาข้าไปหาซันเทียนเปียวได้แล้ว!”
ปี่หยวนเจียมองหลิงหยุนพร้อมกับเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า “บ้านของซันเทียนเปียวมียอดฝีมือขั้นเซียงเทียนอยู่ถึงสามคนเชียวนะ ท่านแน่ใจนะว่าจะไปที่นั่นจริงๆ?”
“ไม่ต้องถามมาก.. พาข้าไปที่นั่นก็พอ!”
ปี่หยวนเจียเหลือบมองร่างที่ไร้วิญญาณ ก่อนจะสงบปากสงบคำ และมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
………….
ทั้งสี่คนมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ และนั่นเป็นเส้นทางที่ตรงไปยังหมู่บ้านอ่าวจิงฉู แสดงว่าบ้านอีกหลังของเฉิงเทียนก็ต้องอยู่ที่นั่น
ปี่หยวนเจียนั้นแม้จะยังอยู่เพียงระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-8 แต่วิชาตัวเบาของเขานั้นก็ไม่ได้ด้อยกว่ายอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-9 เลยแม้แต่น้อย
หลิงหยุนใช้เท้าทองคำหมื่นลี้ เดินตามปี่หยวนเจียไปอย่างสบายๆ เขาเอามือไขว้หลังเดินตามไปเรื่อยๆ ท่าทางการเดินของหลิงหยุนนั้นดูสบายๆ ราวกับกำลังเดินเล่นอยู่ในห้องรับแขก แต่ก็รวดเร็วจนทิ้งระยะห่างจากเหล่ากุ่ย และตู้กู่โม่ถึงยี่สิบเมตร
ระหว่างทางนั้นปี่หยวนเจียก็อดรนทนไม่ได้ และบรรยากาศก็ไม่ได้กดดันเหมือนตอนอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลเฉิง ความรู้สึกกลัวตายก็จางหายไปแล้ว เขาจึงเริ่มถามคำถามที่คาใจ และคิดว่าอยากจะรู้ก่อนตาย
“ท่านไม่ได้สวมเสื้อเกราะไหมทองคำใช่ไม๊..?!”
หลิงหยุนตอบยิ้มๆ “ไม่!”
“แต่ข้าเห็นร่างกายของท่าน แม้จะโดนดาบ โดนหมัด หรือว่าโดนอาวุธต่างๆ กลับไม่เป็นอะไรเลย ไม่บาดเจ็บแม้แต่น้อยด้วยซ้ำ..”
“แล้วตอนนั้นกระบี่ยาวของท่านออกมาจากมือได้ยังไง? แล้วตอนนี้กระบี่ของท่านทั้งสองเล่มอยู่ที่ใหน?”
“ความลับ..”
“ท่านเป็นใครกันแน่? ท่านมีกระบี่โลหิตแดนใต้ นี่ท่านเป็นคนของนิกายมารใช่ไม๊?”
“ข้าว่าเจ้าคงอยากจะตายมาก..”
“…..”
ทันทีที่ได้ยินประโยคนั้นจากปากหลิงหยุน ปี่หยวนเจียก็เร่งความเร็วทันที เพราะเกรงว่าหลิงหยุนจะจัดการเอาชีวิตของเขา
…………..
ในบริเวณหมู่บ้านอ่าวจิงฉูที่มีกลิ่นอายทะเลจางๆ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากชายหาดมากนัก จึงสามารถได้ยินเสียงคลื่นที่ซัดเข้าฝั่งเบาๆราวกับเสียงกระซิบของคนรักได้อย่างชัดเจน
หากเทียบกับบ้านหลังอื่นๆที่อยู่ในหมู่บ้าน บ้านเลขที่-9 เป็นเพียงหลังเดียวที่ปิดเงียบและมืดสนิท เพราะหลังจากที่ถูกทางการยึดและสั่งปิดมาสี่วัน ก็ไม่มีใครเข้ามาที่นี่อีกเลย
แต่ตอนนี้กลับมีหญิงสาวสวมชุดกระโปรงสีขาวที่มือข้างขวาถือระบี่ ร่างบอบบาง และเท้าที่เบากำลังกระโดดไปตามกิ่งไม้ที่เปราะบาง ท่าทางของหญิงสาวนั้นดูราวกับเทพธิดาที่กำลังเหาะอยู่บนฟ้า
นอกจากจะสามารถกระโดดได้เร็วอย่างน่าอัศจรรย์แล้ว ยังกระโดดได้ไกลอีกด้วย รูปร่างสวยงามที่เคลื่อนไหวราวกับเหาะได้นั้น กำลังมุ่งหน้าไปทางบ้านเลขที่-9
คิ้วของหญิงสาวโค้งอย่างสวยงาม ผิวขาวราวหิมะ แก้มนวลเนียนราวกับชิ้นหยก และริมฝีปากเผยอออกเป็นรอยยิ้มบางๆ ระหว่างที่กำลังยืนอยู่บนยอดไม้ กระโปรงยาวก็ปลิวไสว ทำให้ดูคล้ายกับเทพธิดาที่ศักดิ์สิทธิ์จนไม่กล้าจ้องมองเพราะเกรงจะเป็นบาป
“ดีนะที่พี่ใหญ่ได้บอกไว้ก่อนว่าเจ้าเด็กวายร้ายนั่นได้วางค่ายกลไว้ จึงไม่สามารถเข้าทางประตูปกติได้..”
ร่างสีขาวราวเทพธิดายืนพึมพำอยู่บนกิ่งไม้ และเมื่อลบพัดกระทบเข้ากระโปรงสีขาวก็ปลิวไสว ดวงตาคู่สวยของเธอกวาดมองเข้าไปในบ้านเลขที่-9 แล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้ว
เสียงหวานและนุ่มนวลนั้นช่างคล้ายกับเสียงของธรรมชาติที่น่าฟัง และเป็นเสียงที่ฟังแล้วก็ยากที่จะลืมเลือน
“บ้านถูกยึดด้วย ดูเหมือนเด็กคนนี้กำลังเจอปัญหาสินะ..”
ร่างขาวราวเทพธิดานั้นได้แต่ยิ้มกว้าง เมื่อสังเกตไปเห็นป้ายคำสั่งยึดบ้านที่ปิดไว้ ก่อนจะกระโดดไปตามกิ่งไม้ และลมที่พัดมาก็ทำให้ชุดขาวสะบัดไปมาอยู่กลางอากาศราวกับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังลอยละล่องลงสู่พื้นดินอย่างช้าๆ