[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร

บทที่ 392 : สมาชิกตระกูลเฉิง!

ทางด้านเหนือสุดของมณฑลเจียงหนาน ภายในหมู่บ้านที่หรูหราแห่งหนึ่งในอ่าวจิงฉู บ้านหลังใหญ่โตที่สุดสีขาวคือบ้านของท่านประธานแห่งบริษัท เฉิง เมดิคัลกรุ๊ป – เฉิงเทียน

ภายในบ้านเลขที่-1 ของเฉิงเทียนหลังนี้ มีสนามม้าส่วนตัวอยู่ภายในด้วย จึงแทบไม่ต้องจินตนาการว่ามันจะใหญ่โตมากเพียงใด

บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ท้ายสุดทางด้านตะวันตกของหมู่บ้าน และสร้างอยู่บนเนินหันหน้าไปทางทิศใต้ ผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านจะสามารถมองเห็นทุ่งหญ้ากว้างสุดลูกหูลูกตาที่อยู่ทางด้านทิศตะวันออกได้อย่างชัดเจน เป็นภาพที่ใครเห็นก็ต้องมีความสุข

และบ้านหลังนี้ก็อยู่ห่างจากบ้านเลขที่-9 ของหลิงหยุนไปเพียงเก้ากิโลเมตร

พื้นที่ทั้งหมดของบ้านหลังนี้รวมแล้วเกือบสองหมื่นตารางเมตร ภายในมีบ้านหรูหราอยู่สองหลัง หลังใหญ่หนึ่งหลัง และหลังที่เล็กลงมาอีกหนึ่งหลัง ทั้งสองหลังอยู่ห่างกันราวสามสิบเมตร

ตอนนี้รอบๆบ้านมีคนของตระกูลซันคอยเฝ้าดูแลอยู่เต็มไปหมด เพราะสมาชิกของตระกูลเฉิงได้ถูกตระกูลซันควบคุมตัวไว้

แม้ตอนนี้จะเป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว แต่บ้านทั้งสองหลังกลับยังคงสว่างไสว ที่สนามหญ้าด้านนอกมียอดฝีมือหนุ่มฝีมือธรรมดาสี่คนคอยเฝ้าอยู่ พวกเขาต่างก็เดินตรวจตราไปมาอยู่ตลอดเวลา และสลับกันเดินเข้าไปดูในบ้านเป็นครั้งคราว

ภายในห้องรับแขก ทีวีจอยักษ์กำลังฉายรายการที่ดูน่าเบื่ออยู่..

เฉิงเทียนพร้อมด้วยสมาชิกอีกสองคน ต่างก็นั่งอยู่บนโซฟาหรูภายในห้องนั่งเล่น แม้ทั้งสามคนจะกำลังนั่งดูทีวี แต่สีหน้าของพวกเขากลับแตกต่างกันไป

ใบหน้าของเฉิงเทียนนั้นซีดขาว เต็มไปด้วยร่องรอยของความเครียดและเศร้าโศก อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความตื่นเต้นกังวล

ทางด้านจ้าวฝัวหมี่ซึ่งเป็นแม่ของเฉิงเม่ยเฟิงนั้น สีหน้าและแววตาล้วนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว มีอาการตระหนกตกใจและกังวลเป็นครั้งคราวจากความเป็นห่วงเป็นใยลูกสาวคนโตของเธอ

ส่วนเฉิงเมี่ยนที่อยู่ในชุดนอนกระโปรงเนื้อดี และกำลังนั่งเป็นเพื่อนพ่อแม่อยู่บนโซฟาพร้อมกับถือรีโมตทีวีไว้ในมือนั้น สีหน้าแววตาของเธอเต็มไปด้วยความหงุดหงิด อิจฉาริษยา และแสดงอาการเหยียดหยันออกมาอยู่ตลอดเวลา พร้อมกับบ่นพึมพำเบาๆอยู่เป็นครั้งคราว

และในที่สุดเธอก็ไม่สามารถทนได้ และระเบิดออกมาใส่พ่อของเธอในที่สุด!

“ทำไมคะพ่อ? ทำไมต้องเป็นพี่ใหญ่อีกแล้ว? ทำไมพี่ใหญ่ต้องสวยกว่าหนู สูงกว่าหนู เรียนเก่งกว่าหนู และเหนือกว่าหนูทุกอย่าง ทำไมทุกคนไม่เลือกหนู? ทำไมทุกคนเลือกแต่พี่ใหญ่?!”

เฉิงเมียนคร่ำครวญเบาๆในตอนแรก แต่ยิ่งนานน้ำเสียงก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ และท่าทางก็เต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง

“พูดเสียงเบาๆหน่อย.. อย่าให้คนข้างนอกได้ยิน!”

เฉิงเทียนรีบสะกิดต้นขาของเฉิงเมี่ยน และเตือนเธอให้หรี่เสียงเบาลงพร้อมกับหันหน้าออกไปมองทางประตูห้องนั่งเล่น

เฉิงเมี่ยนหันหน้าไปมองทางประตูเช่นกัน พร้อมกับพูดเสียงเย้ยหยัน “จะไปกลัวอะไรนักหนา! ใหนแม่ชีมี่ยื่อที่อยู่สำนักจิ้งซินบอกเองไม่ใช่เหรอคะว่าจะช่วยพวกเรา..”

“เมี่ยน.. สถานการณ์แบบนี้ อย่างสร้างปัญหาให้กับครอบครัวมากไปกว่านี้เลย อย่าทำให้ตระกูลซันต้องขุ่นเคืองไปมากกว่านี้” จ้าวฝัวหมี่มองหน้าสามีที่กำลังนั่งขบฟันแน่น พร้อมกับกระซิบบอกลูกสาวคนเล็ก

จ้าวฝัวหมี่นึกถึงเฉิงเม่ยเฟิงลูกสาวคนโตของเธอ ที่ถูกพาตัวไป และตอนนี้เธอเองก็มีรู้ว่าเฉิงเม่ยเฟิงอยู่ที่ใหน จึงได้แต่ถอนหายใจออกมา

“หนูก็แค่บอกว่าพี่ใหญ่เกิดมามีพรสวรรค์ดีทุกด้าน ส่วนหนูไม่มีอะไรดีเลยหรือยังไง?! หรือว่าแม่ชีนั่นตาบอดมองไม่เห็น?!”

ยิ่งพูดเฉิงเมี่ยนก็ยิ่งโกรธมากขึ้น แต่เธอก็กลัวว่าคนของตระกูลซันที่เฝ้าอยู่ด้านนอกจะได้ยิน จึงได้แต่ลดเสียงให้เบาลง

เฉิงเทียนยิ่งกังวลและเครียดหนักมากขึ้นไปอีก “แม่ชีมี่ยื่อก็บอกอยู่แล้ว่า ร่างกายของพี่สาวแกได้ถูกชำระล้างราวกับเกิดใหม่แล้ว.. แล้วก็เหมาะกับการฝึกในสำนักจิ้งซินมากกว่า เธอก็เลยพาพี่สาวของแกกลับไปที่นั่น”

อาทิตย์นี้เฉิงเมี่ยนไม่ได้ไปโรงเรียนทั้งอาทิตย์ ความจริงเธอเองก็เห็นด้วยกับพ่อของเธอทุกอย่างแต่ใจไม่อาจยอมรับ เธอจึงพูดขัดขึ้นมาด้วยเสียงเย็นชาว่า

“ชำระล้างอะไรกัน? แล้วเกิดใหม่คืออะไร? นี่ไม่ใช่หนังแฟนตาซีนะคะพ่อ? หนูว่าสำนักจิ้งซิงคงจะขาดคนต่างหาก คงจะเห็นว่าพี่ใหญ่สวยก็เลยพากลับไปด้วย!”

“เรื่องทุกอย่างเป็นเพราะพี่ใหญ่คนเดียว! แต่สุดท้ายพี่ใหญ่ก็เป็นคนที่ได้ประโยชน์มากที่สุด ตรงข้าม.. หนูกลับต้องขาดเรียนเป็นอาทิตย์ นี่มันเรื่องอะไรกัน?!”

จ้าวฝัวหมี่ลูบไล้แขนของเฉิงเมี่ยนพร้อมกับขมวดคิ้ว “เมี่ยน.. ลูกอย่าพูดถึงพี่ใหญ่แบบนั้น? ลูกไม่เห็นตอนที่สาวของลูกกลืนยานั่นเหรอ มันดูเจ็บปวดอย่างมาก ถ้าเป็นไปได้ แม่ก็อยากพาพี่สาวของลูกกลับบ้าน..”

เฉิงเทียนเองก็ได้แต่พึมพำด้วยความกระวนกระวายใจ “ใช่แล้วเมี่ยน.. พ่อจะบอกอะไรให้ แกไม่ต้องไปอิจฉาพี่สาวของแกมากนักหรอก! ฟังจากชื่อสำนัก – จิ้งซิง.. แกก็น่าจะพอเดาออกว่าเป็นสถานที่อะไร? สถานที่ที่ผู้คนไปชำระล้างจิตใจ ไปถือศีล สถานที่แบบนี้แกอยู่ได้เหรอ? แกหยุดดูทีวี หยุดฟังเพลงสักสองสามวันได้ไม๊ล่ะ? แล้วก็ห้ามกินเนื้อสัตว์.. แกทำได้ไม๊? แล้วก็ยังห้ามเจอเสียเจิ้นเหยินอีก.. แกทนได้ไม๊ล่ะ?”

“หนู..”

เมื่อได้ยินว่าไม่ให้ดูทีวี ไม่ให้ฟังเพลง ไม่ให้กินเนื้อสัตว์ เฉิงเมี่ยนก็ถึงกับอึ้งและไม่สามารถโต้แย้งได้ แต่เมื่อได้ยินชื่อของเสียเจิ้นเหยิน.. เธอก็ร้อนรุ่มใจราวกับถูกไฟเผา!

เฉิงเมี่ยนปารีโมตทีวีในมือลงบนโต๊ะพร้อมกับกัดฟันกรอด

“ต่อไปอย่าพูดชื่อเสียเจิ้นหยินให้หนูได้ยินอีก หนูไม่โทรไป ไม่ไปโรงเรียน เขาก็ไม่เคยคิดที่จะมาหาหนู ยังจะนับญาติอะไรกันอีก!”

“อีกอย่าง.. ตอนนี้ที่โรงเรียนก็มีคนที่เก่งกว่าเสียเจิ้นเหยินหลายเท่าแล้ว เขาเทียบหลิงหยุนไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บ!”

ทันทีที่ได้ยินชื่อ ‘หลิงหยุน’ สีหน้าของเฉิงเทียนก็เปลี่ยนไปทันที เขารีบกระโจนลุกขึ้นจากโซฟา และเอามือปิดปากเฉิงเมี่ยนไว้!

ในคืนวันศุกร์ หลังจากที่หลิงหยุนได้พลังอมตะจากพู่กันจักพรรดิ กำลังภายในของเขาก็เข้าสู่ขั้นพลังชี่-9 และหลังจากที่จัดการทุกอย่างภายในบ้านตระกูลเฉิงจนเรียบร้อยแล้ว เขาก็ใช้มังกรคำรามสะกดจิตทุกคน และทำการลบล้างความทรงจำในคืนนั้นของทุกคนจนหมด

รวมทั้งสมาชิกทั้งสามคนของตระกูลเฉิงด้วยเช่นกัน และตอนนี้ทั้งสามคนก็ไม่สามารถจดจำเหตุการณ์ในคืนนั้นได้!

หลังจากที่ทุกคนออกจากคฤหาสน์ตระกูลเฉิงไปแล้ว สมาชิกทั้งสามคนของตระกูลเฉิงก็ฟื้นขึ้นมา และเฉิงเทียนก็พบว่ายอดฝีมือของตระกูลซันที่นางหนิวเฟิ่นเหยียวพามานั้นได้หายไปหมดแล้ว รวมทั้งตัวของนางหนิวเฟิ่นเหยียว และซันจิ้งก็หายไปด้วยเช่นกัน

จู่ๆก็หายไปในอากาศ!

สมาชิกทั้งสามของตระกูลเฉิง – เฉิงเทียน นางจางฝัวหมี่ และเฉิงเมี่ยน ต่างก็ค่อนข้างแปลกใจ พวกเขาได้ช่วยกันค้นหาจนทั่ว แต่ก็ไม่พบใครเลยสักคน ทั้งสามคนต่างก็ตกใจสุดขีด!

นั่นเพราะหลังจากที่หลิงหยุนทำการลบความทรงจำของทุกคนแล้ว เขาก็ได้ใช้ยันต์อัคนีระดับ-8 จัดการเผาทำลายซากศพจนเป็นเถ้าถ่าน แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่สามารถกลบร่องรอยความเสียงหายที่เกิดขึ้นภายในบริเวณบ้านได้หมด

ยกตัวอย่างเช่น.. เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ได้รับบาดเจ็บ หลุมใหญ่ที่หลิวเต๋อหมิงระเบิดก่อนตาย และคราบเลือดบนพื้น..

เฉิงเทียนไม่ใช่คนโง่ เขารู้ได้ทันทีว่าที่บ้านของเขาต้องเกิดเรื่องใหญ่โตเกิดขึ้น เขาจึงรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหานางหนิวเฟิ่นเหยียวเป็นคนแรก แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้

เฉิงเทียนเต็มไปด้วยความหวาดกลัวมากกว่าทุกครั้ง และเมื่อได้สอบถามเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ได้รับบาดเจ็บ กลับพบว่าเขาเองก็จำอะไรไม่ได้ และไม่รู้แม้กระทั่งว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร

เฉิงเทียนเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงคนหนึ่ง แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น เขาเองก็ไม่กล้าติดต่อตระกูลซัน และไม่กล้ารายงานเหตุการณ์ไปที่สำนักงานรักษาความมั่นคง และหลังจากที่ปรึกษากับภรรยาและลูกสาว เขาก็ตัดสินใจที่จะคอย..

เพราะนอกเหนือจากการรอคอยแล้ว พวกเขาก็ไม่กล้าทำอะไรมากไปกว่านั้น และไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านั้นด้วย!

และในเช้าวันต่อมา ยังไม่ทันที่สำนักงานรักษาความมั่นคงจะเปิดทำการ เฉิงเทียนก็สั่งให้คนนำรถแลนด์โรเวอร์ไปจอดไว้ที่นั่นโดยไม่ให้คำอธิบายใดๆ

ในความทรงจำของสมาชิกตระกูลเฉิงทั้งสามคนนั้น พวกเขายังจำได้ว่าเฉิงเม่ยเฟิงได้หายตัวไปและไม่สามารถติดต่อได้ พวกเขาไม่มีความทรงจำในช่วงที่เฉิงเม่ยเฟิงถูกจับตัวมาที่บ้าน เพราะหลิงหยุนได้จัดการลบความทรงจำในคืนนั้นของพวกเขาทิ้งไปจนหมดแล้ว

แต่นึกไม่ถึงว่าเฉิงเทียนรอถึงสามวัน ก็ยังไม่สามารถติดต่อนางหนิวเฟิ่นเหยียวได้ และไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆจากทางฝั่งตระกูลซัน เจ้าหน้าที่ของสำนักงานรักษาความมั่นคงก็ไม่ได้เข้ามาสอบถามอะไร

ทุกอย่างเป็นไปอย่างสงบ เฉิงเทียนแอบคิดในใจว่าสถานการณ์อาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่เขากังวล หนิวเฟินเหยียวอาจจะปิดโทรศัพท์มือถือเพราะไม่สามารถจับตัวลูกสาวของเขาได้ จึงได้พายอดฝีมือทั้งหมดกลับไปที่ปักกิ่ง และได้ตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเฉิงกับตระกูลซันไปแล้ว

เฉิงเทียนรู้ดีว่าแผนการที่ขยายบริษัทยาของตัวเองไปที่ตลาดทางตอนเหนือนั้นคงจะล้มเหลว ถึงแม้เขาจะรู้สึกเจ็บปวด แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าที่จะมีเหตุการณ์อะไรร้ายแรงเกิดขึ้น

แต่เฉิงเทียนก็มีความสุขได้เพียงไม่นาน เพราะในวันอังกคาร ซันเทียนเปียวก็ได้ขึ้นเครื่องมาที่จิงฉู และตรงมาหาเขาทันที

คนที่ตระกูลซันต้องการตัวนั้นกลับเป็นหลิงหยุน!

เพราะระหว่างที่ปะทะกันนั้น นางหนิวเฟิ่นเหยียวได้โทรขอความช่วยเหลือจากซันเทียนเปียว และได้เอ่ยชื่อหลิงหยุนออกมา อีกทั้งนางหนิวเฟิ่นเหยียวยังได้โทรหาซันเทียนเปียวเป็นครั้งที่สอง และได้แจ้งว่าถังเทียนห่าวจะนำตัวซันจิ้งไปอีกด้วย

ทันทีที่ซันเทียนเปียวมาถามหานางหนิวเฟิ่นเหยียวกับซันจิ้งจากเฉิงเทียนนั้น เฉิงเทียนก็กลัวจนแทบฉี่ราดกางเกง เขาหวาดกลัวจนพูดอะไรไม่ออก..

ซันเทียนเปียวจึงได้จัดการควบคุมสมาชิกของตระกูลเฉิงทั้งสามคนไว้เป็นการลงโทษ นอกเหนือจากการให้กินอาหารตามปกติแล้ว พวกเขาก็ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก และตัดขาดการติดต่อทุกทาง

ซันเทียนเปียวข่มขู่ว่า ถ้าเขาไม่สามารถหาหนิวเฟิ่นเหยียวกับซันจิ้งพบ เมืองจิงฉูจะต้องราบเป็นหน้ากอง และคนแรกที่จะต้องตายก็คือเฉิงเทียนและครอบครัว!

เฉิงเทียนรู้ตัวดีว่าเป็นเพราะการตัดสินใจที่โง่เขลาของเขา ตระกูลเฉิงจึงต้องพบกันปัญหาหนักเช่นนี้ และพวกเขาคงต้องตายอย่างแน่นอน!

ซันเทียนเปียวจัดการทุกอย่างได้รวดเร็วมาก เขาสามารถควบคุมสถานการณ์ในเมืองจิงฉูได้ทั้งหมด และค่อยๆสอบสวนล้วงลึกลงไปเรื่อยๆ

หลิงหยุน!

ยิ่งเขาทำการสืบสวนและสาวลึกไปได้มากเท่าไหร่ เขาก็จะได้ยินชื่อ ‘หลิงหยุน’ เข้ามาเกี่ยวข้องในทุกๆเรื่อง

และนี่เป็นชื่อที่เฉิงเทียนได้ยินมากที่สุดตั้งแต่ถูกซันเทียนเปียวควบคุมตัวไว้ ทำให้เขาหวาดผวากับชื่อนี้มาก!

แต่แล้ว.. ในเย็นวันเดียวกันนั้น ลูกสาวคนโตของเฉิงเทียน-เฉิงเม่ยเฟิงก็กลับมาที่บ้านเพียงลำพัง