ตอนที่ 702

Elixir Supplier

702 คิดถึงอีกแล้ว

 

ถึงเขาจะเป็นผู้นำของเมือง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เขาจะสามารถตัดสินใจเรื่องทุกอย่างได้ เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย นอกจากว่าเขาจะมีเหตุผลดีดีมาเป็นข้ออ้าง

 

หวังเย้าเข้าใจในคำพูดของเขา

 

“หมอหวังไม่พอใจกับค่าชดเชยที่จะจ่ายให้เหรอ?”

 

“อ้อ เปล่าหรอกครับ ผมแค่คิดว่า การเปลี่ยนแผนมันเกิดขึ้นกระทันกัน เหมือนกับจงใจจะตัดเข้าหมู่บ้านกับเนินเขาหนานชานน่ะครับ ผมเช่าเนินเขานี้เอาไว้และลงทุนลงแรงกับมันไปมาก ผมเลยไม่อยากให้เรื่องนี้มาทำลายความพยายามทั้งหมดของผมลงน่ะครับ” หวังเย้าพูด

 

“งั้นผมจะลองคิดหาวิธีจัดการกับเรื่องนี้ดูให้นะ” หยางห่ายชวนพูด เขาเคยคิดว่า หวังเย้าไม่พอใจกับค่าชดเชยที่รัฐจะให้ แต่กลับคาดไม่ถึงว่า หวังเย้าจะมาด้วยสาเหตุนี้แทน

 

“ขอบคุณนะครับ คุณหยาง” หวังเย้าไม่คิดว่า หยางห่ายชวนจะพยายามช่วยจัดการเรื่องนี้ให้กับเขา เพราะหากดูจากตำแหน่งงานของเขาแล้ว ก็ดูเหมือนว่า เขาจะทำอะไรกับเรื่องนี้ได้ไม่มากนัก

 

“จะอยู่กินข้าวด้วยกันก่อนไหม?”

 

“ไม่ละครับ ผมคงต้องขอตัวกลับก่อน”

 

“ถ้าอย่างนั้นก็เดินทางดีดีล่ะ!”

 

หลังแยกจากหยางห่ายชวนมาแล้ว หวังเย้าก็ขับรถกลับไปที่เขตเหลียนชานและพบว่า ถนนกำลังมีการก่อสร้างอยู่ มันยังถือว่าอยู่ห่างจากหมู่บ้านอยู่มาก หวังเย้ายังพอมีเวลาอยู่

 

หลังกลับมาถึงที่บ้านแล้ว เขาก็นั่งฟังพ่อแม่ของเขาคุยกันเรื่องที่กำลังจะมีการตัดผ่านถนนมาที่หมู่บ้าน

 

“เธอไปได้ยินมาจากที่ไหนเหรอ?”

 

“ก็วันนี้เลขาหมู่บ้านมาที่บ้านของเราน่ะสิ ถนนจะตัดผ่านทางตะวันออกของหมู่บ้าน แล้วก็ตัดผ่านเนินเขาหนานชานด้วย เห็นว่า จะมีเจ้าหน้าที่มาเก็บรูปเอาไว้สำหรับจ่ายค่าดเชยด้วย” จางซิวหยิงพูด

 

“เร็วขนาดนี้เลยเหรอ?”

 

“แม่ พ่อ ไม่ต้องกังวลนะครับ ผมจะจัดการเรื่องนี้เอง”

 

“โอ้ ดีจ๊ะ” ในฐานะของแม่คนหนึ่ง เธอรู้ดีว่า ลูกชายของเธอทุ่มเทให้กับเนินเขาหนานชานไปมากแค่ไหน และทำไมแผนการสร้างถนนถึงกลายเป็นปัญหาแบบนี้

 

หมู่บ้านของพวกเขาล้อมรอบไปด้วยเนินเขา การก่อสร้างถนนจำเป็นต้องตัดผ่านเนินเขาหนานชาน และอาจจะรวมเนินเขาเป่ยชานที่เต็มไปด้วยหินเข้าไปด้วย ถ้าพวกเขาจะสร้างถนนผ่านทางนั้นจริงๆ มันก็คงจะต้องใช้งบประมาณสูงมาก

 

ในตอนบ่าย หวังหมิงเปากลับมาจากในตัวเมืองและไปหาหวังเย้าที่คลินิก ในเวลานั้น หวังเย้าก็กำลังฝังเข็มคนไข้อยู่

 

“รอเดี๋ยวนะ ชงชากินเองได้ตามสบาย”

 

“อืม นายทำงานไปเถอะ” หวังหมิงเปาพูด เขาเทชาใส่ถ้วยชาและรออยู่ไม่ไกล

 

หลังจากผ่านไปได้สามสิบนาที ก็ไม่มีคนไข้เข้ามาอีก

 

“มีเรื่องอะไรเหรอ?” หวังเย้าที่ล้างมือเสร็จก็ถามขึ้นมา

 

“ก็ทางหลวงที่กำลังสร้างจะตัดผ่านเข้ามาในหมู่บ้านกับเนินเขาหนานชานน่ะสิ”

 

“อืม ฉันรู้แล้วล่ะ” หวังเย้าพูด

 

“นี่มันเรื่องบ้าชัดๆ” หวังหมิงเปาพูดอย่างโมโห เขามาที่นี่ก็เพราะเรื่องนี้โดยเฉพาะ

 

“ใช่”

 

“นี่ แล้วแบบนี้นายจะทำยังไงล่ะ?”

 

“ฉันกำลังคิดหาวิธีอยู่”

 

“ฉันลองขอให้เพื่อนของฉันลองยื่นเรื่องขอเปลี่ยนแผนนี้ดูแล้ว แต่ทางเมืองเหมือนจะตัดสินใจเรื่องนี้เองไม่ได้” หวังหมิงเปาพอจะรู้ความสัมพันธ์ระหว่างหวังเย้าและอยางห่ายชวนอยู่บ้าง

 

“ไม่ใช่พวกเขาตัดสินใจไม่ได้ แต่เป็นเพราหาเหตุผลดีดีไม่ได้ต่างหากล่ะ” ถ้ามีเหตุผลที่เหมาะสม หยางห่ายชวนก็คงจะทำการเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้างแล้ว เพราะเรื่องการก่อสร้างทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับความคิดเห็นของผู้ดูแลพื้นที่ แต่ปัญหาสำคัญก็คือ ไม่มีเหตุผลที่ดีในการเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้เลย

 

การรายเรื่องการเปลี่ยนแปลงจะต้องมีการลงรายละเอียดอย่างระมัดระวัง เพื่อที่ฝ่ายบริหารจะได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วน มันเป็นเรื่องที่จำเป็นในการทำงานใหญ่แบบนี้

 

หวังหมิงเปาดื่มชาหมดไปสองถ้วย เขาไม่สามารถช่วยเรื่องนี้ได้มากนัก แล้วระดับของงานนี้ก็ใหญ่มากด้วย

 

“นายลองถามเสี่ยวซวีดูรึยัง?”

 

มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ที่ความสัมพันธ์ระหว่างหวังเย้ากับซูเสี่ยวซวี และหวังหมิงเปาก็คือหนึ่งในนั้น เพราะเขาและหวังเย้าถือว่าเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากที่สุด

 

“ยังเลย เธอยังเป็นนักศึกษาอยู่นะ”

 

“ยังไงก็ยังต้องบอกเธอ แค่ต้องพูดไม่กี่ประโยคเท่านั้นเอง สำหรับเรามันอาจจะยาก แต่สำหรับพวกเขากลับเป็นเรื่องง่ายนิดเดียว” หวังหมิงเปาพูด

 

“อืม”

 

พวกเขาทั้งสองอยู่คุยกันภายในคลินิก แล้วก็มีคนไข้เข้ามา

 

“ตอนนี้นายคงจะยุ่ง ไว้เราคุยกันอีกทีตอนเย็นนะ”

 

ในเย็นวันนั้น พวกเขาได้จองห้องส่วนตัวกับร้านอาหารใกล้บ้าน

 

“ฉันลองถามมาแล้ว เรื่องนี้มีการเปลี่ยนแปลงแบบชั่วคราว” หวังหมิงเปาพูด “มีบางอย่างเกิดขึ้นนอกเหนือจากแผนการที่วางไว้ มันก็เลยต้องเปลี่ยน มีคนไม่พอใจอยู่หลายคนเหมือนกัน”

 

“เรื่องนี้คงจะเกี่ยวกับฉันด้วยเหมือนกัน” หวังเย้าพูด

 

“เรื่องนี้มันจะไปเกี่ยวกับนายได้ยังไงกัน? หรือนายไปทำให้ใครไม่พอใจเข้า เขาถึงได้เล่นหนักขนาดนี้น่ะ?” หวังหมิงเปาถาม

 

“เขาทำได้แน่ แต่ฉันก็ไม่คิดว่าเขาจะทำถึงขนาดนี้” หวังเย้าพูด “แล้วฉันก็ไม่คิดว่าเขาจะกล้าทำถึงขนาดนี้ด้วย ดูเหมือนว่าพ่อของเขาจะไม่ได้สนใจพฤติกรรมลูกชายของเขาเลย”

 

“พ่อของเขาเป็นใครเหรอ?”

 

“กั๋วจ้าวจวิน)

 

“หืม ชื่อคุ้นๆนะ นั่นมันชื่อเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจังหวัดนี่!” หวังหมิงเปาตะโกนออกมา

 

ไม่แปลกที่เขาจะคุ้นชื่อของกั๋วจ้าวจวิน เพราะเขาเป็นถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจังหวัด และเป็นรองแค่คนเดียวเท่านั้น และพูดได้ว่า เขามีโอกาสสูงที่จะได้เป็นผู้ว่าจังหวัดคนต่อไป ผู้ว่าคนปัจจุบันได้จะเกษียณแล้ว และเขาก็คือคนที่จะมารับตำแหน่งต่อ

 

“แล้วนายไปมีปัญหากับลูกชายของเขาได้ยังไงกัน?”

 

“ฉันจะเล่ายังไงดีล่ะ?” หวังเย้าพูด “เขาชอบเสี่ยวซวีมาก แล้วก็มาขอให้ฉันยกเธอให้เขา แต่ฉันไม่ยอม”

 

“เชี่ย!” หวังหมิงเปาพูดออกมาด้วยความโมโห

 

“เขาคิดว่า ตัวเองเป็นใครกัน?”

 

“เราไม่จำเป็นต้องไปสนใจเขาหรอก แต่ปัญหาอยู่ที่พ่อของเขาต่างหากล่ะ” หวังเย้าพูด

 

“บางทีพ่อของเขาอาจจะไม่รู้เรื่องเลยก็ได้ แต่เป็นเขาที่อาศัยชื่อพ่อของตัวเองทำเรื่องนี้ เพราะคนระดับพวกเขา เวลาจะทำอะไรก็ต้องระวังไว้ก่อน เพื่อเป็นการป้องกันตัวเอง”

 

“นายหมายความว่ายังไงเหรอ?” หวังเย้าถาม “นายจะให้ฉันไปบอกพ่อของเขาว่า ลูกชายของเขาทำเรื่องน่าอับอายให้เขาอย่างนั้นน่ะเหรอ? นายคิดว่าฉันที่เป็นคนธรรมดาจะขอเข้าพบเจ้าหน้าที่ระดับสูงได้ง่ายๆอย่างนั้นเหรอ? แล้วถ้าเกิดนายไปรังแกคนอื่นหรือทำเรื่องผิดกฎหมายมา นายคิดว่าพ่อของนายจะทำยังหลังจากที่รู้เรื่องล่ะ? เขาจะด่าว่านาย แต่ไม่มีทางที่จะส่งตำรวจไปจับนาย เขาจะยังคงยืนอยู่ข้างนายเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาที่นายก่อยังไงล่ะ”

 

ไม่ว่าเขาจะระวังตัวเองแค่ไหน แต่นี่ก็คือลูกชายเพียงคนเดียวของเขา ถ้าหากเขาจะไม่ทำตามกฎเกณฑ์บางอย่างเพื่อลูกชายของเขา มันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แล้วหวังเย้าก็ไม่มีหลังฐานที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นความผิดของกั๋วเจิ้งเหอด้วย

 

“เฮ้อ ก็ได้ๆๆ!”

 

“มาชนแก้วกันดีกว่า!”

 

“ชนแก้ว!”

 

พวกเขาออกมาจากร้านอาหารตอนเวลาประมาณสามทุ่ม

 

หวังเย้าเข้าไปคุยกับพ่อแม่ของเขา ก่อนที่จะกลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน

 

ในตอนเย็น หวังเย้าคิดอยากจะโทรไปหาซูเสี่ยวซวี แต่เขาก็คาดไม่ถึงว่า ทันทีที่เขาเดินขึ้นไปถึงเนินเขาหนานชาน ซูเสี่ยวซวีจะเป็นฝ่ายโทรมาหาเขาก่อน

 

“กินอะไรรึยังคะ? แล้วกินอะไรบ้าง? หมออยู่ที่ไหนคะ? แล้วเรื่องงานเป็นยังไงบ้าง? เหนื่อยรึเปล่า?”

 

น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความอ่อนโยน มันราวกับว่า มีหญิงสาวที่งดงามราวกับเทพธิดามาอยู่ตรงหน้าเขา เมื่อได้ฟังเสียงของเธอ ปัญหาทั้งหมดที่มีก็ถูกโยนทิ้งไปจนหมด

 

ซูเสี่ยวซวีมีความสุขมาก

 

ไม่บอกเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอจะดีกว่า หวังเย้าคิด

 

เขาคิดหาทางอื่นไว้แล้ว

 

เขาสามารถใช้เส้นสายผ่านทางตระกูลหวูที่ปักกิ่งได้

 

คนทั้งสองพูดคุยกันอยู่สักพัก จากนั้นก็วางสาย

 

วันต่อมา มีคนเดินทางมารักษาที่คลินิกมากขึ้น

 

พอตรวจคนไข้ไปได้สองสามคน หวังเย้าก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีคนท้องเสียมากมายขนาดนี้ และคนไข้ส่วนใหญ่ก็เป็นเด็ก อาการท้องเสียเหล่านี้เกิดจากเชื้อโรคร้าย

 

การรักษาของหวังเย้านั้นเป็นไปอย่างเรียบง่าย เขาขับเชื้อร้ายเหล่านั้นออกไป ซึ่งมันก็สามารถเห็นผลได้ภายในเวลาหนึ่งวัน

 

หวังเย้ายุ่งอยู่กับงานไปตลอดทั้งวัน จนกระทั่งเวลาห้าโมงเย็น คนไข้คนสุดท้ายก็กลับไป ในตอนที่เขากำลังทำความสะอาดภายในคลินิกอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงเปิดประตูดังมาจากด้านนอก

 

มีคนกำลังมา

 

เขาได้กลิ่นหอมอ่อนๆลอยมาตามลม

 

“เธอมาได้ยังไงกัน?” หวังเย้าตกใจ

 

ในเวลานี้ อีกฝ่ายยังเดินมาไม่ถึง ระหว่างพวกเขามีกำแพงและประตูขวางกั้นเอาไว้อยู่

 

“หมอรู้ได้ยังไงคะ ว่าเป็นฉันที่มาน่ะ?” ซูเสี่ยวซวีถามด้วยความแปลกใจ หลังจากที่เธอเดินเข้ามาถึงด้านในแล้ว

 

“ผมได้กลิ่นของเธอน่ะสิ” หวังเย้ายิ้ม “วันนี้เธอไม่มีเรียนเหรอ?”

 

“วันนี้ไม่มีเรียนค่ะ ฉันคิดถึงหมอ ฉันก็เลยมาหายังไงล่ะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

หวังเย้ากางแขนอ้ารับเธอเข้ามาในอ้อมกอด

 

เฮ้อ คุณหนูคนนี้ชอบทำอะไรตามอำเภอใจจริงๆ ชูเหลียนที่รออยู่ด้านนอกส่ายหน้าอย่างระอา

 

มันไม่ใช่เพราะเธอไม่มีเรียน แต่เป็นเพราะอยู่ๆเธอก็คิดถึงเขาขึ้นมา เธอก็เลยลาหยุดสองวันและมาหาเขาที่นี่ต่างหาก ในมหาวิทยาลัยมีคนในตระกูลทำงานเป็นอาจารย์อยู่ถึงสามคน และหนึ่งในนั้นก็เป็นถึงอธิการบดีของมหาวิทยาลัยด้วย ดังนั้น จึงไม่มีใครสามารถพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ และทำได้เพียงไม่สนใจไปซะ

 

หวังเย้าพาซูเสี่ยวซวีไปที่บ้านของเขา พ่อแม่ของเขามีความสุขมาก โดยเฉพาะแม่ของเขาที่รีบร้อนเตรียมอาหารไว้จนเต็มโต๊ะ ในระหว่างมื้ออาหาร เธอก็ตักอาหารให้ซูเสี่ยวซวีอยู่บ่อยครั้ง

 

หลังจากทานอาหารเสร็จ หวังเย้าก็จับมือเธอพาออกไปเดินเล่นรอบๆหมู่บ้าน

 

“คนที่มารักษาตัวที่หมู่บ้านล่ะคะ? พวกเขายังอยู่ที่นี่กันไหมคะ?”

 

“สองคนหายดีแล้ว ตอนนี้เหลืออยู่แค่คนเดียวเท่านั้น”

 

“ฉันรู้สึกว่า ตอนกลางคืนจะมีคนน้อยกว่าครั้งก่อนที่ฉันมาที่นี่นะคะ” ซูเสี่ยวซวีที่ยืนอยู่ทางทิศใต้ของหมู่บ้าน มองเห็นว่ามีบ้านหลายหลังที่ไม่ได้เปิดไฟ

 

“พวกเขาย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองแล้วล่ะ”

 

พวกเขาเฮโลตามกันไปหมด!