ตอนที่ 703

Elixir Supplier

703 ขอโทษที่ทำให้ต้องผิดหวัง

 

“มีอีกเรื่องหนึ่ง ผมเลือกทำเลที่จะเอาไว้สร้างโรงงานได้แล้วนะ” หวังเย้าพูด

 

“จริงเหรอคะ? แล้วเรื่องเอกสารเรียบร้อยแล้วเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“กำลังดำเนินการอยู่ แต่อีกไม่นานก็คงจะเสร็จแล้วล่ะ” หวังเย้าพูด

 

พวกเขาเริ่มรอบหมู่บ้าน ก่อนที่จะพากันกลับไปที่บ้านที่ซูเสี่ยวซวีใช้พักอยู่ในหมู่บ้าน ซึ่งชูเหลียนได้จัดการทำความสะอาดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

 

“สวัสดีค่ะ หมอหวัง” ชูเหลียนพูด

 

“สวัสดีครับ น้าเหลียน” หวังเย้าพูด

 

เขาอยู่คุยกับซูเสี่ยวซวีเพียงช่วงสั้นๆ ก่อนที่จะกลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน

 

“คุณหนูอยากจะพักเลยไหมคะ?” หลังจากที่หวังเย้าไปแล้ว ชูเหลียนก็เอ่ยถามออกมา

 

“ค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

ในระหว่างสองวันที่ผ่านมา ซูเสี่ยวซวีไม่ได้ใช้เวลาอยู่กับหวังเย้านานเท่าที่เธอต้องการ เธอและชูเหลียนใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนท้องถนน และหวังเย้าก็ไม่ได้นอนค้างคืนที่บ้านพักของเธอ

 

ภายในหมู่บ้านเงียบสงัด คนที่เคยชินกับเสียงอึกทึกในยามค่ำคืนไม่สามารถนอนหลับลงได้ง่านดายเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ

 

ความคิดของซูเสี่ยวซวีล่องลอยไปไกลในขณะที่เธอกำลังนอนอยู่บนเตียง เธอผล่อยหลับไปในตอนห้าทุ่ม แล้วตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ในวันถัดมา เธอสวมเสื้อผ้าและมุ่งหน้าไปที่เนินเขาหนานชาน

 

หวังเย้ากำลังรอเธออยู่ที่ตีนเขาของเนินเขาหนานชาน พวกเขาพากันเดินขึ้นไปด้านบน

 

“ที่นี่อากาศดีจังเลยนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูดในขณะที่เธอยืนอยู่ในแปลงสมุนไพร

 

“เธอจะมาที่นี่บ่อยๆก็ได้นะ” หวังเย้าพูด

 

“เวลาดูแลสมุนไพรพวกนี้ มีเรื่องที่ต้องระวังอะไรบ้างไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีชี้ไปที่ต้นสมุนไรและถามขึ้นมา

 

“ก็ไม่มีอะไรที่ต้องระวังเป็นพิเศษหรอก ผมแค่พยายามจะไม่ไปทำอะไรกับพวกมันมากก็แค่นั้น” หวังเย้าพูด

 

“ทำไมล่ะคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“ผมอยากให้พวกมันได้เติบโตตามธรรมชาติ แล้วสมุนไพรบางตัวก็มีพิษอยู่ด้วย” หวังเย้าพูด

 

“หมอสอนกังฟูฉันอีกได้ไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“ได้สิ” หวังเย้าพูด “งั้นเราขึ้นไปบนยอดเขากันเถอะ”

 

ปกติหวังเย้ามักจะขึ้นไปฝึกฝนที่ด้านบนยอดเขา ซึ่งเป็นพื้นที่ราบประมาณ 65 ตารางเมตร เขาได้นำต้นไม้มาปลูกเอาไว้รอบๆด้วย แม้จะช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดของวัน เมื่ออยู่ภายใต้ร่มไม้ก็จะเย็นลงได้

 

“มานี่สิ” หวังเย้าพูด

 

หวังเย้าสอนกังฟูขั้นพื้นฐานให้กับซูเสี่ยวซวี รวมไปถึงท่าทางการเคลื่อไหวและการใช้แรงด้วย  เขาไม่ได้เอาเรื่องการฝึกการหายใจมารวมด้วย เพราะแค่การเรียนกังฟูก็ต้องใช้เวลาพอสมควรแล้ว การเรียนควรจะเป็นไปที่ละขั้นจึงจะดี

 

“เธอเคยเรียนกังฟูกับใครมาก่อนรึเปล่า?” หวังเย้าถาม

 

“ค่ะ ฉันเคยเรียนกับน้าเหลียนมาก่อน” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

เธอเป็นเด็กสาวที่เฉลียวฉลาด เพียงครู่เดียวเธอก็สามารถทำความเข้าใจสิ่งที่หวังเย้าสอนไปได้ทั้งหมด หวังเย้าสอนการต่อสู้ให้กับเธอ แล้วเธอก็จับท่าทางที่ถูกต้องได้อย่างรวดเร็ว มันทำให้หวังเย้าต้องตะลึงกับพรสวรรค์ของซูเสี่ยวซวีมาก

 

“ประกาศถึงลูกบ้านทุกคน โปรดฟังทางนี้!”

 

เวลาประมาณเก้าโมงเช้า ได้มีการประกาศเสียงตามสายที่เงียบหายไปนานดังขึ้นในหมู่บ้าน

 

“จะมีทางหลวงตัดผ่านหมู่บ้านของเรา ทางหน่วยงานของรัฐได้ทำการอนุมัติเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว ในอีกสองสามวันข้างหน้า ขอให้ลูกบ้านทุกคนมาตรวจสอบดูว่า มีบ้านของใครบ้างที่จะต้องถูกตัดผ่าน ทางหน่วยงานรัฐจะทำหน้าที่จ่ายค่าชดเชยให้ลูกบ้านแต่ละคน”

 

“ทางหลวงจะตัดผ่านหมู่บ้านของหมอเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถามด้วยความสงสัย

 

“ใช่ ตอนนี้กำลังมีการสร้างทางด่วน แต่จากแผนเดิม มันไม่มีการตัดผ่านมาทางหมู่บ้านเลย แต่ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมอยู่ๆถึงได้เปลี่ยนแผนกะทันหันแบบนี้ ตอนนี้ทางหลวงจะตัดผ่านเข้ามาในหมู่บ้าน รวมถึงที่ตรงนี้ด้วย” หวังเย้าชี้เนินเขาหนานชานที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา

 

เขาไม่คิดที่จะบอกเรื่องนี้กับซูเสี่ยวซวีเลย แต่ในเมื่อเธออยู่ที่นี่และบังเอิญได้ยินประกาศเข้า เขาก็เลยเล่าเรื่องทั้งหมดให้เธอฟัง

 

“มันจะตัดผ่านเนินเขาหนานชานด้วยเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถามด้วยความประหลาดใจ เธอรู้จักหวังเย้าดี ดังนั้น เธอจึงรู้ว่า เนินเขาหนานชานสำคัญสำหรับเขามากแค่ไหน “แล้วคุณจะทำยังไงกับเรื่องนี้คะ?”

 

“ผมไม่มีทางยอมให้ถนนตัดผ่านมาทางนี้แน่” หวังเย้าพูด

 

“ดีค่ะ” ซูเสี่ยวซวพูด

 

เธอไม่ได้พูดอะไรมากมาย และมักจะยืนอยู่ข้างหวังเย้าเสมอ เธอนึกถึงคนที่อยู่ๆก็เปลี่ยนแผนการสร้างถนนและคนที่มีความสามารถพอที่จะทำเรื่องนี้ได้ แล้วเธอก็รู้ด้วยว่า ใครคือคนที่มีตำแหน่งหน้าที่อยู่ในจังหวัดฉี สิ่งที่เธอกังวลได้กลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมาแล้ว

 

เธอและหวังเย้าไม่ได้พูดถึงเรื่องการสร้างถนนหลวงอีก ซูเสี่ยวซวีได้ใช้เวลาทั้งวันอยู่กับหวังเย้าและครอบครัวของเขา

 

หวังเย้าไม่ได้ไปที่ศูนย์ประชุมหมู่บ้านเพื่อยื่นเรื่องของค่าชดเชย แต่กลับเป็นหวังเจียนหลี่ที่มาหาเขาที่บ้านในตอนกลางคืนเพื่อพูดเรื่องนี้แทน

 

ตามกฎเกณฑ์ของทางรัฐ ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างทางหลวงจะได้รับค่าชดเชยคนละ 45,000 หยวนต่อที่ดินหนึ่งเอเคอร์ ในเมื่อทางหลวงจะตัดผ่านพื้นที่ส่วนใหญ่ของเนินเขาหนานชาน หวังเย้าก็จะได้รับค่าชดเชยเป็นเงินจำนวนมากตามไปด้วย แต่หวังเย้ากลับไม่พอใจ เมื่อได้รับการบอกกล่าวว่าเขาจะได้รับค่าชดเชยจำนวนเท่าไหร่

(1เอเคอร์ = 2.471 ไร่)

 

“เสี่ยวเย้า ลุงรู้ว่าเนินเขาหนานชานมันสำคัญกับเธอมาก แต่ฟังลุงนะ เธอไม่สามารถมีอำนาจอยู่เหนือรัฐได้” หวังเจียนหลี่พูด

 

ถึงเขาจะรู้ว่า หวังเย้าพอมีเพื่อนที่มีอำนาจอยู่หลายคน แต่นี้ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะสามารถขอความช่วยเหลือจากคนเหล่านั้นได้ นอกจากนี้ คนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีปัญหาในเรื่องที่ทางรัฐจะเข้ามารื้อถอนสิ่งก่อสร้างหรือเข้ามาครอบครองบ้านเรือนที่สร้างมาอย่างยาวนานของพวกเขาเลย เพราะทางรัฐก็จ่ายเงินอย่างสมน้ำสมเนื้อกลับคืนให้พวกเขาเช่นเดียวกัน การทำไร่ทำนาด้วยที่นาไม่กี่เอเคอร์สามารถสร้างกำไรให้พวกเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

 

“ผมรู้ครับ ขอบคุณนะครับลุงเจียนหลี่” หวังเย้าพูด

 

“ไม่เป็นไร” หวังเจียนหลี่พูด

 

หลังจากหวังเจียนหลี่จากไปแล้ว หวังเย้าก็ขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน มันมีอากาศที่ดีและเย็นฉ่ำ เขานั่งอยู่ในบริเวณแปลงสมุนไพรและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

“ซานเซียน มีคนอยากจะเอาเนินเขาหนานชานไปจากพวกเราล่ะ” หวังเย้าพูด

 

โฮ่ง! อยู่ๆซานเซียนก็ผลุนผลันลุกขึ้นยืน

 

“ฉันรู้ว่านายไม่ยอม ฉันก็เหมือนกัน” หวังเย้าพูด “เราต้องหาทางหยุดเรื่องนี้ให้ได้”

 

วันต่อมา หวังเย้าขับรถพาซูเสี่ยวซวีไปส่งที่สนามบิน และบินไปพร้อมกับเธอด้วย

 

“หมอจะไปปักกิ่งเพราะเรื่องทางหลวงใช่ไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“ใช่ ผมจะลองดูว่าจะหยุดเรื่องนี้ได้ไหม” หวังเย้าพูด

 

“หมอจะไปคุยกับใครให้ช่วยเรื่องนี้เหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“ผมว่าจะลองไปคุยกับตระกูลหวังดูก่อน แล้วผมก็ไม่อยากจะรบกวนเธอด้วย” หวังเย้าพูดออกมาตามตรง

 

“ไม่เห็นจะรบกวนตรงไหนเลย ฉันยินดีจัดการให้เสมอค่ะ” ซูเสี่ยวซวีตบไปที่หน้าอกของเธอ

 

หวังเย้าไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ในบางครั้ง เขาก็รู้สึกว่า ตัวเองนั้นไร้ประโยชน์ เขาควรจะเป็นคนที่ช่วยซูเสี่ยวซวีแก้ไขปัญหา ไม่ใช่กลับกันแบบนี้

 

“ขอบคุณนะ แต่ผมอยากจะลองคุยกับคุณหวูดูก่อนน่ะ” หวังเย้าพูด

 

เขาต้องการจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเข้าเอง และเขาก็จำเป็นต้องสร้างเส้นสายของตัวเองขึ้นมาด้วย

 

“ได้ค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด ถึงแม้ว่าเรื่องนี้มันจะยากสำหรับเธอก็ตามที

 

หลังจากที่พวกเขาเดินทางมาถึงปักกิ่งแล้ว หวังเย้าก็ไปเยี่ยมบ้านของซูเสี่ยวซวี โดยที่ซูเสี่ยวซวีไม่ได้พูดเรื่องการสร้างทางหลวงให้แม่ของเธอฟังเลย

 

ไม่นานหลังจากนั้น หวังเย้าก็เดินไปทางเพื่อไปพับกับหวูถงชิ่ง

 

“ขอโทษด้วยค่ะ หมอหวัง คุณหวูเข้าไปที่จังหวัดที่ท่านดูแลอยู่ ท่านคงจะกลับมาถึงพรุ่งนี้น่ะค่ะ” กู้หยวนหยวนพูด

 

“ไม่เป็นไร แล้วผมจะรอ” หวังเย้าพูด

 

ภายในบ้านของซูเสี่ยวซวี ซงรุ่ยปิงเอายถามลูกสาวของเธอ “เสี่ยวซวี ดูเหมือนว่า คราวนี้หวังเย้าจะไม่ได้ตั้งใจมาเยี่ยมแม่โดยตรงสินะจ๊ะ”

 

“เปล่าหรอกค่ะ พอดีเขามีธุระต้องมาจัดการที่ปักกิ่ง แต่เขาอยากจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองน่ะค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“เขาจะจัดการเองได้เหรอ? แล้วมันจะมีปัญหามากไหมจ๊ะ?” ซงรุ่ยปิงถาม

 

“หนูก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“ลูกพอจะบอกแม่ได้ไหมจ๊ะ ว่าเขามีปัญหาเรื่องอะไร?” ซงรุ่ยปิงถาม

 

“ขอโทษนะคะคุณแม่ แต่หนูรับปากเขาเอาไว้แล้วว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับคุณพ่อคุณแม่” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“จริงเหรอจ๊ะ? นี่ขนาดลูกยังไม่ได้แต่งงานกับเขาเลยนะจ๊ะเนี่ย” ซงรุ่ยปิงพูด

 

“คุณแม่!” ใบหน้าของซูเสี่ยวซวีแดงก่ำ

 

“ก็ได้จ๊ะ แม่ไม่บังคับลูกก็ได้ แต่ถ้าอยากให้ช่วยอะไรก็บอกนะจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด

 

“หนูรู้ค่ะ” ซูเสี่ยวซวีคิดเอาไว้แล้วว่า ถ้าหากหวังเย้าไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองได้ เธอก็จะช่วยเขา และเธอก็มีแผนอยู่ในใจแล้วเรียบร้อย

 

ในตอนเย็น หวังเย้าและซูเสี่ยวซวีออกไปดินเนอร์ใต้แสงเทียนด้วยกัน หลังจากนั้น พวกเขาก็พากันออกไปเดินเล่น

 

มันเป็นค่ำคืนที่วุ่นวายในปักกิ่ง และยังมากกว่าในเวลากลางวันเสียด้วยซ้ำ ปักกิ่งเป็นเมืองที่ไม่มีการหลับใหล รถราคันผ่านให้เห็นอยู่ทุกที่ ร้านค้าและร้านอาหารยังคงเปิดต้อนรับลูกค้าอยู่ตลอด แต่หวังเย้ากลับชอบหมู่บ้านของเขามากกว่า เขาไม่สามารถมองหาความสงบจากที่นี่ได้เลย และเขาคิดว่า ตัวเขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสถานที่นี้

 

เขายืนอยู่ที่หน้าต่าง มองลงไปยังรถที่ขับอยู่ตามท้องถนนและแสงไฟจากที่ไกลๆ เมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายพันปี มันเก่าแก่และทันสมัยในเวลาเดียวกัน แต่ประวัติศาสตร์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตของคนที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่นี้เลย ปักกิ่งคือเมืองที่แบกรับภาระมากมายเอาไว้

 

บ่ายของวันถัดมา หวูถงชิ่งก็กลับมา หวังเย้าเข้าพบเขาในบ้านที่ไร้เสียงรบกวนหลังหนึ่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในทรัพสินของตระกูลหวู

 

“ดูเหมือนว่าหมอจะมีเรื่องด้วยคุยกับผมสินะ” หวูถงชิ่งพูด “เรื่องอะไรเหรอ?”

 

“ผมอยากจะขอความช่วยเหลือจากคุณครับ” หวังเย้าพูด

 

“บอกมาได้เลยว่าผมพอจะช่วยอะไรได้บ้าง” หวูถงชิ่งพูด

 

เขาแปลกใจมากที่หวังเย้ามาขอเข้าพบเขา และประหลาดยิ่งกว่าเมื่อได้รู้ว่า หวังเย้าต้องการจะมาขอความช่วยเหลือจากเขา แต่เขาก็รู้สึกยินดีด้วยเช่นกัน มันหมายความได้ว่า หวังเย้ากำลังเข้าใกล้เขามากขึ้นอีกนิด และเขาจะไม่ใช่แค่ลูกค้าอีกแล้ว

 

หวังเย้าบอกเขาเกี่ยวกับเรื่องของการสร้างทางหลวง

 

“เรื่องนี้น่ะเหรอ?” หวูถงชิ่งแปลกใจ

 

“ใช่ครับ คุณพอจะช่วยผมได้ไหมครับ?” หวังเย้าถาม

 

การหยุดไม่ให้มีการก่อสร้างทางหลวงตัดผ่านไปทางเนินเขาหนานชานของหวังเย้า ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับหวูถงชิ่งเลย มันง่ายเกินกว่าที่หวังเย้าคาดไว้ซะด้วยซ้ำ หวูถงชิ่งไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแผนทั้งหมด เขาแค่เปลี่ยนเพียงจุดเดียวเท่านั้น แต่เขาก็รู้ดีว่า ใครคือคนที่ดูแลพื้นที่นั้นอยู่ และนึกขึ้นได้ทันทีว่าเรื่องมันเป็นมายังไง

 

“ไว้พรุ่งนี้ ผมจะบอกกับหมอแล้วกันนะ” หวูถงชิ่งพูด

 

“ได้ครับ ขอบคุณมาก” หวังเย้าพูด

 

“ด้วยความยินดี” หวูถงชิ่งพูด

 

ในคืนนั้น หวูถงชิ่งคิดหาเหตุผลที่จะใช้ในการปรับเปลี่ยนแผนการสร้างถนน โดยการใช้เส้นสายที่เขามีอยู่

 

“อืม ไม่แปลกใจเลยจริงๆ!” เขาพึมพำออกมา

 

ฉันควรจะเข้าไปยุ่งดีไหมนะ? หวูถงชิ่งคิด เขารู้ว่า หากเขาไม่ยื่นมือเข้าไปช่วย ตระกูลของซูเสี่ยวซวีก็สามารถจัดการเรื่องนี้ให้หวังเย้าได้อย่างง่ายดาย

 

ฉันควรจะช่วยเขา!

 

ในที่สุด หวูถงชิ่งก็ตัดสินใจที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยหวังเย้า ซึ่งก็เหมือนกับการสร้างความดีความชอบกับหวังเย้าไปในตัวด้วย