รองขุนพลนายนั้นยังเอ่ยวาจาไม่ทันสิ้น ก็พลันรู้สึกว่าตรงหน้าพร่าเลือน ลมหอบหนึ่งพัดผ่านใบหน้า จากนั้นจึงได้ยินเสียง กร๊อบ ดังขึ้น หลังจากนั้นมองเห็นภูเขาฝั่งหนึ่งพลิกคว่ำโดยพลัน
หลังจากยามนั้นเขาพลันเข้าใจว่าไม่ใช่ภูเขาพลิกคว่ำ ทว่าเป็นลำคอของเขาถูกหักสะบั้นแล้ว
ขณะที่ล้มลงไป ความคิดสุดท้ายของเขาคือ “เสียงกระดูกคอหักดังกังวานเหลือเกิน…”
กังวานเหลือเกิน
เสียงกร๊อบเพิ่งแว่วเข้าหูทุกคน ครู่ต่อมาทุกคนก็มองเห็นซากศพที่ล้มลงมีโลหิตแดงฉานไหลทะลัก
ข้างศพมีคนผู้หนึ่ง ทั่วร่างเป็นสีเทา เหลือเพียงดวงตางดงามปานธารกระจ่างกลางเดือนคล้อย เขากำลังโยนซากศพที่หนีบไว้ใต้รักแร้ทิ้งไปอย่างหงุดหงิดยิ่งนัก ยกเท้ากระทืบมั่วซั่ว กระทืบจนกลายเป็นวัตถุระบุไม่ได้ที่เละเทะยิ่งกว่าโคลนเลน หัวเราะฮ่าๆ เอ่ยว่า “เจ้าเละเทะแล้วทุเรศยิ่งกว่าโคลนเลนอีก!”
เหล่าลูกน้องของเขาหัวเราะฮิๆ คนที่เหลืออยู่รวมทั้งจิ่งเหิงปัวหลีกถอยสามก้าวโดยพร้อมเพรียง
เจ้าผู้นี้ทั้งใจแคบทั้งน่าขยะแขยงเกินไปแล้ว!
เผยซูยิ้มแย้มรื่นรมย์ยิ่งขึ้น เอื้อมมือเพียงครั้ง ทหารที่ยืนห่างจากเขาอีกจั้งกว่าพลันมาอยู่ในมือเขา เขาสอดคนผู้นั้นไว้ใต้รักแร้ด้วยมือข้างเดียว ออกแรงหนีบแล้วบิดเพียงครั้ง
กร๊อบ
ดังขึ้นอีกครั้ง
หากเอ่ยอย่างเรียบง่าย ดูคล้ายกำลังหักอ้อย
เหล่าทหารยืนแข็งทื่อ โลหิตคล้ายถูกเยือกแข็งจนสิ้น…สิ่งน่ากลัวไม่ใช่การสังหาร ทว่าเป็นท่าทางยามสังหารของเขา ทั้งตามอารมณ์ทั้งตื่นเต้นเพียงนี้ กลางนัยน์ตาเปล่งแสงแห่งความฮึกเหิม
ต่างเป็นคนเคยผ่านสนามรบ เพียงปราดเดียวย่อมมองออกว่ากลิ่นอายเย็นชาและกระหายโลหิตเช่นนี้เป็นของขุนพลเ**้ยมหาญร้อยสงคราม ปีศาจคลุ้มคลั่งเลือดเย็น!
ลานกว้างเงียบสงัดครู่หนึ่ง เสียงหิมะตกดังซ่าๆ ชัดเจน
ครู่ต่อมา เสียงตะโกนดุเดือดระเบิดขึ้น
“จัดกระบวนทัพ ล้อมสังหาร!”
เสียงดังครืน เหล่าทหารเปลี่ยนแปลงกระบวนทัพอย่างรวดเร็ว หวังล้อมเผยซูไว้ตรงกลาง
เผยซูหัวเราะฮ่าๆ เสียงหัวเราะตื่นเต้นดีใจ การสังหารกับกลิ่นคาวโลหิตเป็นเรื่องที่เขาชื่นชอบที่สุดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร อยู่หุบเขาเทียนฮุยตั้งห้าปี ก็เงียบเหงานานเกินไป!
เงาปีศาจของเขากะพริบวูบเข้าสู่ตรงกลางด้วยตนเอง เรือนร่างกลายเป็นควัน เสียงลอยล่องบนท้องฟ้าเหนือกระบวนทัพใหญ่
“พวกบรรดาศักดิ์เฮงซวย! เข้ามาฆ่ามัน! พวกเรามาแข่งขัน ผู้สังหารได้มากกว่ากัน!”
เสียงฮึกเหิม เงาคนกะพริบต่อเนื่อง พวกเฉวียนหนิงเหาพุ่งเข้ากลางกระบวนทัพ สายลมที่ร่างกายพามาด้วยเฉียดผ่านผมยาวของจิ่งเหิงปัว
ความกลัดกลุ้มอัดอั้นแทบทนไม่ไหว ในใจมีความเกลียดชังยากระงับ การประจัญบานครั้งนี้เป็นหินลับมีดยามวีรบุรุษผู้ควบคุมสนามรบครั้งนั้นปรากฏกายบนโลกนี้อีกครั้ง
ไอสังหารกับไอโลหิตพุ่งสะเทือนท้องฟ้า
เสียงของผู้นำทัพแปรเปลี่ยนจากความเยือกเย็นยามแรกเริ่มกลายเป็นความร้อนรนอย่างรวดเร็ว จากนั้นกลายเป็นความตื่นตระหนก สุดท้ายแทบจะเจือด้วยเสียงร้องไห้
“เปลี่ยนกระบวนทัพ! เปลี่ยนกระบวนทัพ!”
“ถอยหลัง ถอยหลัง!”
“ไอ้โง่ ตนเองพุ่งขึ้นไปทำอะไร!”
“แยกกัน! แยกกัน! อย่าเบียดเสียดอยู่ด้วยกันให้พวกมันสังหาร!”
“ผู้ใดกล้าวิ่งหนี! พวกเจ้ายังกล้า…อ๊าก!”
เสียงร้องโหยหวนหนาวสะท้าน เกล็ดหิมะหยุดนิ่งแล้วพัดพลิ้ว จิ่งเหิงปัวหรี่ตาจ้องมองเงาคนที่ค่อยๆ ล้มลงนั้น ถอนหายใจ
คงตกใจจนลนลานจริง มัวแต่ซ่อนอยู่ข้างหลังออกคำสั่งบัญชาการเลยไม่ได้พบว่าเขาเป็นผู้รอดชีวิตคนสุดท้ายแล้วสินะ?
สังหารได้…รวดเร็วเหลือเกิน
นางลุกขึ้นพลางอุดจมูกไว้ เดินอ้อมกองศพสภาพดูไม่ได้กองนั้น ตัดสินใจว่าคราวหลังต้องสั่งสอนเผยซูให้ดี ไอ้หนุ่มคนนี้นิสัยเลวร้ายเกินไป ฆ่าคนก็ฆ่าคนสิ ต้องโหดร้ายขนาดนั้นด้วยเหรอ?
แต่ก่อนเขาชั่วร้ายใจแคบพอเข้าใจได้ แน่นอนว่าหลังเข้าสู่อ้อมกอดอันอบอุ่นของพี่ เขาควรกลายเป็นหนุ่มน้อยน่ารักสดใส
จิ่งเหิงปัวมั่นใจมาก
แต่พอนางมองดูลูกน้องใหม่ฝูงนั้น อนาคตเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มอีกครั้ง
เป็นเจ้านายคนพวกนี้จะดีจริงเหรอ?
ตอนนี้คนกลุ่มนั้นกำลังนั่งยองบนกองศพ นับใบหูตามธรรมเนียมทหาร
เฉวียนหนิงเหากับเผยซูหิ้วใบหูคนละพวง เทียบจำนวนอย่างครบถ้วนไม่ตกหล่นอยู่ตรงนั้น ทะเลาะกันว่าเจ้าน้อยกว่าหนึ่งอันข้ามากกว่าหนึ่งอัน ถ้าฟังโดยไม่รู้ความจริง คงนึกว่าซื้อผักแล้วแม่ค้าผักให้กวางตุ้งขาดไปต้นหนึ่ง
เผยซูโหดเ**้ยมยิ่งกว่า ไม่เพียงแข่งกับเฉวียนหนิงเหา ซ้ำยังแบ่งลูกน้องของตนเองเป็นสองกลุ่มแล้วสั่งให้แข่งกันด้วย กลุ่มไหนแพ้ไม่ให้ยาถอนพิษ
ตอนอยู่ในหุบเขาพวกเขาคงแข่งกันแบบนี้บ่อยครั้ง เจ้าพวกนี้รู้ทางหนีทีไล่ ทะเลาะกันว่าเจ้าน้อยกว่าหนึ่งอันข้ามากกว่าหนึ่งอัน กลุ่มหนึ่งคล้ายแพ้แล้ว ค้นหาเหยื่อที่ยังไม่สิ้นใจอย่างเดือดดาล พอหันหน้าพบเจ้าคนหนึ่งถูกทับไว้ใต้กลุ่มคนยังดิ้นรนขยุกขยิก หันมือสะบั้นมีดครั้งหนึ่ง หัวเราะฮ่าๆ ร้องว่า “ตายอีกคนหนึ่งแล้ว! เสมอกัน!”
อีกกลุ่มหนึ่งไม่พอใจ ถือมีดเดินเตร่ในกองศพ หวังค้นหาศัตรูเคราะห์ร้ายที่เล็ดลอดไปได้สักคน
ความเมินเฉยต่อชีวิตและไอสังหารของคนกลุ่มนี้ทำให้เหล่านายกองบรรดาศักดิ์ที่รอดพ้นร้อยสงครามรู้สึกหวาดระแวง อดจะถอยห่างจากพวกเขาอีกหน่อยไม่ได้ กลัวว่านิสัยบ้าคลั่งของพวกเขากำเริบขึ้นมาแล้วจะเฉือนใบหูตนเองไปด้วย
คราวนี้จิ่งเหิงปัวเพิ่งเข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงใช้ชีวิตอยู่ในหุบเขามืดมิดไร้แสงสว่างขนาดนี้ตั้งห้าปีได้ ถ้าเป็นคนธรรมดาคงซึมเศร้าใจสลายฆ่าตัวตายตั้งนานแล้ว คนเหล่านี้ยังคงฝึกฝนวรยุทธ์ไม่สูญเสียความมุ่งมั่นต่อสู้
เป็นเพราะเผยซูยังคงไม่สูญสิ้นกำลังใจแม้อยู่กลางทางตัน ยังคงกล้าหาญต่อสู้กับสวรรค์ ต่อสู้กับพิษ ต่อสู้กับทุกสิ่งบนโลกใบนี้ สู้จนไม่มีอะไรให้สู้อย่างแท้จริง เขายอมให้ตัวเองต่อสู้กับตัวเอง แต่ไม่ยอมให้ทุกคนทอดทิ้งความหวังจมดิ่งสู่บึงโคลน
คนแบบนี้คู่ควรให้เคารพนับถือ แต่ทำให้คนอื่นหวาดกลัวเช่นกัน
จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าเมื่อก่อนตัวเองตำหนิพวกเฮฮานับว่าไม่รู้ว่าความสุขอยู่รอบกายโดยแท้ เทียบกับพญามารแล้ว พวกเฮฮาใจดีมีเมตตาเหลือเกิน
แข่งนับใบหูเสร็จ เหล่านายกองบรรดาศักดิ์พ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย ดูจากสีหน้าของเหล่านายกอง จิ่งเหิงปัวคิดว่าหลังจากนี้ตลอดเส้นทาง น่าจะต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางการแข่งขันสุขสันต์งดงามไอสังหารคละคลุ้งแบบนี้แล้ว
“ให้เวลาพวกเจ้าหนึ่งเค่อ” นางกล่าวว่า “ข้าอยากให้จัดฉากการตายของคนฝูงนี้ให้มีสภาพคล้ายถูกพิษสิ้นชีพหรือสัตว์ป่ากระโจนสังหาร”
เรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กสำหรับคนกลุ่มนี้เช่นกัน หนึ่งเค่อผ่านไป เฉวียนหนิงเหากลับมารายงานว่าจัดฉากเรียบร้อยแล้ว จิ่งเหิงปัวมองสองมือที่ชุ่มโชกโลหิตของเขาแวบเดียว ตัดสินใจไม่ถามเขาแล้วว่าจัดการศพพวกนั้นอย่างไรกันแน่
นางมองอยู่ไกลๆ แวบหนึ่ง มองเสร็จรู้สึกหวาดผวา
ศพทั้งหมดถูกลากไปยังปากหุบเขาเทียนฮุย ทุกร่างถูกวางไว้ทิศทางเดียวกัน…ร่างกายอยู่ภายในหุบเขา ส่วนศีรษะหันไปทางนอกหุบเขา ศพเละเทะสะเปะสะปะ แผ่นหลังเปื้อนโคลนเลนลายพร้อย ดูท่าทางคล้ายคนเหล่านี้ถูกบางสิ่งในหุบเขาไล่กวดไล่ตาม วิ่งหนีอย่างบ้าคลั่งเพื่อหลบหนี แต่ถูกตามทันตรงปากหุบเขา ตัดศีรษะทีละคน
โคลนเลนบนแผ่นหลังคือรอยเท้าที่ ‘สัตว์ประหลาด’ เหยียบย่ำ ศีรษะของทุกคนถูกตัดทิ้ง ดูท่าทางคล้ายถูกสัตว์ยักษ์ออกแรงกระชากทิ้งไป
การจัดการแบบนี้เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนอื่นเห็นรอยตัดหูแล้วพบพิรุธ สัตว์ร้ายตัดหูอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยขนาดนั้นไม่ได้
ปากหุบเขาที่มืดครึ้ม ศพไร้ศีรษะนับไม่ถ้วนที่สะเปะสะปะ โคลนเลนคราบโลหิตทุกหนทุกแห่ง ‘รอยเท้าสัตว์ร้าย’ ที่ยากจำแนกชัดเจน ไอควันสีเทาที่ทยอยล่องลอยออกมา…ภาพฝูงนรกกัดกินทั้งเป็นภาพหนึ่ง
จิ่งเหิงปัวที่รู้ความจริงมองแวบเดียว รู้สึกขนลุกขนชันทั่วร่าง…น่าหวาดกลัวเกินไป สมจริงเกินไปแล้ว
ยากจะจินตนาการว่าคนที่ไม่รู้ความจริงมองเห็นฉากหนึ่งนี้แล้วจะรู้สึกอย่างไร เชื่อว่าหลังจากวันนี้ หุบเขาเทียนฮุยจะกลายเป็นแดนมรณะที่แท้จริง แม้ให้ผลประโยชน์มากกว่านี้ คงไม่มีใครกล้าเข้ามาอีกแล้ว