ในช่วงเวลาที่เมืองลอยฟ้ายกระดับสูงขึ้น ทางกู่ฉิงซานเองก็ผ่อนคลายลงเช่นกัน

โดยไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ซีน้อยได้มาหยุดยืนอยู่ข้างเขา ก้มลงมองฉากภายใต้ผืนฟ้า

“ในที่สุด มันก็กำลังจะออกมา” ซีน้อยกล่าวด้วยอารมณ์

“มือพวกนี้คือมอนสเตอร์ตัวนั้นเหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“ก็ไม่เชิง มือเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงผิวหนังของมัน ถ้าให้พูดชัดๆ คือมันยังคงอยู่ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น” ซีน้อยอธิบาย

กู่ฉิงซานมองเธอและกล่าว “กลับกลายเป็นว่าเธอเคยได้เผชิญหน้ากับการดำรงอยู่ระดับนั้น นี่มันยากที่จะจินตนาการจริงๆ”

ซีน้อยคิด “ตอนแรกฉันคิดว่าแมลงปีศาจเขมือบโลกาจากยุคบรรพกาลจะสามารถทำให้มันสงบลงได้ แต่สุดท้าย ใครจะรู้ว่าแท้จริงดันล้มเหลว ไม่แน่ใจว่าเทพวิญญาณยังมีกับดักอื่นเตรียมเอาไว้อีกรึเปล่า”

“ไม่ว่าเทพวิญญาณจะวางกับดักอะไรเอาไว้ แต่พวกเรายังไงก็สามารถหนีออกไปจากที่นี่ได้อยู่แล้วหรอกหรือ?” กู่ฉิงซานถาม

“ไม่ได้หรอก เพราะตอนนี้ฉันอ่อนแอเกินไป” ซีน้อยถอนหายใจ

ทั้งสองนิ่งงันไป และหันกลับไปมองตามทิศทางตลาดมืด

เห็นแค่เพียงตลอดทั้งตลาดมืดกลับมาสับสนวุ่นวายอีกครั้ง เว้นไว้แต่เพียงในส่วนควบคุมการบินของเมืองลอยฟ้า สถานที่อื่นๆ ล้วนตกอยู่ในความโกลาหล

ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ ปล้น ฆ่า ทำลายล้าง…

ผู้คนต่างกรูกันวิ่งเข้าไปตามร้านค้าราวกับคนบ้า พบเห็นสิ่งใดที่มีประโยชน์กับตัวเองก็ปล้น หากโดนขัดขวางก็เข้าปะทะแตกหักโดยตรง

บางคนก็เกิดความคิดริเริ่มที่จะแก้แค้น

การต่อสู้ผุดขึ้นทุกหนแห่ง

นับว่าโชคยังดี ที่กู่ฉิงซานเลือกสถานที่หลบซ่อนตัวเป็นสุดปลายถนน ดังนั้นที่นี่จึงไม่มีสินค้าอะไรน่าค้นหา มันจึงไม่คุ้มค่าให้มาสำรวจดู หรือมีใครมาเยือน

รับฟังเสียงโวยวายจากระยะไกล ซีน้อยอดไม่ได้ต้องกล่าว “เห็นได้ชัดว่านี่คือสถานการณ์สิ้นหวัง แล้วทำไมพวกเขายังต้องมาทำอะไรแบบนี้อีก?”

กู่ฉิงซานมองเธอและเอ่ยถาม “ก่อนหน้านี้ ย้อนกลับไปในช่วงที่เธอยังไม่ถูกผนึก เธอคงแทบจะไม่ได้ติดต่อกับมนุษย์เลยสินะ?”

“ใช่ นอกเหนือไปจากการต่อสู้กับมอนสเตอร์แล้ว ฉันก็หลับอย่างเดียวเลย…” ซีน้อยเฝ้ามองการต่อสู้เข่นฆ่าที่ผุดขึ้นมาไม่หยุดหย่อนในตลาดมืด ปากเอ่ยถาม “ทำไมพวกเขาถึงได้เป็นบ้ากันไปหมด”

กู่ฉิงซาน “ไม่เชิงว่าบ้า แต่นี่คือธรรมชาติของทุกสิ่งมีชีวิต”

“ธรรมชาติของทุกสิ่งมีชีวิต?” ซีน้อยไม่เข้าใจ “เมื่อต้องตกอยู่ท่ามกลางห้วงแห่งความสิ้นหวัง ทุกสิ่งมีชีวิตจะเกิดการเปลี่ยนแปลงนิสัยของพวกเขาหรือ?”

“มันไม่ใช่นิสัยที่เปลี่ยนแปลง แต่นี่คือนิสัยที่แท้จริงของพวกเขาเลยต่างหาก แต่สิ่งเหล่านี้มันถูกสะกดข่มเอาไว้ตลอดเวลา ทว่ายิ่งมีความแข็งแกร่งมากเท่าใด สิ่งที่คอยสะกดข่มนิสัยเหล่านี้ก็จะยิ่งบางเบาลง”

กู่ฉิงซานกล่าวจบ ก็นำบางสิ่งออกมาจากเบื้องหลัง

เป็นหม้อ

เครื่องปรุงรส และส่วนผสมต่างๆ วางเรียงรายบนโต๊ะ

เขาจีบออกด้วยวิชาลับ ล้างหม้อด้วยน้ำจากในอากาศ และเริ่มจัดการกับส่วนผสม

ซีน้อยเฝ้ามองด้วยความประหลาดใจ “นี่นายกำลังจะทำอะไร?”

“ก็กำลังจะทำหนึ่งในกิจวัตรตามธรรมชาติที่ทุกสิ่งมีชีวิตพึงกระทำ” กู่ฉิงซานตอบ

ตั้งแต่ที่เข้ามายังดินแดนชิงอำนาจ เขายังไม่ได้กินอาหารร้อนๆ สดใหม่เลยสักคำเดียว แน่นอน ว่าอาหารรสขมฝาดจากในร้านเมื่อครู่นี้ย่อมไม่นับ

การขยับกายเคลื่อนไหวของเขาเป็นไปอย่างรวดเร็ว และในไม่ช้า เขาก็เตรียมอาหารได้ถึงสองสามจาน และหม้อซุป

“ในเมื่อตอนนี้ไม่สามารถรับมือกับศัตรูเลย งั้นฉันจะขอกินอะไรสักอย่างก่อน เพิ่มพูนพลังงาน แล้วค่อยมาคิดเกี่ยวกับมันอีกครั้ง” กู่ฉิงซานกล่าว

ซีน้อยมองอาหารในจานของเขา ขยับจมูกฟุดฟิด สีหน้าแสดงออกถึงความอิจฉา

“นายสามารถกินทั้งหมดนี้ได้ด้วยตัวคนเดียวเลยเหรอ?” เธอถาม

“แน่นอนว่าไม่ เพราะงั้น เธอต้องมากินกับฉัน”

แล้วกู่ฉิงซานก็บอกให้เธอนั่งลง

ในช่วงเวลานี้ ซีน้อยดูค่อนข้างอึดอัดนิดหน่อย

“เกิดอะไรขึ้น?” กู่ฉิงซานเห็นเธอทำท่าทีผิดปกติ จึงเหล่ตาถาม

ซีน้อยลังเล “ฉันบางทีฉันอาจจะไม่เหมาะกับอะไรแบบนี้

กู่ฉิงซานประหลาดใจ “มันก็แค่การกินอาหารนี่ มันจะไม่เหมาะกับเธอได้ยังไง?”

คู่ดวงตาของซีน้อยจดจ่ออยู่กับจานอาหาร เอ่ยปากกล่าวกับเขาเบาๆ “เพราะเทพวิญญาณบอกฉันว่า ชีวิตของฉันมีเพียงสองสิ่งเท่านั้น นั่นคือการต่อสู้และหลับใหล”

“การต่อสู้คือการล้างบางความชั่วร้าย ขณะที่การนอนหลับสามารถช่วยฟื้นฟูความแข็งแกร่ง”

“นอกเหนือไปจากนั้น ฉันก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีกเลย เพราะทุกสิ่งจากที่กล่าวมา ล้วนทำให้ตัวฉันเสื่อมถอยลง”

กู่ฉิงซานเงียบไปพักหนึ่งค่อยเอ่ยถาม “หมายความว่าเธอยังไม่เคยกินอาหารมาก่อนเลยใช่ไหม?”

“ใช่”

“งั้นแสดงว่านอกจากการต่อสู้ กับการนอน เธอไม่เคยทำอย่างอื่นเลยเหรอ?”

“ไม่…ความจริงแล้วในตอนที่ฉันค่อยๆ เริ่มสังเกตโลก ฉันก็เริ่มรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง”

“มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไป?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

ซีน้อยกล่าว “ฉันเริ่มคิดว่าตัวเองก็น่าจะสามารถให้ความสนใจในบางสิ่งบางอย่างได้เหมือนกันนะ”

กู่ฉิงซาน “ตัวอย่างเช่น?”

ซีน้อยหยิบไพ่ใบหนึ่งออกมา แล้วยื่นมันให้แก่กู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานรับมัน และมองดูไพ่

บนหน้าไพ่ เป็นช่อดอกไม้สีชมพูสดใส

เขาสะบัดไพ่อย่างอ่อนโยน

ปรากฏช่อดอกไม้สีชมพูที่ส่งกลิ่นหอมจางๆ ขึ้นในมือของเขา

“อา มันสวยงามมากจริงๆ” กู่ฉิงซานถอนหายใจ

เขายื่นช่อดอกไม้ให้ซีน้อย

ซีน้อยถือช่อดอกไม้ สูดดมมันเบาๆ ไม่กี่ครั้ง รอยยิ้มก็ค่อยๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าเธอ

“มีอยู่ครั้งหนึ่ง ช่วงเวลาที่ฉันพึ่งจะทำลายบาปในโลกใบหนึ่งลงไป ขณะที่กำลังจะออกจากโลกใบนี้ ฉันก็บังเอิญไปค้นพบดอกไม้พวกนี้ แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ฉันถึงได้เก็บรวบรวมมันมา”

“นับตั้งแต่ครั้งนั้น ทุกครั้งที่ฉันออกไปกำจัดบาปในโลกต่างๆ ฉันก็มักจะมองหาดอกไม้ และคอยเก็บรวบรวมมัน”

“เทพวิญญาณได้ค้นพบพฤติกรรมของฉัน พวกเขารู้สึกว่ามันแปลกมากๆ เลยเอ่ยถามว่าทำไมฉันถึงได้ทำแบบนั้น”

“แล้วเธอตอบกลับไปว่ายังไง” กู่ฉิงซานถาม

ซีน้อยเอ่ยพลางนึกย้อนคืนความทรงจำ “ฉันพูดว่า ฉันรักดอกไม้เหล่านี้ และรู้สึกสุขที่ได้ท่องไปตามโลกต่างๆ”

“นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ทัศนคติของเทพวิญญาณที่มีต่อฉันก็ได้เกิดเปลี่ยนแปลงไป”

กู่ฉิงซาน “เปลี่ยนไปยังไง?”

“พวกเขาดูเหมือนว่าจะหลบหน้าฉัน แต่เห็นได้ชัดว่ามีนางฟ้าบางคนก็ชมชอบดอกไม้เหมือนกัน แต่ทำไมฉันถึงชอบมันไม่ได้?” ซีน้อยถามด้วยความสับสน

เมื่อต้องเผชิญกับคู่ดวงตาที่กระจ่างใสและไร้เดียงสาของเธอ กู่ฉิงซานก็นึกคำพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง

ซีน้อยเลยกล่าวต่อ “หลังจากนั้น เทพวิญญาณก็ให้ฉันเดินทางเข้าสู่โลกใบนี้ และต่อสู้กับมอนสเตอร์ใต้พิภพ ในตอนที่ฉันทุ่มสุดกำลังจนสามารถผนึกมอนสเตอร์ได้ เทพวิญญาณก็ปรากฏตัวขึ้น”

“พวกเขาผนึกฉัน แล้วฉันก็จมลงสู่ห้วงหลับลึก จนกระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้”

กู่ฉิงซาน “พวกเราลองย้อนกลับไปที่คำถามก่อนหน้ากันดีกว่า การที่เทพวิญญาณไม่อนุญาตให้เธอทำสิ่งอื่นๆนอกเหนือไปจากการต่อสู้และหลับใหล ถ้างั้นพวกเขากินอาหารกันบ้างรึเปล่า?”

“กินสิ เทพวิญญาณน่ะชอบจัดงานเลี้ยง” ซีน้อยคล้ายจดจำได้ถึงบางสิ่ง สีหน้าเผยร่องรอยของความอิจฉา

กู่ฉิงซานยิ้มอย่างเงียบๆ

เขาเริ่มตักซุปด้วยตัวเอง ใส่ชาม และค่อยๆ ว่างลงเบาๆ เบื้องหน้าของซีน้อย

“ลองชิมดูสิ”

ซีน้อยกล่าวด้วยความกังวล “แต่ฉันไม่เคยดื่มอะไรแบบนี้เลย”

กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฉันรับรองว่าซุปที่ฉันทำ มันคุ้มค่าให้เธอลอง”

ซีน้อยจ้องมองเขา

เขาพยักหน้า

ซีน้อยสูดหายใจลึก เอ่ยกับตัวเอง “ในความเป็นจริงแล้ว ฉันมักจะเกิดความสงสัย อยากรู้อยากเห็นอยู่เสมอว่าการกินอาหารนี่มันจะให้ความรู้สึกยังไงกันนะ”

เธอใช้สองมือประคองชามขึ้น ประกบริมฝีปากลงตรงขอบชาม ค่อยๆ จิบมันอย่างระมัดระวัง

“รสชาติเป็นยังไง?” กู่ฉิงซานถาม

เวลานี้ เขาค้นพบว่าตนเองกำลังประหม่าเล็กน้อย

ความรู้สึกนี้ มันเป็นครั้งแรกเลยที่เกิดขึ้นในรอบหลายปี ที่เขาแสดงออกมา

ซีน้อยนิ่งงันไปพักหนึ่ง

เธอก้มหน้าลง และลูบตา

“ฉัน…ไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกนี้ยังไงดี”

เธอเปล่งเสียงกระซิบ สองมือกุมชามแล้วยกขึ้นซดอีกที

…………………….