ตอนที่ 285 จนตรอกจนจำต้องกลับกลอก

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

— ขวับ! —

กรงเล็บอันแหลมคมของอู๋ตี้ข่วนร่างของเขาอย่างไม่เกรงใจ

“เพลิงเผาสวรรค์!” เปลวไฟสีแดงเข้มพุ่งออกมา เสี่ยวหงกล่าวว่า “ตาเฒ่า เจ้ามัวแต่ยืนทื่ออยู่ทำไมเล่า ? รีบลงมือเร็วเข้า!”

เจ้าสำนักซวนปิงกัดฟันแน่น จำใจต้องลงมือต่อสู้กับผู้อาวุโสสำนักระดับหนึ่งอย่างสำนักอวิ๋นเยียนที่อยู่ตรงหน้า

— ปัง! —

ผู้อาวุโสถูกปิดล้อมโดยการรุมโจมตี เขามองเจ้าสำนักซวนปิงด้วยสีหน้าตะลึงงัน “จักรพรรดิแห่งภูตระดับสูงสุด เป็นไปได้อย่างไรกัน ?!”

หากเขามีความแข็งแกร่งถึงระดับนี้ เขาก็คงจะไม่ใช่เจ้าสำนักครึ่งระดับแล้ว อย่างน้อยก็มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นผู้อาวุโสแห่งสำนักอวิ๋นเยียน

นี่เป็นสิ่งที่เขาทุ่มเทไปเพื่อให้ได้มา แต่ก็มีขีดจำกัดอยู่เช่นกัน

ผู้อาวุโสสำนักอวิ๋นเยียนกล่าวอย่างมีอารมณ์ “เจ้าชักจะล่วงเกินข้าเกินไปแล้ว!”

ผู้อาวุโสต้องเผชิญหน้าต่อสู้กับคนที่มีพลังวิญาณระดับเดียวกัน อีกทั้งยังมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์สองตัวที่มีความแข็งแกร่งอย่างประหลาดคอยลอบทำร้ายภายในชั่วพริบตาเดียวจนเขาตั้งรับไว้ไม่ทัน

— ตูม! —

ถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงผู้อาวุโสของสำนักระดับหนึ่ง สถานะนี้ใช่ว่าจะกระจอกเสียที่ไหนกัน

เขากล่าวเสียงเย็นชา “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าจะใช้อุบายเล่ห์กลอันใดที่ทำให้มีพลังแข็งแกร่งเช่นนี้ได้ แต่เจ้าเป็นเพียงแค่เจ้าสำนักครึ่งระดับ ความห่างไกลของเรามันต่างชั้นกันมากนัก เจ้าอย่าได้คิดเทียบ!”

ทันใดนั้นกระบี่เล่มมหึมาปรากฏอยู่ต่อหน้าผู้อาวุโส และกลิ่นอายที่อันตรายก็แผ่กระจายออกมาบริเวณรอบ ๆ

กระบี่เล่มมหึมาหล่นลงมากลางอากาศ “เถิงหลงสังหาร!”

สีหน้าของเจ้าสำนักซวนปิงพลันเปลี่ยนไปในทันที อากาศบริเวณรอบ ๆ ทำให้เย็นยะเยือกและทำให้เกิดผลึกน้ำแข็งหนึ่งชั้นขึ้น

กระบี่เล่มมหึมานั้นแข็งแกร่งไม่ธรรมดาเลย พลังความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสผู้นี้เรียกได้ว่าของจริง  ไม่เหมือนเขาที่บีบบังคับให้เลื่อนระดับความแข็งแกร่งขึ้นมา

เวลานี้ต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีที่รุนแรง ไม่รู้ว่าจะต้านทานเอาไว้ได้หรือไม่!

— ตูม!  ตูม!  ตูม! —

— แกร๊ก! —

หลังจากที่เสียงการโจมตีดังสนั่นขึ้น เสียงของผลึกน้ำแข็งนั้นก็แตกกระจายออกไป

ผู้อาวุโสกล่าวอย่างเย็นชา “สมน้ำหน้า กล้าบังอาจคิดลงมือกับข้า!”

เงาร่างสองร่างพรวดเข้าหาผู้อาวุโสอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าฟาด “ตาเฒ่าหัวหงอกเอ๋ย… อย่าลืมสิว่ายังมีพวกข้าอยู่”

มู่เฉียนซีที่อยู่นอกวงล้อมของการต่อสู้ นางเคลื่อนไหวด้วยมือเปล่า เข็มยาและระเบิดพิษจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกไป

— ฟึ่บ!  ฟึ่บ!  ฟึ่บ! —

ภายใต้การโจมตีด้วยพิษนับไม่ถ้วนราวห่าฝนเช่นนี้ ทำให้ผู้อาวุโสยากที่จะหลบหลีกและต่อต้าน  สายตาของเขาจับจ้องไปที่หญิงสาวชุดม่วง ม่านตาสีดำนั้นหดลงทันที “ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง เจ้าเด็กบัดซบ!”

“เจ้าเป็นคนฆ่าเอี้ยนเอ๋อร์!”

แม้ผู้อาวุโสแห่งสำนักอวิ๋นเยียนจะกล่าวไปเช่นนั้น เขาก็ยังคงรู้สึกสับสนงุนงงเป็นอย่างมาก  สภาวะความแข็งแกร่งของเด็กสาวมู่เฉียนซีผู้นี้ในตอนนี้นั้น ไม่น่าจะลงมือฆ่าสังหารฉื่อเอี้ยนได้

มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ผู้ที่ฆ่าศิษย์ของท่านไม่ใช่ข้า แต่ศิษย์ของท่านคิดฉวยโอกาสในตอนที่ผู้อื่นกำลังตกอยู่ในอันตราย ตายไปเช่นนั้นก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว  และท่านเป็นผู้ที่ขโมยผลึกดอกบัวหัวใจศักดิ์สิทธิ์ของข้าไป ควรเอามันคืนมาให้ข้า”

ผลึกดอกบัวหัวใจศักดิ์สิทธิ์มีผลต่อชีวิตของท่านอามาก และชิงอิ่งเป็นผู้ที่เสี่ยงชีวิตต่อสู้กับอสรพิษสามหัวนั่นจนต้องหลับใหลไปเช่นนี้ นางไม่มีทางยอมให้ผู้อาวุโสผู้นี้ฉวยเอาไปได้ง่าย ๆ เป็นแน่

ผู้อาวุโสบันดาลโทสะเกรี้ยวโกรธอย่างเต็มที่ เขากล่าวขึ้น “เจ้าเป็นเพียงปรมาจารย์ภูตกระจอก ๆ คิดจะแย่งผลึกดอกบัวหัวใจศักดิ์สิทธิ์ไปจากข้ารึ ?!  เหอะ! ฝันไปเถอะ”

มู่เฉียนซี “เจ้าสำนักซวนปิง เจ้าทำการไม่สำเร็จ ทำให้ข้าโกรธยิ่งนัก”

ถึงอย่างไรแล้วเจ้าสำนักซวนปิงก็มีพลังที่แข็งแกร่งเช่นนั้นอยู่ในมือ เขาไม่ถูกผู้อาวุโสฆ่าตายอย่างแน่นอน และเมื่อถูกมู่เฉียนซีเอ่ยนามเช่นนี้แล้ว เขาก็จำต้องลงมือกับผู้อาวุโสสำนักอวิ๋นเยียนอีกครั้ง

— ตูม!  ตูม!  ตูม! —

ป้องกันการโจมตีของเจ้าสำนักซวนปิงไว้ได้  ทว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองตัวนี้กลับรับมือได้ยากนัก อีกทั้งเด็กสาวผู้นั้นยังลอบโจมตีด้วยพิษ  ทำให้ผู้อาวุโสอึดอัดอย่างมิอาจเปรียบได้

ผู้อาวุโสสำนักอวิ๋นเยียน “เจ้าสำนักซวนปิง ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าถึงต้องช่วยเด็กสตรีผู้นี้ แต่หากตอนนี้เจ้าร่วมมือกับข้าจัดการกับนาง ข้ายินดีช่วยเหลือเจ้าทุกอย่างทุกประการ และสำนักอวิ๋นเยียนของพวกข้าก็จะสนับสนุนให้สำนักเจ้าเป็นสำนักระดับหนึ่งในเซี่ยโจวให้ได้”

ผู้อาวุโสรู้ดีว่าการต่อสู้เช่นนี้ไม่เอื้ออำนวยต่อเขาเลย ดังนั้นเขาจึงหลอกล่อเหยื่อเพื่อให้เจ้าสำนักซวนปิงมาเป็นพรรคพวกเดียวกัน

เจ้าสำนักซวนปิงลอบคิดว่าหากรอให้เด็กสาวผู้นี้จัดการกับผู้อาวุโสของสำนักอวิ๋นเยียนสำเร็จ ต่อไปนางก็จะต้องลงมือสังหารเขาอย่างเลือดเย็นแน่นอน

หากร่วมมือกับผู้อาวุโสสำนักอวิ๋นเยียนเขาอาจจะมีโอกาสรอดก็เป็นได้ เขาไม่เชื่อคำพูดของเจ้าเด็กสตรีโอหังนั่น  สำนักอวิ๋นเยียนต้องมียาแก้พิษให้เขาเป็นแน่

ทันใดนั้นเอง ผู้เฒ่าทั้งสองต่างก็ตกที่นั่งลำบาก สุดท้ายร่วมมือกันพุ่งเข้าใส่มู่เฉียนซี

ผู้อาวุโสแห่งสำนักอวิ๋นเยียนเห็นว่าเจ้าสำนักซวนปิงแปรเปลี่ยนมาอยู่ฝ่ายเดียวกับตน เขารีบกล่าวอย่างดุร้ายในทันใด “เจ้าเด็กน้อยเอ๋ย ฮ่า ๆ ๆ ตัวคนเดียวแล้วเจ้าเห็นไหม ? เจ้าคิดจะแย่งสมุนไพรวิญญาณระดับปฐพีไปจากข้า รอชาติหน้าเถอะ!”

เจ้าสำนักซวนปิง “เจ้าเด็กบัดซบ! เจ้าคิดว่าเจ้าจะควบคุมข้าได้ด้วยพิษรึ ? ช่างไร้เดียงสายิ่งนัก!”

เมื่ออู๋ตี้และเสี่ยวหงเห็นตาเฒ่าหัวหงอกทั้งสองรุมมู่เฉียนซี ทั้งสองก็ร้อนรนเป็นอย่างมาก

ร่างที่น่ารักและงดงามของอู๋ตี๋พลันทะยานขึ้นสู่จุดที่น่ากลัวที่สุด อู๋ตี๋ตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว “ร่างมหึมาทำลายฟ้ามลายโลก!”

ทันใดนั้นเอง ร่างอันมหึมาราวกับภูเขาพุ่งเข้าใส่และกดทับผู้อาวุโสแห่งสำนักอวิ๋นเยียน เมื่อเผชิญหน้ากับพลังอันมหาศาลนี้ ผู้อาวุโสแห่งสำนักอวิ๋นเยียนที่มีพลังจักรพรรดิแห่งภูตระดับสูงสุดก็มิอาจต้านทานเอาไว้ได้

“พรวด!”

เขากระอักเลือดคำโต ดวงตาพร่ามัวเพราะความเจ็บปวดเหลือจะทานทน เจ้าแมวบ้าตัวนั้นมันเป็นตัวอะไรกันแน่ ?! เหตุใดถึงได้แปลงร่างใหญ่มหึมาเช่นนี้ได้ ?

“อ่า!” ตัวช่วยของตนเองถูกโจมตียับเยินเช่นนี้เข้า เจ้าสำนักอวิ๋นเยียนตกตะลึงไปชั่วครู่

ขาดสหายร่วมรบไปหนึ่งคน การต่อสู้กับมู่เฉียนซีเพียงลำพังเช่นนี้มีแต่ย่ำแย่  เขาจำต้องยิงธนูออกไป กลิ่นอายแห่งความหนาวเหน็บกระจายไปทั่วบริเวณรอบ ๆ

มู่เฉียนซีแค่นเสียงเย็นชา “เจ้าสำนักซวนปิง เจ้าโดนยาพิษข้าแต่กลับใจกล้าหน้าไม่อายแปรพักต์ไปร่วมมือกับศัตรูมาต่อสู้ข้า ต้องบอกเลยว่าเจ้าเป็นผู้กล้าหาญที่แท้จริง”

เจ้าสำนักซวนปิง “เจ้าเด็กร้าย อย่ามาขู่ให้ข้ากลัวเลย ตราบใดที่ข้าฆ่าเจ้าได้ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะหายาแก้พิษในแหวนมิติของเจ้าไม่เจอ”

กล่าวจบ เขาก็ยกกระบี่โจมตีมู่เฉียนซีทันที แต่เขายังไม่ทันได้ย่างเท้าออกมา พลันรู้สึกชาไปทั่วทั้งร่างกาย และรู้สึกเหมือนมีแมลงนับไม่ถ้วนวิ่งผ่านกระดูกภายในตัวเขาเอง

“อ๊าก!”

เสียงกรีดร้องอย่างน่าสังเวชดังลั่นขึ้น สีหน้าของเจ้าสำนักซวนปิงเปลี่ยนกลายเป็นม่วงเข้มอย่างเห็นได้ชัด เขากลิ้งไปมาด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว ไม่อาจต่อสู้อะไรกับมู่เฉียนซีได้อีกแล้ว

เสี่ยวหงเย้ยหยันทันที “นายท่านพูดถูก ตาเฒ่าผู้นี้เป็นผู้กล้าหาญที่แท้จริง กล้าหาญจนตัวจะตาย ฮ่า ๆ ๆ!”

มู่เฉียนซี “อู๋ตี้ ปล่อยตาเฒ่านั่นได้แล้ว ปล่อยให้เขาได้ลิ้มรสของลมหายใจเฮือกสุดท้าย”

นางเงยหน้าขึ้นมองแมวยักษ์ตรงหน้า  รู้สึกแปลกตาอย่างมาก เดิมทีร่างของอู๋ตี้นั้นเล็กเพียงอุ้งมือ ทว่าตอนนี้กลับกายเป็นร่างขนาดเท่าภูเขาก็มิปาน

แต่เสี่ยวหงเห็นรูปร่างของอู๋ตี้เช่นนี้แล้วก็หัวเราะชอบใจ “ฮ่า ๆ ๆ! เจ้าแมวบ้า เจ้าอ้วนมากแล้ว  เจ้าอ้วน!  เจ้าอ้วน!”

— ปัง! —

อู๋ตี๋เหยียบลงบนพื้นพร้อมทั้งกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “เจ้าหมูขี้เกียจ สมควรตายยิ่งนัก! ข้าอู๋ตี้ผู้ไร้เทียมทานในใต้หล้าอ้วนแล้วหนักหัวเจ้าหรืออย่างไรเล่า ?! เจ้ารนหาที่ตายรึ ?”

ถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งของทั้งสองจะเท่าเทียมกัน แต่สถานะของอู๋ตี้ในตอนนี้เป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสาม ดังนั้นเสี่ยวหงจึงต้องตกอยู่ในโศกนาฏกรรม!

“อ๊าก! นายท่านช่วยข้าด้วย เจ้าแมวอ้วนจะฆ่าข้า”

มู่เฉียนซีส่ายหน้าให้กับการทะเลาะกันของสัตว์ทั้งสอง  นางเดินไปตรงหน้าผู้อาวุโสสำนักอวิ๋นเยียนที่นอนเจ็บอยู่ เขาจับแหวนมิติเอาไว้แน่น

“เจ้าจะฆ่าข้าไม่ได้ แหวนมิติของข้าประทับพลังวิญญาณของข้าอยู่ หากข้าไม่สัมผัสมัน เจ้าก็ไม่อาจเอาผลึกดอกบัวหัวใจศักดิ์สิทธิ์ไปได้!”

.