บทที่ 139 หลายสิบปีผ่านไปราวกับฝัน

ท่องภพสยบหล้า

บทที่ 139 หลายสิบปีผ่านไปราวกับฝัน
สำนักเต๋าเมืองเฟิงหลิน

ก่อนหน้าจะเกิดพสุธาแยก ต่งเออกำลังอยู่ในห้องหลอมยาของซ่งฉีฟาง

เจ้าสำนักหลักกับรองสองคน กำลังถกเถียงเรื่องตำรับยาโบราณอย่างไม่หยุดไม่หย่อน

ในสายหลอมยาลูกกลอน ซ่งฉีฟางแน่นอนว่าลึกล้ำซาบซึ้งกว่า แต่ต่งเออเองก็มีความรู้ลึกซึ้ง มองเห็นภาพที่ซ่งฉีฟางมองไม่เห็น

ตอนที่ความเห็นของทั้งสองคนขัดแย้งกัน ใครก็โน้มน้าวอีกฝ่ายลงไม่ได้

“ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ ไม่อนุญาตให้ทดลองยากับศิษย์สำนักเต๋าเด็ดขาด” ต่งเออเอ่ยขึ้นแข็งกร้าว

วันนี้ซ่งฉีฟางเชิญเขามาเป็นพิเศษ เพื่อหารือเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของตำรับยาโบราณนี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังเสนอถึงการจัดศิษย์มาทดลองตัวยาด้วย แต่กลับถูกต่งเออปฏิเสธอย่างเด็ดขาด

“ตำรับยาลูกกลอนนี้หากกู้คืนมาได้สำเร็จ จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสำนักเต๋าเรามหาศาล!” ซ่งฉีฟางเอ่ยขึ้น “ยาลูกกลอนนี้ไม่มีพิษแน่นอน ข้ารับประกันได้ ต่อให้กินผิดเข้าไป อย่างมากก็แค่ท้องเสียไม่กี่วัน”

“ท่านเอาอะไรมารับประกัน”

พอถูกสงสัยในด้านที่ตนเองถนัดมากที่สุด ซ่งฉีฟางที่อารมณ์ดีอยู่ตลอดก็ยังต้องเป่าหนวดถลึงตา “เอาประสบการณ์หลอมยาอันยาวนานของข้าเป็นประกันเลย! เอา…”

ตอนนี้เอง พสุธาแยกครั้งที่หนึ่งก็เกิดขึ้น

ทั้งสองคนตกตะลึงพร้อมกัน

ตูม!

ในห้อง ใต้หม้อหลอมยาลูกกลอน ไฟที่เผาอุ่นๆ มาโดยตลอดจู่ๆ ก็พุ่งออกมา กลายเป็นพยัคฆ์เพลิงตัวหนึ่ง โถมเข้าหาต่งเออ!

โอกาสเหมาะเหม็งขนาดนี้ ทั้งหมดถูกวางแผนไว้แล้วล่วงหน้า

ใบหน้าซ่งฉีฟางไม่ได้ดูโมโหร้อนรนอีกแล้ว ท่าทีก็ไม่ได้ดูแก่ชราเลย สะบัดแส้หางม้าในมือ สายใยนับพันนับหมื่นราวใยแมงมุม ปิดผนึกทั่วทั้งห้องหลอมยาเอาไว้ในพริบตา

พลังของเขาไม่ใช่พลังบำเพ็ญระดับผ่านสวรรค์ เห็นได้ชัดว่าเปิดประตูฟ้าดินไปแล้วเสียด้วยซ้ำ!

ต่งเออกลับไม่ตกอกตกใจ บนมือมีแสงมรกตคลุมไว้ กดพยัคฆ์เพลิงตัวนั้นด้วยมือข้างเดียว ยัดกลับเข้าไปในเตาหลอม

ธาตุไม้ถูกธาตุไฟข่ม แต่ภายใต้พลังที่สะกดอย่างเด็ดขาด มันไม่มีความหมายอะไรเลย

มืออีกข้างมีแสงมรกตพันรัดเช่นกัน เพียงแค่วาดเบาๆ ก็ตัดเส้นใยออกจนหมด จากนั้นยื่นมือเข้าไปคว้าคอซ่งฉีฟางไว้ จัดการสลายพลังรากเต๋าที่เขาควบรวมในร่างกายไปจนหมด

“ทำไมเจ้าถึงไม่โดนผลจากธูปพิษของข้า” ซ่งฉีฟางตกตะลึงประหลาดใจ “เจ้าเตรียมป้องกันข้าไว้หรือ”

เขาเชิญต่งเออมานั่งอยู่นานสองนาน ไม่ใช่เพื่อมารอการลอบโจมตี

ในห้องหลอมยาจุดธูปพิษเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว อาการพิษของมันเพียงพอที่จะกัดกร่อนผู้ฝึกตนระดับอวัยวะภายในได้

ธูปพิษดอกนี้มีมูลค่ามหาศาล และเป็นแต้มต่อที่ใหญ่ที่สุดของซ่งฉีฟาง

ทว่าต่งเออมีอาการติดพิษเสียที่ไหน

คนผู้นี้ข่มซ่งฉีฟางลงอย่างง่ายดาย เอ่ยขึ้นเสียงเย็นชา “ลำพังแค่เจ้า ข้าถึงกับต้องป้องกันด้วยหรือ”

“แค่กๆ! เจ้าคิดว่าข้ายอมหรือไร” ซ่งฉีฟางดิ้นรนสำลักออกมาหลายครั้ง จู่ๆ ก็ฮึกเหิมขึ้นมา “ข้าอุทิศตัวให้รัฐจวงมาทั้งชีวิต! แล้วทำไมจึงไม่ให้ทรัพยากรที่ข้าควรจะได้มา แต่ให้ข้าต้องวนเวียนอยู่หน้าประตูฟ้าดินอยู่นับวันนับเดือนนับปี! ข้า…”

กล่องเสียงถูกบีบจนกระจุยไปพร้อมกับเสียงที่ยังไม่ทันจะได้เปล่งออกมา

ต่งเออเปิดฝาหม้อหลอมยาออก โยนศพของเขาเข้าไปด้านใน

ซ่งฉีฟางน่าจะยังคิดระบายความโกรธแค้นของเขา ความไม่ยินยอม อธิบายว่าทำไมจึงเลือกสำนักกระดูกขาว เพราะอะไรจึงทรยศรัฐจวง…ในนี้จะต้องมีความพัวพันกับความทุกข์ทรมานตลอดชีวิตของเขาอยู่เป็นแน่

แต่ต่งเออไม่อยากฟัง

จัดการซ่งฉีฟางลงอย่างง่ายดาย สีหน้าของต่งเออยังคงเคร่งขรึม

เขาจินตนาการได้ ว่าเมืองเฟิงหลินเวลานี้จะมีภาพน่าเวทนาเพียงไหน

และเขาเองยังได้ยิน ความลนลานทำอะไรไม่ถูกของเหล่าศิษย์ในสำนักเต๋า

เขาได้ยินเสียงคนตะโกนร้อง

“ช่วยด้วย!”

“ไปช่วยคนเร็ว!”

และยังมีเสียงคร่ำครวญ

“เจ้าสำนัก! เจ้าสำนัก! เจ้าสำนักท่านอยู่ที่ไหน”

เขาเข้าใจในตัวนักเรียนกับอาจารย์ทุกคนในสำนักเต๋า เข้าใจถึงพลังและนิสัย

เขากระทั่งกำลังจินตนาการ ว่าตอนที่เผชิญหน้ากับภัยพิบัติเช่นนี้ เจียงวั่งจะทำอย่างไร หลิงเหอจะทำอย่างไร หวงอาจ้านจะทำอย่างไร เซียวหน้าเหล็กจะทำอย่างไร…

แน่นอนว่าเขาได้ยินเสียงคำรามด้วยความโกรธของเว่ยชวี่จี๋ สัมผัสได้ถึงความสิ้นหวังของเมืองทั้งเมือง

แต่เขากลับนั่งนิ่งไม่ไหวติง

เขาไม่ได้ออกไป

ด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองเฟิงหลิน จากตำบลตู้เจียไปทางตะวันตก ในที่สุดก็มาถึงชายแดนเขตเมืองเฟิงหลิน

ผู้พิทักษ์หลี่ทุ่มกำลังที่เหลือทั้งหมด ส่งตัวฟางเฮ่อหลิงออกมานอกเขต

ในการฝ่าวงล้อมก่อนหน้า พวกเขาพบกับการขัดขวางของสำนักกระดูกขาว ผู้พิทักษ์หลี่สู้อย่างเต็มที่จนบาดเจ็บหนักถึงจัดการคู่ต่อสู้ลงได้

ฝืนมาได้จนถึงตอนนี้ ในที่สุดก็เสร็จสิ้นงานที่สหายเก่ามอบมาได้เสียที เขาล้มพับลงไปที่พื้นอย่างอ่อนแรง

“ลุงหลี่!” ฟางเฮ่อหลิงคุกเข่าลงกับพื้นตะโกนก้อง คั่นกลางด้วยลายค่ายกลที่ชัดขึ้นเรื่อยๆ

กระทั่งมีน้ำตาจริงๆ หลั่งออกมา

ไม่ใช่เพราะความรู้สึกที่ลึกซึ้งต่อผู้พิทักษ์หลี่ของเขาแต่เดิมที ทว่าเวลานี้ ผู้พิทักษ์หลี่เป็นที่พึ่งพาเดียวของเขา เป็นสิ่งค้ำจุนจิตใจที่เหลืออยู่

บิดาของเขาตายแล้ว ตระกูลฟางก็จบสิ้นแล้ว ทั่วทั้งเมืองเฟิงหลินก็ไม่เหลืออะไรอีก เขาเองก็ไม่เหลืออะไรอีกเหมือนกัน

แต่ทว่าอาการคร่ำครวญของเขา กลับแลกมาได้เพียงเสมหะอันข้นเหนียว

“ถุด!”

ผู้พิทักษ์หลี่อ้าปากด่ากราด “เจ้าคนไม่ได้เรื่อง! ในที่สุดพอใกล้ตาย ข้าก็สามารถด่าเจ้าได้เสียที พ่อเจ้าไม่ยอมให้ข้าด่า บอกว่าเจ้าทนแรงกดดันไม่ได้ ให้ข้าเอาคำสบถเก็บเข้าโลงศพไปด้วย”

เขาหอบหายใจ เสียงอ่อนแอลงทุกขณะ “ให้ตายเถอะ เจ้านี่มันช่างโง่เขลา ปัญญาอ่อน ขยะกากเดน…”

ด่าจนท้ายสุดก็สิ้นเสียงไป

ทว่าทุกถ้อยทุกคำ กลับเหมือนดาบเหมือนค้อน ทุบซัดเข้าไปที่กลางใจ

ท้องฟ้าเมืองเฟิงหลิน

เว่ยเหยี่ยนกับเสิ่นหนานชีสู้จนตัวตาย ภายใต้การเปิดศึกเต็มกำลังของจางหลินชวน ลู่เหยี่ยนจึงไม่ถูกรบกวนการควบคุมค่ายกลยักษ์

สำนักกระดูกขาวเตรียมตัวเพื่อวันนี้มานับสิบปี เตรียมการมาตั้งแต่ที่เว่ยชวี่จี๋ยังไม่ทันมาถึงเมืองเฟิงหลิน

แน่นอนว่าได้รับการช่วยเหลือจากซ่งฉีฟางด้วย ทั้งหมดล้วนดำเนินการอย่างเงียบๆ

บ่มปลูกไว้หลายปี วันนี้ก็ถึงเวลาเก็บเกี่ยวแล้ว

โอวหยางเลี่ยไปอาละวาดในรัฐอวิ๋นเป็นเพียงแค่หน้าฉากเท่านั้น ทำเพื่อให้คนมองข้ามการคุกคามของสำนักกระดูกขาวไป

ใครๆ ก็รู้ สำนักกระดูกขาวไม่มีทางทำการใหญ่ภายใต้สถานการณ์ที่ขาดกำลังหลักที่แข็งแกร่งที่สุดแน่ ดังนั้นทางด้านสำนักกระดูกขาวจึงจงใจสร้างเรื่องนี้ขึ้น และได้กลายเป็นโอกาสที่ดีที่สุดขึ้นมาเสียด้วยซ้ำ

เพราะพลังการรบที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักกระดูกขาว ไม่เคยขาดมาแต่ไหนแต่ไร

ก่อนที่ปฏิบัติการจะเริ่มขึ้น กระทั่งระดับสูงในลัทธิเองก็ยังไม่รู้ คนมากมายล้วนคิดว่าโอวหยางเลี่ยบาดเจ็บหนักเจียนตายไปแล้วจริงๆ

ดังนั้นเขาจึงสามารถขังตู้หรูฮุ่ยไว้ที่ยอดเขาเหินทะยานได้

ทั่วทั้งรัฐจวง ตู้หรูฮุ่ยผู้ครอบครองพลังวิเศษร่นขอบฟ้าเป็นตัวแปรที่ใหญ่ที่สุด การขังเขาเอาไว้ได้ สิ่งรบกวนใหญ่ที่สุดของแผนการทั้งหมดจึงถูกลบไป

เพื่อฉากเช่นวันนี้ สำนักกระดูกขาวแทบจะเทหมดหน้าตัก ทุ่มเทการสะสมหลบซ่อนแฝงตัวมานับร้อยปีทั้งหมดออกมา

พวกเขาเองก็ต้องการได้รับความสำเร็จที่หลายร้อยปีไม่เคยได้รับมาเช่นกัน

เรื่องก่อนหน้าที่อารามหวนสัจจะเป็นการแสดงล่วงหน้าครั้งหนึ่ง แต่ถูกจั่วกวงเลี่ยที่หลบหนีไปที่นั่นกะทันหันระเบิดศึกใหญ่จนพังราบหมด

หลี่อีถือกระบี่เข้ามาจากตะวันตก ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้

ครั้งนั้นจึงทำได้เพียงปล่อยวางไป

จากนั้นจึงมีปฏิบัติการตำบลเสี่ยวหลินที่ขนาดใหญ่ขึ้นมาอีก

ตอนนี้ ภายใต้การควบคุมของลู่เหยี่ยน เหล่าวิญญาณ อารมณ์ด้านลบที่เหมือนมีรูปร่างขึ้นมาจริงมากมายนับไม่ถ้วน ล้วนมารวมกันในสถานที่เดียวกัน

สถานที่นั้น คือตำบลเสี่ยวหลิน!

สั่นสะเทือนเทียนยมโลก ตำบลเสี่ยวหลินที่ทำให้เจียงวั่งสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัว

ปฏิบัติการตำบลเสี่ยวหลินของสำนักกระดูกขาวครั้งนั้น ดูผิวเผินคือการควบรวมภาพมายาด่านประตูผี แต่อันที่จริงก็หลอมสมบัติยมโลกชิ้นนี้ขึ้นมาได้สำเร็จ

แต่สำหรับสำนักกระดูกขาว ในนี้ยังมีเป้าหมายที่ลึกขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง

ตอนที่ทุกคนจ้องสายตาไปที่ภาพมายาด่านประตูผี ตอนที่เบนความสนใจไปยังสำนักกระดูกขาว กลับมองข้ามตัวตนจริงๆ ของตำบลเสี่ยวหลินไป

สาเหตุที่เลือกควบรวมภาพมายาด่านประตูผีที่เมืองเสี่ยวหลิน เป้าหมายหลัก อันที่จริงเพื่อทอดสมอตำแหน่งจากนรกภูมิมาสู่โลกใบนี้

ตัวตนที่กลับมาจากนรกภูมิ แน่นอนว่ามีเพียง และมีความเป็นไปได้เพียง เทวะกระดูกขาวเท่านั้น!

……………………………………….