บทที่ 140 ช่วงเวลาสุดท้าย

ท่องภพสยบหล้า

บทที่ 140 ช่วงเวลาสุดท้าย
สำนักกระดูกขาววางแผนมานับสิบปี ลงแรงความคิดจนหมด แน่นอนว่าแผนการไม่ใช่เล็กๆ

พวกเขาทำเพื่อเปิดเส้นทางยมโลก ให้เทวะกระดูกขาวที่สงบนิ่งอยู่ในก้นแม่น้ำลืมเลือนกลับมายังโลกมนุษย์ มาชื่นชมโลกใบนี้!

หมอกที่เกิดขึ้นในฟ้าดินเหล่านั้นคือสิ่งยืนยัน นั่นเป็นหมอกที่ตัดขาดจากหยินหยาง ทำให้พื้นที่นี้ติดอยู่ในยมโลก

ตอนที่หลิงเหอรีบตรงไปยังสถานธรรมกระจ่าง ที่นี่พังทลายไปหมดแล้ว

โชคดีที่ไม่ถูกรบกวนจากผู้ฝึกตนของสำนักกระดูกขาว พลังบำเพ็ญระดับวัฏจักรดาราเองก็ยังไม่เพียงพอที่จะปกป้องตนเอง

ภัยพิบัติระดับนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถรับมือได้

แต่เขาไม่คิดจะวิ่งหนี

ตอนนี้เองเขาได้ยินเสียงสะอื้นอย่างอ่อนแรงอยู่ใต้สถานธรรมกระจ่างที่พังทลาย

เขาตรงเข้าไปขุดเศษอิฐหินออกอย่างไม่สนอะไร จัดการยกคานห้องที่พังลงมาออก

คานห้องทับเด็กชายตัวน้อยคนหนึ่งอยู่ เขาร้องไห้จนคอแหบไปหมด ขาซ้ายน่าจะถูกทับขาดไปแล้ว

หลิงเหออุ้มเขาขึ้นมา วางเขาไว้บนถนนที่ยังดูสมบูรณ์อยู่

อาจยังมีคนอยู่อีก อาจจะยังมีเด็กอยู่อีก!

เขาคิดเช่นนี้ พุ่งเข้าไปในสถานธรรมกระจ่างคนเดียวอีกครั้ง

เพราะไม่แน่ใจว่ายังมีเด็กที่รอดตายอยู่ไหม หรือถูกฝังอยู่ตรงไหน เขาไม่กล้าใช้วิชาเต๋าออกมาส่งเดช เพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างความเสียหายครั้งที่สองขึ้นมา

สถานที่ส่วนใหญ่จึงทำเพียงใช้มือเข้าย้าย เข้างัด พอยืนยันว่าจะไม่ทำคนบาดเจ็บ จึงใช้งานวิชาเต๋าเข้าช่วยเหลือ

ผ่านไปไม่นาน ทั้งสองมือก็ชุ่มโชกไปด้วยเลือด

ที่โชคดีคือ เขาช่วยเด็กออกมาได้อีกคนหนึ่ง

คนนี้เป็นเด็กผู้หญิงผูกเปียเขาแกะ แม้จะสลบไสลไปแล้ว แต่ยังมีลมหายใจอยู่

หลิงเหออุ้มเด็กคนนี้ขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ตอนที่จะพานางออกไปยังสถานที่ปลอดภัย

โครม!

เขาหันกลับฉับพลัน!

ถนนที่เขาวางเด็กผู้ชายไว้ก่อนหน้า เกิดพสุธาแยกรอยใหม่สายหนึ่งขึ้นมา!

หลิงเหอกอดเด็กไว้ในอ้อมอก พุ่งออกไปด้วยความเร็วสูงสุด แต่กลับมองหินหนืดหลั่งทะลักออกมาเต็มสองตาที่ขอบรอยแยก

ตำแหน่งที่เด็กชายร่วงลงไป มีเพียงคลื่นเล็กๆ กระเซ็นขึ้นมา

หลิงเหอทิ้งเข่าลงกับพื้น

แรงคนก็มีวันหมด

คนที่เข้มแข็งทรหดเช่นเขา ยังถึงกับต้องเงยหน้ามองฟ้า สัมผัสได้ถึงความสิ้นหวัง

เวลานี้ ถ้าหากมีคนที่สามารถมองลงมาจากฟ้าสูง

ผืนพสุธาสีน้ำตาลแตกแยก หินหนืดสีแดงทะลักหลั่ง บ้านเรือนพังทลาย มนุษย์วิ่งหนีจ้าละหวั่น…

และด้านบนของสิ่งทั้งหมดนี้ ดวงวิญญาณมากมายนับไม่ถ้วนหลั่งทะลักราวกับคลื่น

ทะเลวิญญาณที่ปิดฟ้าบังตะวันนั่น มีความไม่ยินยอมของชีวิตหลั่งไหลอยู่มากมายนับไม่ถ้วน

บ้างก็เป็นพ่อค้าขายขนมปิ่งคนหนึ่ง บ้างก็เป็นอาจารย์สอนหนังสือคนหนึ่ง บ้างก็เป็นเด็กที่เกิดมาได้ไม่นาน บ้างก็เป็นมารดาคนหนึ่ง…

พวกเขาอาจจะไม่เคยทำร้ายผู้อื่น ไม่เคยทำเรื่องเลวๆ มาเลย

บ้างก็เป็นขโมยที่เคยลักเล็กขโมยน้อย บ้างก็เคยทะเลาะเบาะแว้งกับเพื่อนบ้าน

บ้างก็เป็นผีสุราคนหนึ่ง บ้างก็เป็นคนดีคนหนึ่ง…

แต่ทั้งหมดนั้น ทั้งหมดล้วน

ไม่ว่าจะดีหรือเลว ไม่ว่าจะเด็กหรือชรา

ล้วนถูกภัยพิบัติที่มาอย่างกะทันหันในวันนี้กลืนกินไปจนหมด

พอไร้ซึ่งศพและกระดูก ดวงวิญญาณก็ไม่อาจรักษาไว้ได้

ตำบลเสี่ยวหลินที่ถูกทิ้งร้างราวกับกลายเป็นบึงลึกไร้ก้นแห่งหนึ่ง ดูดรับเอาไปทั้งหมด และกลืนกินไปทั้งหมด

เรื่องราว ความรุ่งโรจน์ความอัปยศ ความรักความเกลียดทั้งหมดในเมืองเฟิงหลิน

ทั้งหมดของทั้งหมด

….

ห่างไปทางตะวันออกเจ็ดลี้จากเมืองเฟิงหลิน นักรบกองทัพประจำเมืองกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามาถึงที่นี่

เนื่องจากพสุธาแยกเป็นเหตุ ช่องว่างใต้ดินทั้งหมดจึงเผยออกมาสู่สายตา แสงสลัวจากค่ายกลเปล่งออกมาเหล่านั้น กระทั่งชั้นดินชั้นหินยังปิดบังเอาไว้ไม่อยู่

“พวกเราพบแล้ว! พบต้นกำเนิดภัยพิบัติแล้ว! รีบกลับไปรายงานท่านขุนพลเร็ว!” หัวหน้ากลุ่มตะโกน

จากนั้นจึงถูกหินหนืดที่ทะลักออกมากลืนกินไป

และสมาชิกในกลุ่มยังคงวิ่งทะยานหนีออกมาอย่างบ้าคลั่ง ตะโกนต่อว่า “ต้นกำเนิดภัยพิบัติอยู่ทางตะวันออกเมือง! ต้นกำเนิดภัยพิบัติอยู่ทางตะวันออกเมือง!”

“ต้นกำเนิดภัยพิบัติอยู่ทางตะวันออกเมือง!”

“ทางตะวันออกเมือง!”

“ตะวันออกเมือง!”

นักรบกองทัพประจำเมืองล้มตายไปทีละคนท่ามกลางภัยพิบัติ และเสียงนี้ยังส่งดังทอดมาตลอด

หูฟังปากว่า ส่งไม้ต่อเป็นทอด

แต่พวกเขาก็ไม่ได้เห็นขุนพลหลักของพวกเขาเข้ามาจัดการกับต้นตอภัยพิบัติ

“ขุนพล! ท่านขุนพล!” เขาตะโกนเสียงแหบแห้ง “ตะวันออกเมือง! อยู่ที่ตะวันออกเมือง!”

กลับเห็นเพียงกองเศษชุดเกราะ กองเลือดกองเนื้อ ซากปรักหักพัง

นั่นคือเกราะของขุนพล นั่นคือขุนพล นั่นคือค่ายทหารของพวกเขา

ขุนพลของพวกเขา ตายไปก่อนพวกเขานานแล้ว

นักรบที่แข็งแกร่งห้าวหาญคนนี้ พังทลายลงมาทันที

“อ๊าก!”

เขากระโจนลงไปในรอยแตกพสุธา

สิ่งที่ทำเขาพังทลายไม่ใช่ภัยพิบัติเหล่านี้ ไม่ใช่ศัตรูที่น่ากลัว หรือเป้าหมายที่ยากจะเอาชนะได้

แต่คือสิ่งที่พวกเขาทำมาทั้งหมด เหมือนกับว่าไม่มีความหมายอะไรเลย

ในที่สุดก็มาถึงช่วงเวลาสุดท้าย

ลู่เหยี่ยนผู้อาวุโสรองสำนักกระดูกขาวใช้ดวงตายมโลกติดต่อโลกทั้งสอง ควบคุมดวงวิญญาณ ควบคุมค่ายกลไร้เกิดไร้ดับสูญ

ทูตกระดูกขาวจางหลินชวนยืนยิ่งเงียบอยู่อีกด้าน คอยคุ้มกันเขา

ภัยธรรมชาติ ภัยจากมนุษย์ล้วนมีพลังเคราะห์ทั้งสิ้น

วิญญาณนับไม่ถ้วนกับพลังเคราะห์ที่เต็มเปี่ยมทั้งหมดล้วนมารวมกันอยู่ที่ตำแหน่งเดิมของตำบลเสี่ยวหลิน

สถานที่นี้ถูกปณิธานของเทวะกระดูกขาวหย่อนสมอเอาไว้นานแล้ว

เงามืดที่มาจากยมโลก เริ่มปกคลุมโลกใบนี้จากที่นี่

และตอนนี้เอง ร่างเงาสงบนิ่งร่างหนึ่ง เยื้องเท้าก้าวเดินอย่างเชื่องช้า

เดินข้ามศพที่นอนขวาง ย่ำข้ามซากปรักหักพัง เดินผ่านรอยแยกพสุธา เดินผ่านสถานที่ที่เลือดสดไหลริน

บนหน้าเขาไร้ซึ่งอารมณ์ ดวงตาเขาไม่มีคลื่นใดๆ แม้แต่น้อย

เขาคือหวางจ่างจี๋ หรือก็คือคนจากตระกูลหวางที่เหลืออยู่คนสุดท้าย

เนื่องจากปลีกวิเวกมาโดยตลอด กระทั่งจางหลินชวนเองก็ไม่ค่อยรู้จักเขา

พลังบำเพ็ญของเขาดูแล้วไม่แข็งแกร่งมากนัก แต่ดวงวิญญาณกลับวนผ่านตัวเขาไป พลังเคราะห์กลับเลี่ยงผ่านตัวเขาไป

ไม่ว่าจะเป็นรองผู้อาวุโสสำนักกระดูกขาวหรือทูตกระดูกขาวล้วนรักษาความนิ่งเงียบ เพราะพวกเขาล้วนตระหนักขึ้นมาได้แล้วถึงอะไรบางอย่าง

หวางจ่างจี๋ย่างเดินช้าๆ ไม่หันหน้ากลับมาแม้สักครั้ง ไม่หันเหสายตาแม้แต่น้อย

ย่างก้าวของเขาเห็นอยู่ว่าเชื่องช้า แต่กลับเดินมาถึงตำบลเสี่ยวหลินอย่างรวดเร็ว

มันเป็นความรุ้สึกขัดแย้งกันประเภทหนึ่ง ทำเอาคนที่มองเห็นแทบจะกลัดกลุ้มจนกระอักเลือด

มีเพียงลู่เหยี่ยนที่มองออกชัดเจนที่สุด ทุกก้าวของเขาล้วนย่างลงไปบนจุดตัดหยินหยางของทั้งสองโลก

หากไม่ใช่อยู่ในค่ายกลไร้เกิดไร้ดับสูญ แม้ว่ากระจกกระดูกนี้จะล้ำค่าเพียงใด ก็ยังทำเรื่องเช่นนี้ไม่ได้

ภายใต้การจับตามองของลู่เหยี่ยนและจางหลินชวน

หวางจ่างจี๋ในที่สุดก็เดินมาถึงที่ตั้งเดิมตำบลเสี่ยวหลิน

ตำบลเสี่ยวหลินเวลานี้ เหลืออยู่เพียงความมืดอันสับสนกลุ่มหนึ่ง กระทั่งซากปรักหักพังเองก็ไม่อยู่แล้ว

เขายืนอยู่ด้านนอกความมืด ยื่นมือเข้าไปใน ‘ความมืด’ นั่น

เขาดึงมือออกมา

เขาดึงเอากระถางที่สร้างขึ้นจากกระดูกใบหนึ่งออกมาจากความมืด

ตัวตนที่ยิ่งใหญ่และน่ากลัวตนหนึ่ง ยื่นกระถางเล็กใบนั้น ‘ส่ง’ มาให้เขาจากส่วนลึกของยมโลก

ส่วนหวางจ่างจี๋ก็เสร็จสิ้นการรับมอบ

เขาหยิบกระถางใบนี้โยนขึ้นไปบนท้องฟ้า!

กระถางเล็กกระดูกขาวหมุนเวียน จากนั้นพองขยายขึ้น

คืนรูปร่างเดิมในพริบตา

สูงเท่าคนหนึ่งคน ใหญ่ระดับสามคนโอบ หูกระถางมีแขนกระดูกสองข้าง ตัวกระถางมีรูปสลักโบราณอยู่บางส่วน

ทำให้คนอยากเข้าไปสืบเสาะ แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เห็นไม่ชัด

ตอนที่กระถางเล็กกระดูกขาวปรากฏขึ้น วิญญาณและพลังเคราะห์ทั้งหมดล้วนคึกคักกันขึ้น ราวกับเป็นน้ำที่เดือดพล่านอย่างไรอย่างนั้น ส่งเสียงหวีดหวิวประหลาดออกมา

จนกระถางเล็กกระดูกขาวขยายใหญ่ขึ้น วิญญาณกับพลังเคราะห์เหล่านั้นก็ทะลักเข้ามาในพริบตา กลายเป็นกระแสหลากอันน่ากลัวเหมือนมังกรสูบน้ำสายหนึ่ง

และความแค้นเคือง ความไม่ยินยอม ความหวาดกลัวเหล่านั้น…ความรู้สึกด้านลบที่ล่องลอยอยู่ทั่วทั้งเขตเมืองเฟิงหลิน ถูกหวางจ่างจี๋คว้าจับมาเหมือนคว้าตัวงู ส่วนหัวของงูยัดเข้าไปในกระถางแล้ว ส่วนลำตัวงูกำลังพุ่งไปด้านหน้าอย่างต่อเนื่อง

ความรุ้สึกด้านลบเหล่านี้ แผดเผาอยู่ใต้กระถางกระดูกขาว กลายเป็นเชื้อฟืนที่ดีที่สุด

ส่วนหวางจ่างจี๋ยืนอยู่ข้างๆ กระถางกระดูกขาว พลังทั่วทั้งร่างค่อยๆ ระเบิดโถมขึ้น

ผิวหนังของเขากลายเป็นสีขาวซีด แต่ในความขาวซีดนี้ ยังเปล่งแสงเทพที่ดูศักดิ์สิทธิ์ออกมารางๆ

นี่เป็นสิ่งแสวงหาสูงสุดในคัมภีร์เต๋ากระดูกขาว มีอยู่เพียงในร่างศักดิ์สิทธิ์กระดูกขาวที่บันทึกไว้

แต่หวางจ่างจี๋คือผู้สืบทอดมรรคากระดูกขาว ผู้สืบทอดมรรคากระดูกขาวที่ตื่นขึ้นมาแล้ว!

ทั้งในอดีต ปัจจุบัน รวมไปถึงอนาคต

คือเจ้าเทวะ ผู้เป็นศูนย์กลางของสำนักกระดูกขาวโดยสิ้นเชิงอย่างแน่นอน

……………………………………….