เสียเปรียบให้กับฉู่สวินหยางนั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่ถ้าหากเขาทอดทิ้งสถานการณ์ภาพรวมตรงหน้าเพื่อแก้แค้นส่วนตัวของตัวเองนั่น โทษหนักเยี่ยงนี้เขาเองก็ไม่สามารถแบกรับมันได้ไหวหรอก

ในตอนนี้ถึงเขาจะโกรธโมโหมากเพียงใด จะมัวแต่สนใจนางไม่ได้อยู่ดี จึงเพียงแค่กวักมือเตรียมตัวพาทุกคนกลับ

แต่พวกคนชุดดำที่ไล่ตามมาอยู่นั้นจะปล่อยให้เขามีชีวิตรอดไปง่ายๆ ได้เยี่ยงไร คนที่เป็นหัวโจกรีบทำสัญญาณมือให้ขัดขวางขึ้นในทันที

“หึ!” องค์รัชทายาทหนานฮวาชำเลืองตามองขวางอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “เวลานี้กลับไปสะสางธุระของพวกเจ้าก่อนเถอะ หากเสียเวลากับพวกข้าไปมากกว่านี้ เกรงว่าพวกเจ้ายังไม่ทันได้กลับไปรายงานข่าวการปฏิบัติการ ศีรษะของนายเหนือหัวพวกเจ้าคงถูกคังจวิ้นอ๋องตัดเสียบประจานก่อนเป็นแน่!”

พวกคนชุดดำได้ยินดังนั้นต่างก็เสียวสันหลังวาบ…

ไม่ต้องพูดถึงฉู่ฉีเหยียนผู้เคร่งขรึมดุร้ายคนนั้น เพียงแค่คังจวิ้นอ๋องกับท่านหญิงฉู่สวินหยางสองพี่น้องแห่งวังบูรพาก็พอ ถึงแม้พวกเขาจะอายุไม่มาก แต่ทว่าความดุร้ายนั้นมากเหลือล้นยิ่งนัก

คนชุดดำพวกนั้นหวาดกลัวกับผลลัพธ์ที่จะตามมามากกว่า ทว่าพวกเขาเองก็รู้สึกแปลกๆ เช่นกันที่มีความคิดที่ไม่ต้องการให้ใครมีชีวิตหลงรอดไปได้ขึ้นมา ไม่เพียงแต่จะไม่พูดคุยต่อรองกันดีๆ แต่กลับตัดสินใจโบกมือแล้วสั่งการว่า “ไป! รีบจัดการให้เสร็จ อย่าปล่อยให้คนพวกนี้มีชีวิตรอดไปแม้แต่คนเดียว! จับเป็นท่านหญิงฉู่สวินหยางเอาไว้ ส่วนคนที่เหลือ…สังหารให้ตายทั้งหมด!”

หากหัวหน้าของเขาต้องการควบคุมฉู่ฉีเฟิงจริงๆ การได้ตัวฉู่สวินหยางมานั้นก็จะสามารถบีบบังคับอีกฝ่ายได้

แต่ถ้าไม่…

ศีรษะขององค์รัชทายาทหนานฮวาเองก็ถือเป็นหมากที่จะทำให้เขาพลิกสถานการณ์ได้เช่นกัน

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคนผู้นี้ฉลาดหลักแหลมจริงๆ

เมื่อคำสั่งการของเขาดังขึ้น พวกคนชุดดำก็บุกทะลวงเข้ามาอย่างแข็งขัน

ต่างฝ่ายต่างยกดาบขึ้นสู้ฟาดฟันกันในป่าขึ้นอีกครั้ง

ถึงแม้จะมีกองสนับสนุนจากเจี๋ยหงและหลี่เหวย แต่สุดท้ายฝ่ายศัตรูก็ยังคงมีจำนวนเยอะกว่ามากนัก อีกอย่างพวกคนชุดดำพวกนั้นต่างมีความคิดที่จะจัดการทุกสิ่งทุกอย่างให้ราบคาบ ถึงแม้จะออกแรงต่อสู้สุดความสามารถทั้งหมดที่มี ฉู่สวินหยางกับพวกคนที่เหลือเองก็ถูกบีบคั้นกดดันจนพ่ายแพ้อยู่ดี สุดท้ายก็ถูกไล่ต้อนไปถึงมุมที่ไม่มีทางหนีทีรอดมาถึงตรงหน้าผาอยู่ดี

ทางเดินด้านหน้าถูกตัดขาด เสียงของพวกคนชุดดำดังสนั่น โจมตีสุดแรงอย่างไม่หยุดยั้ง

ฉู่สวินหยางคิดวิเคราะห์จนหัวหมุน ในอีกทางหนึ่งก็ป้องกันลูกศรที่พุ่งโจมตีเข้ามา อีกทางหนึ่งก็รู้สึกอันตรายที่ไม่รู้มาจากไหนผสมด้วยกับความรู้สึกสับสนที่มีขึ้นอย่างบอกไม่ถูก

ถึงแม้สถานการณ์ตรงหน้าจะแปรเปลี่ยนไปถึงขั้นที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว แต่นางกลับคิดว่ามีบางอย่างแอบแฝงจนรู้สึกผิดปกติ แต่มันแปลกตรงไหนนางก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน

ตั้งแต่ที่ถูกไล่ต้อนมาถึงตรงนี้ พวกคนชุดดำสี่คนนั้นก็เอาแต่โจมตีนางอย่างไม่หยุดยั้งคนเดียว

ถึงแม้ว่านางจะมีเจี๋ยหงคอยป้องกันอารักขาอยู่ข้างกาย แต่นางก็ถูกไล่ต้อนแล้วไล่ต้อนอีก สุดท้ายก็ถูกไล่ต้อนไปถึงริมหน้าผาพร้อมกับองค์รัชทายาทหนานฮวา

ในขณะที่ชุลมุนวุ่นวายอยู่นั้น มีคนชุดดำคนหนึ่งกระโดดขึ้นแล้วกำลังจะแทงดาบลงมา

“ท่านหญิงระวังเจ้าค่ะ!” เจี๋ยหงตะโกนร้องขึ้นอย่างตกใจ ถีบศัตรูที่ยุ่งอยู่กับนางคนนั้นออกไป ยกดาบป้องกันการโจมตีของคนชุดดำคนนั้นขึ้นทันที

ทว่าแรงโจมตีของอีกฝ่ายนั้นมหาศาลเป็นอย่างมาก ภายใต้การพุ่งชนของเขาทำให้ลำคอของนางเริ่มรู้สึกร้อนขึ้น จากนั้นเลือดก็ไหลรินออกมา

ฉู่สวินหยางเห็นดังนั้นก็รีบพยุงลำตัวของนางเอาไว้ ดันตัวนางออกไปด้านหน้าแล้วให้เจี่ยงลิ่วเข้ามาพยุง แต่ในขณะเดียวกันด้วยความที่แรงกระแทกนั้นแรงมาก ทำให้นางไม่อาจยืนได้มั่นคงจนถอยหลังไปหนึ่งก้าว จนขาเหยียบเข้ากับก้อนหินบนริมหน้าผานั่นเข้า

เมื่อยืนนิ่งได้อย่างมั่นคงแล้ว ฉู่สวินหยางก็ยังคงตั้งสติระมัดระวังสถานการณ์การสู้รบตรงหน้า แววตาดุดันสาดส่องกำลังจะบุกเข้าไปในสมรภูมิรบตรงหน้าอีกครั้ง ทว่าจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นสนั่น

นางยังไม่ทันตั้งสติได้ก็รู้สึกว่าด้านล่างมีอะไรขยับเขยื้อน ในขณะที่เศษหินแตกกระจายอยู่นั้นก็มีร่างคนคนหนึ่งปรากฏขึ้นอยู่ด้านหลังตัวนาง มีดเหล็กเล่มหนาใหญ่ในมือเล่มนั้นถูกปกคลุมด้วยตาข่ายสีเงินขนาดใหญ่แล้วกดดึงลงไป

ด้านล่างหน้าผามีคนอยู่!

คนคนนี้…

หลบซ่อนอยู่ในนี้มาตลอดเลยงั้นหรือเนี่ย!

จู่ๆ หัวใจดวงน้อยๆ ของฉู่สวินหยางก็ตกลงไปถึงตาตุ่มเย็นวาบไปทั่วหน้าอก

ก่อนหน้านี้ตอนที่ฉู่สวินหยางมานั่งพักขาตอนนั้น คนคนนี้คงแอบซ่อนอยู่นานแล้ว แต่ตอนนั้นนางไม่ได้สนใจอะไรมาก อีกฝ่ายจึงอดทนไม่ยอมโจมตีมาตลอด จนกระทั่งถึงเวลานี้ที่เขาคว้าโอกาสอันดีงามเอาไว้ได้ ฟันหินบนหน้าผาจนเสียหายแล้วหมายที่จะสังหารให้ตายในดาบเดียว

เศษซากหินกระเด็นกระจายไปทั่ว ฉู่สวินหยางถือโอกาสตอนที่หินรองเท้าก้อนนั้นยังร่วงหล่นออกไม่หมด เขย่งเท้าแล้วออกแรงกระโดดขึ้นไป

แต่คนคนนั้นกลับเดาทางหนีทีไล่ของนางออก ตวัดขาออกไปอย่างไม่ออมแรงหมายจะเตะแขนนางให้ตกลงกลางอากาศ

ฉู่สวินหยางเคียดแค้น เวลานี้จะปะทะกันด้วยความรุนแรงทั้งสองฝ่ายแบบนี้ไม่ได้ นางจึงรีบเก็บออมแรงตัวเองเอาไว้ ร่างกายครึ่งท่อนบนที่กระโดดขึ้นไปแล้วก็หดตัวลงมาทันที พลางมองลงไปยังหุบเขาเหวลึกด้านล่างราวกับดอกไม้ที่ร่วงหล่นไร้ที่พึ่ง

วินาทีที่เงยหน้าจนเกือบจะล้มหกคะเมนลงไปตอนนั้น ในใจของนางกลับมีความรู้สึกสับสนขึ้นมา…

การที่วันนี้อีกฝ่ายวางแผนอย่างรอบคอบแบบนี้ นี่ก็คือเป้าหมายสุดท้ายที่…

หรือว่าพวกเขาต้องการจะเล่นงานนาง?

นี่มัน…

ทำมากเกินกว่าเหตุหรือเปล่าเนี่ย?

ตั้งแต่เมื่อไรกันที่นางกลายเป็นคนที่มีอิทธิพลมากถึงขนาดทำให้คนที่แอบซ่อนอยู่ในหน้าผามาตลอดคนนั้น กล้าทำให้ฉู่อี้อันโกรธโดยไม่สนใจ ซ้ำยังเล่นงานจัดการนางอย่างไม่คิดออมแรงแบบนี้?

“สวินหยาง!” ฉู่ฉีเหยียนตะโกนขึ้นมาเสียงดังพลางพุ่งตัวออกมา แต่กระนั้นกลับถูกคนชุดดำฟันดาบขวางกั้นจนต้องถอยหลังหนีไป

ใบหน้าของเขาขาวซีด สัญชาตญาณการตอบสนองสั่งให้ถอยหลังหลบคมมีดที่ฟันลงมา เบ้าตาแดงก่ำ โกรธโมโหจนดวงตาแทบจะระเบิดออกมา

ตำแหน่งที่ยืนขององค์รัชทายาทหนานฮวาอยู่ใกล้หน้าผากว่ามาก เมื่อเห็นเหตุการณ์ดังนั้นเขาก็ตกใจไม่ต่างกัน จึงเดินหน้าขึ้นไปหนึ่งก้าว ยื่นมือออกไปพยายามจะคว้านางไว้ ทว่าปลายนิ้วของเขากลับแตะโดนเพียงแค่กระโปรงของนางเท่านั้น…

ก้อนหินริมหน้าผานั้นถูกคนทำลายจนแหลกลาน ส่วนที่เหลืออยู่นั้นมันแทบไม่มั่นคงเลยสักนิด เขาเพียงแค่เอาเท้าเหยียบลงไปข้างเดียว หินก้อนนั้นก็สั่นคลอนแล้วร่วงหล่นลงไป

องค์รัชทายาทหนานฮวาตกใจอย่างมาก รีบถอยกลับไป จนคลาดกับร่างของฉู่สวินหยางที่ร่วงหล่นลงไปพอดี

ชายกระโปรงสีม่วงแก่นแผ่สยายราวกับถาดหมึกสีดำเข้มที่สาดกระจายไปทั่วอยู่ท่ามกลางอากาศ มันตัดกันกับใบหน้าสะสวยของหญิงสาวได้อย่างลงตัว

มันช่างสวยงามมากถึงมากที่สุด แต่ทว่าก็มืดมนทรมานจนทำให้คนที่มองรู้สึกอึดอัดมากเหลือเกิน

เวลาเพียงพริบตาเดียว ร่างของหญิงสาวพลันร่วงหล่นลงไปในหุบเขาเหวลึก จนไม่เห็นร่องรอยเบาะแสที่อาจหลงเหลือไว้

————————————