ฉู่สวินหยางทิ้งตัวลงไป ข้างหูได้ยินเสียงลมตีสนั่น
หน้าผานี้ตั้งตระหง่านสูงลิ่ว ด้านล่างมีแม่น้ำผานหลงที่ไหลออกมาจากหุบเขาลึก
ระยะห่างของสองฝั่งแม่น้ำไม่มากนัก แต่ถ้าร่วงลงไปจากภูเขาหิมะสูง เจอกับสายน้ำที่เย็นจับขั้วหัวใจ รวมกับแรงกระแทกมหาศาล ต่อให้เป็นหินใหญ่ร้อยชั่งตกลงไปก็คงหาซากไม่พบ
เวลาเดียวกันกับที่ร่างร่วงหล่น ฉู่สวินหยางกระตุกยิ้มอย่างไม่อนาทร นัยน์ตามีประกายเย็นชาแวบผ่าน ก่อนจะควักเอาแส้อ่อนออกมาจากแขนเสื้อ แล้วสะบัดไปเบื้องล่างทีหนึ่ง
ก่อนหน้านี้อิ้งจื่อเตรียมแส้ไว้ให้นางในกระเป๋าหลังม้า ตั้งแต่เข้าสนามรบนางก็เก็บไว้ในแขนเสื้อตลอด แม้จะไม่ใช่อาวุธที่มีพลังทำลายล้างสูง แต่พอถึงเวลาสำคัญ…
ตอนนั้นมีร่างในชุดดำปรากฏขึ้นกลางอากาศ แต่จู่ๆ ก็ถูกแส้ของนางพันเอวไว้แน่น ในใจของมันเย็นวาบ ยังไม่ทันหันหน้ามองก็พลันถูกแรงมหาศาลกระชากใส่ ร่างจึงสูญเสียการควบคุมก่อนจะร่วงตามลงมาติดๆ
ฉู่สวินหยางไม่ออมมือสักนิด นางใช้พลังทั้งหมดที่มี
ดังนั้นแม้มันจะร่วงลงมาทีหลังนาง แต่กลับพุ่งตกลงไปด้วยความเร็วที่มากกว่า เสียงลมวูบผ่าน ไม่นานก็กลายเป็นจุดดำเล็กๆ บนผิวน้ำ แล้วหายไปจากสายตา
เมื่อฉู่สวินหยางสมใจแล้ว ตัวเองก็ไม่พยายามดิ้นรนอีก มือเท้ากางแผ่กว้าง รอคอยวินาทีข้างหน้าที่ร่างจะฝังลงใต้ผืนน้ำ
แสงตะวันเหนือศีรษะสว่างจ้า ทิ่มแทงดวงตาให้ปวดล้า นางหรี่ตาลง ก่อนจะยกแขนเสื้อขึ้นบัง
วินาทีนั้นเอง ด้านบนพลันมีเสียงลมดังสนั่นผ่าลงมาอย่างกะทันหัน
ฉู่สวินหยางเดิมทีก็หมดหวังแล้ว มือขวาที่ยกขึ้นได้ครึ่งทางพลันถูกคนกระชากจนแขนเสื้อขาดดังแควก ทำเอานางสะดุ้งตกใจ
คนผู้นั้นคว้านางไว้ไม่ได้ จึงรีบเปลี่ยนวิธี ยื่นแขนออกมาดึงไว้เสียก่อน
คราวนี้จึงจับคนได้อย่างมั่นคง
ฉู่สวินหยางรู้สึกเพียงเอวตนถูกรัดแน่น หัวใจบีบตัว ขณะเดียวกันก็เงยหน้าขึ้นมอง…
ยังไม่ทันจะมองให้ชัด ร่างที่กำลังดิ่งลงพื้นกลับชะงักกึกกลางอากาศ ห้อยต่องแต่งให้ลมพัดอยู่เหนือแม่น้ำเย็นเยียบ
ร่างสูงของเหยียนหลิงจวินห้อยกลับหัว ขาสองข้างเกี่ยวกับสนต้นเตี้ยซึ่งเลื้อยยื่นออกจากหน้าผา ปิ่นปักผมหลุดหาย ผมดำขลับกระจายไปทั่ว เมื่อรวมกับหน้าที่ขึ้นสีแดงของเขา มองแล้วไม่เห็นท่าทางปล่อยตัวตามสบายเหมือนแต่ก่อน
แขนของเขาคว้าสายผูกเอวของฉู่สวินหยางเอาไว้ได้ในวินาทีสุดท้าย
ร่างของฉู่สวินหยางลอยเคว้งกลางอากาศ เงยหน้ามองเขาด้วยความตกตะลึง “เจ้ามาได้อย่างไร?”
นับจากวินาทีที่ร่วงลงมา ในใจนางไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวสักนิด อย่างไรเสียก็เคยตายมาแล้วครั้งหนึ่ง และ…
นางมีความเชื่อบางอย่างอยู่ในหัวใจ…
ว่ามีหรือที่ตนจะมาตายอย่างไร้ค่าอยู่ตรงนี้?
แต่บัดนี้ เมื่อร่างกายที่เคยไร้ซึ่งสิ่งยึดเกาะได้พบที่พึ่งพิงอีกครั้ง มองดูคิ้วและดวงตาที่นางเคยคุ้น น้ำเสียงที่หลุดออกไปจึงซ่อนความสั่นเครือเอาไว้ไม่มิด จู่ๆ ก็เบิกตากว้าง ใช้สายตาแดงก่ำจ้องมองบุรุษผู้ร่วงลงมาจากฟ้า
ร่างของทั้งสองค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ ไร้ซึ่งความมั่นคงอย่างสิ้นเชิง
มุมปากเหยียนหลิงจวินกระตุกเป็นรอยยิ้ม แม้ท่าทีเขาจะสงบเยือกเย็นเหมือนปกติ แต่ยิ้มนั้นก็ปรากฏให้เห็นความฝืนใจอยู่หลายส่วน
มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ ว่าตอนที่เขาพุ่งตัวออกมาจากป่าแล้วได้เห็นภาพที่นางร่วงตกจากหน้าผามันรู้สึกอย่างไร
ตอนนั้นเหมือนฟ้าถล่มลงมา หัวใจทั้งดวงคล้ายถูกควักทิ้ง ในสมองมีเพียงความว่างเปล่า
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ที่หญิงสาวคนนี้ได้สลักอยู่ในใจเขา กลายเป็นสิ่งที่ไม่อาจขาดหาย ก่อนหน้านี้เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่า หากแยกจากนางไปแล้วกลับไปอยู่ในที่ที่เขาเคยอยู่ มันจะรู้สึกน่าเบื่อหน่ายและไร้ชีวิตชีวาขนาดไหน แต่วินาทีนั้น…
มันเหมือนโลกทั้งใบจะถล่มตามไปด้วย
หากว่านางต้องหายไปจากสายตา หากใต้หล้าที่กว้างใหญ่ไร้เงาที่เฉลียวฉลาดและเด็ดเดี่ยว หากไม่มีดวงตาเจ้าเล่ห์และรอยยิ้มบางๆ …
เช่นนั้น…
บนโลกของเขายังเหลืออะไรอยู่อีก?
ความรู้สึกนี้ แม้แต่ตอนที่ตนถูกตามฆ่าจนเกือบตายกลางป่าก็ยังมิอาจเทียบเคียงได้
ตอนนั้น แม้จะเผชิญหน้ากับความตาย แต่ในใจกลับอัดแน่นไปด้วยความเคียดแค้นและใจที่ไม่ยินยอม ทว่าเมื่อครู่…
มันคือความหวาดหวั่นและขลาดกลัวอย่างแท้จริง
เขาไม่เคยรู้สึกตื่นกลัวและสิ้นหวังเช่นนี้มาก่อน คล้ายความคิดและสติถูกแย่งชิงไปชั่วขณะ ในหัวสมองคิดได้เพียงอย่างเดียว…
จะไม่ยอมให้นางหายไปจากสายตาเด็ดขาด เขา…
จะต้องได้เห็นนางอีกครั้ง!
ดังนั้นเมื่อเห็นนางร่วงลงไป เขาจึงกระโจนตามมาติดๆ อย่างไม่ต้องคิดเลย
จนได้เห็นร่างนาง แม้คนจะไร้ที่ยึดเหนี่ยว ไม่รู้วินาทีต่อไปจะอยู่หรือตาย แต่หัวใจที่ถูกควักหายก็ได้รับการเติมเต็มอีกครั้ง
เขาคว้านางไว้ได้ เขาจะยังได้เห็นหน้านางอีก…
ช่างดีเหลือเกิน!
เหยียนหลิงจวินสูดหายใจลึก ก่อนจะส่งมืออีกข้างให้ “ขึ้นมา!”
ฉู่สวินหยางถูกเขาหิ้วอยู่ในมือ นางกัดริมฝีปาก ก่อนจะส่งมือไปให้
เหยียนหลิงจวินกำนิ้วของนางไว้ ออกแรงจับไว้แน่น ทว่าปลายนิ้วก็สั่นน้อยๆ จนแทบสังเกตไม่เห็น
ฉู่สวินหยางรู้สึกได้ ใจที่เคยสงบนิ่งไร้คลื่น พลันมีระลอกของความอ่อนโยนกระเพื่อมไหวจนสับสน
นางเม้มปากแน่น ยืมแรงจากจุดที่เขาดึงสายผูกเอวแล้วเหวี่ยงตัวขึ้นด้านบน
เหยียนหลิงจวินจับจังหวะ มือที่เกี่ยวสายผูกเอวเปลี่ยนมาคว้าเอวนางได้อย่างแม่นยำ ในที่สุดก็ดึงคนเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน ก่อนจะออกแรงกอดนาง
เขาจูบผมของนาง เอ่ยเสียงแหบพร่าอย่างโล่งอก “ไม่เป็นไรแล้วนะ!”
ไม่ทันขาดคำ ยังหายใจไม่ทันทั่วท้อง ก็ได้ยินเสียงแกรกดังมาจากด้านบนเบาๆ
หนังศีรษะของฉู่สวินหยางชาหนึบ สีหน้าของเหยียนหลิงจวินพลันซีดเผือดในทันใด
ร่างของทั้งสองที่กอดกันค่อยๆ เลื่อนลงสู่ด้านล่าง แม้จะเพียงนิดเดียว แต่ก็ทำให้หัวใจที่เพิ่งเข้าที่เข้าทางกลับมาเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ อีกครั้ง
ฉู่สวินหยางหันหน้ามองไปตามเสียง
ต้นไม้ต้นน้อยนี้เติบโตอยู่ในซอกมุมของหน้าผาสูงชัน พื้นดินเหือดแห้งไร้ปุ๋ย เดิมทีก็ไม่ได้แข็งแรงนัก ฉะนั้นคราแรกที่เหยียนหลิงจวินคว้ามันไว้ก็ทำให้รากที่ฝังอยู่ในซอกหินหลุดโผล่มาบางส่วน และเมื่อครู่ที่ฉู่สวินหยางออกแรงเพื่อเหวี่ยงตัวเองขึ้นไป ก็ทำให้รากต้นที่ฝังแน่นในซอกหินค่อยๆ แตกออกและเอนลงไปด้านล่าง
———————————