บทที่ 13 โทษข้าที่ซ่อนเร้นไม่ได้

ฉันเป็นหัวหน้าเผ่าดึกดำบรรพ์

บทที่ 13 โทษข้าที่ซ่อนเร้นไม่ได้

 

“เจ้าต้องการที่จะเรียนรู้เรื่องนี้ด้วยหรือ?” มู่เฟิงถาม

 

“ใช่!” ฉางหนิงหน้าแดง ดวงตาของนางเป็นประกายรู้สึกว่าการเดินทางครั้งนี้ไม่สูญเปล่า ในเผ่าเล็กๆที่ดูไม่ใหญ่นักกับเจอเรื่องที่ทําให้นางตกใจซ้ําแล้วซ้ําเล่า

 

ตกปลาด้วยการใช้ไม้ไผ่,อาวุธที่ทรงพลัง,กําแพงหนามแหลม สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่นางไม่เคยเห็นในเผ่าอื่นมาก่อนรวมถึงเผ่าวิหคเขียวของนางเช่นกัน!

 

แม้ว่านางจะไม่เคยเห็นสิ่งเหล่านี้ แต่นางสามารถรับรู้ได้ถึงผลกระทบที่มันจะส่งผลกระทบต่อเผ่าเมื่อมีการใช้กันอย่างแพร่หลาย

 

มู่เฟิงรู้ในใจว่า ฉางหนิงได้รับรู้ถึงความพิเศษของสิ่งเหล่านี้เขาพยักหน้าและกล่าวว่า “ได้ แต่มังกรดินที่เจ้าพูดถึงก่อนหน้านี้ และขนสัตว์ที่จะส่งมาให้กับพวกเราหวังว่าคงไม่ลืม!”

 

“ไม่มีปัญหา!” ฉางหนิงพยักหน้าดวงตากลมโตขนตายาวขยับเน้นดวงตาของนางทําให้แสดงออกถึงความจริงใจและดูน่ารักไปอีกแบบ น่ารักจนมู่เฟิงรู้สึก “ฉันคงต้องยอมแล้วแหละ!”

 

“ได้!” มู่เฟิงหันไปมองหลี่หู “ หลี่หูจัดการเรื่องนี้แทนข้าที”

 

“ มู่เฟิง!” หลี่หูตวาดเสียงต่ําและมองไปที่ ฉางหนิงอย่างประหม่า มู่เฟิงรู้สึกขบขันและกดสายหัวไม่ได้ “ถ้าพวกเขาต้องการลงมือกับพวกเราพวกเขาคงจัดการเราตั้งแต่พบกันแล้ว วางใจเถอะ!”

 

“อุกะอุกะ!” หลี่หูหมุนตัวแล้วจากไป

 

“ทําไมพวกเขาถึงเรียกเจ้าว่ามู่เฟิง?” ดวงตาดําขลับของฉางหนิง เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ทําไมพวกเขาไม่เรียกเจ้าว่าหัวหน้าเผ่า”

 

“มันก็แค่ชื่อเรียกเท่านั้น!” มู่เฟิงส่ายหัว แล้วหันไปมองฉางหนิง

 

“ เช่นนั้นเจ้าอยากเรียกอะไร!”

 

“เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ!” ฉางหนิงขมวดคิ้วเล็กน้อยชี้ไปที่กําแพงหนาม

 

“เผ่าของข้ามีคนอยู่มากมาย สถานที่อยู่อาศัยต้องการได้รับการป้องกันแบบนี้!”

 

“ได้!” มู่เฟิงพยักหน้า

 

“สิ่งนี้เรียกว่ากําแพง แบ่งออกเป็น 3 ชั้น!” พูดไป มู่เฟิงก็ส่งสัญญาณให้ฉางหนิงเดินเข้ามาดู จากภายในสู่ภายนอกเป็นกําแพงหินรั้วไม้และต้นหนาม

 

“ถ้าเผ่าของเจ้าต้องการสร้างกําแพง ก็ทํารั้วไม้ให้เรียบร้อยก่อนโดยการฝังลึกลงไปในดิน!” มู่เฟิงวาดรูปประกอบเล็กน้อย

 

“จากนั้นเจ้าสามารถใช้ก้อนหินวางเรียงซ้อนกันหลังต้นไม้ที่ฝังลงไป ก้อนหินพยายามเลือกก้อนที่เรียบที่สุด ถ้าไม่มีอาจจะต้องวางซ้อนกันให้หนาขึ้นอีกหน่อย สุดท้ายก็ปลูกต้นหนามไว้ด้านนอก!”

 

มู่เฟิง อธิบายไปราวกับศาสตราจารย์ที่กําลังอภิปรายอยู่ในห้อง เขาเน้นรายละเอียดทั้งหมด แต่นักเรียนคนนี้ค่อนข้างพิเศษเพราะนางคือ “มาโด้” ของเผ่าวิหคเขียว

 

มู่เฟิงสื่อสารกับระบบและได้รับการยืนยันว่า “มาโด้” คล้ายกลับ “องค์หญิง” ในชีวิตก่อนของเขา

 

“แต่ต้นหนามจะงอกตรงนี้ได้อย่างไร!” ฉางหนิงขมวดคิ้วสีหน้าไม่เข้าใจ

 

“ไม่เป็นไร ยิ่งมันหนาและยาวเท่าไหร่ มันยิ่งเหนียวและสามารถปกป้องเผ่าจากภายนอกได้มากขึ้นเท่านั้น”

 

“กําแพงหินหนากว่านี้หน่อยได้หรือไม่” ฉางหนิงถามอีกครั้ง

 

“แน่นอน!” มู่เฟิงพยักหน้า “กําแพงแบบนี้ยิ่งสูงยิ่งดี ยิ่งหนาก็ยิ่งดี! นอกจากนี้เจ้ายังสามารถปิดกั้นช่องว่างระหว่างหินด้วยน้ําและดินโคลนเพื่อให้มันแข็งแกร่งขึ้น!”

 

แข็งแกร่ง” ฉางหนิงก้มหน้าพึมพํากับตัวเองดวงตาเป็นประกาย ขนตายาวเหมือนตะขอที่ดึงดูดใจ

 

“ข้าเข้าใจแล้ว!” ฉางหนิงเงยหน้า เผยรอยยิ้มสดใส ปรากฏลักยิ้มที่แก้มของนาง

 

“เฮ้อ!” มู่เฟิงอุทานในใจ “ถ้าสาวน้อยคนนี้อยู่ในยุคปัจจุบันเธอจะต้องเป็นสาวสวยระดับหายนะอย่างแน่นอน!”

 

“ถ้าอย่างนั้นรบกวนท่านสอนข้าถึงวิธีการป้องกันหอกไม้ไผ่!”ฉางหนิงมองตามู่เฟิงปริบๆ ราวกับลืมฐานะของตัวเองที่สูงส่ง

 

“นี่” มู่เฟิงเกาหัว “ของสิ่งนั้นยังไม่มี แต่สามารถทําขึ้นมาตอนนี้ได้”

 

“ทําตอนนี้?”ดวงตาของฉางหนิงเป็นประกาย กระโดดโลดเต้นเหมือนกวางน้อย

 

“เยี่ยมไปเลย ให้ข้าดูอยู่ข้างๆจะได้ไหม?”

 

“ได้สิ!” มู่เฟิงพยักหน้า จากนั้นไปพบหลี่หูและให้เตรียมอุปกรณ์ เป็นหญ้าแห้งที่เตรียมไว้ และท่อนไม้เรียวยาวกับเส้นเอ็นของเผ่าที่ใช้มัดหนังสัตว์

 

เมื่อเห็นสิ่งของที่ไม่เกี่ยวข้องกันเหล่านี้วางอยู่ ฉางหนิงตกตะลึงและไม่รู้ว่ามู่เฟิงจะทําอะไร มู่เฟิงมองไปที่หลีหูและกล่าวว่า “พวกเจ้าเองก็ดูตัวอย่างเช่นกัน ต่อไปเผ่าของเราต้องการของพวกนี้!”

 

“อุกะอุกะ” หลี่หูตอบอย่างตรงไปตรงมาและยืนนิ่ง

 

มู่เฟิงหยิบหญ้ามุงจากที่ยาวเกือบ 1 เมตรขึ้นมา วางหัววางเท้าให้เท่ากันจับมัดจนแน่น จากนั้นใช้เส้นเอ็นของสัตว์อสูรมัดให้แน่นทุกระยะ มัดเป็นกํามือแล้ววางลงกับพื้น จากนั้นเขาก็ทําแบบเดิมอีก 20 ชิ้น กระบวนการทุกอย่างที่มู่เฟิง ทําหลีหูและ ฉางหนิงต่างยืนมองอยู่ด้านข้าง ไม่กล่าววาจาสักคํา

 

จากนั้น มู่เฟิงก็วางหญ้าเป็น 2 ชั้น ชั้นบนใช้ไม้วางไว้อีกชั้นหนึ่งแล้วใช้เส้นเอ็นมัดเหมือนเดิม

 

หลังจากมัดท่อนไม้รวมกับมัดหญ้าก็กลายเป็นโล่หญ้าสูง 1 เมตร

 

หลังจากนั้น มู่เฟิงก็ใช้เส้นเอ็นหลายเส้นมาผูกด้านข้างของท่อนไม้เพื่อไว้สําหรับใช้มือสอดเข้าไปพอดี

 

“สําเร็จแล้ว!” มู่เฟิงถอนหายใจ แต่ฉางหนิงและหลีหูยังคงสงสัย

 

“สิ่งนี้มีประโยชน์อย่างไร?”

 

“ง่ายมากข้าจะแสดงให้ดู!” มู่เฟิงส่งโล่หญ้าให้กับหลี่หู

 

“ เจ้ายกมันขึ้นเหนือศีรษะ ป้องกันศีรษะเอาไว้แบบนี้”

 

“อุกะอุกะ!” แม้ว่าหลี่หูจะรู้สึกแปลกใจแต่เขาก็ยังคงพยักหน้าและทําตาม มู่เฟิงยกหอกไม้ขึ้นมาจากด้านข้างและถอยหลังไป 2 ก้าว ก่อนที่จะโยนใส่โล่หญ้าที่เขาทําขึ้น

 

“ปีก” หอกไม้ปักลงตรงโล่หญ้า หลี่หูรู้สึกสะเทือนแขนทั้งสองข้างหลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

“เป็นอย่างไรบ้าง ตอนนี้เจ้ารู้วิธีการป้องกันหอกไม้ไผ่แล้ว!” มู่เฟิงหันไปมองฉางหนิง

 

“นี่” ฉางหนิงตกตะลึงใบหน้างดงามแดงระเรื่ออีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะความตื่นเต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาที่สดใสของนางเปล่งประกายเหมือนน้ําในฤดูใบไม้ผลิ นางมองไปที่มู่เฟิง ราวกับว่ามองเห็นสมบัติล้ําค่าา แม้แต่มู่เฟิงยังรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว