ตอนที่ 26 - 3 หนี้แค้นต้องชำระ

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2]

“พี่สาว พวกเราไปกันเถิด” 

 

 

“ไปที่ใด” 

 

 

“ข้าจะส่งท่านไปยังสถานที่ที่ผู้อื่นนึกไม่ถึง ท่านอาศัยอยู่ที่นั่น รอให้ข้ากระทำเรื่องราวเสร็จสิ้นแล้วข้าจะกลับมา” 

 

 

“เสี่ยวฉี” 

 

 

“อืม” 

 

 

“เจ้าโกหกอีกแล้ว ทุกครั้งยามโกหกเจ้าจะยิ้มแย้มน่าลุ่มหลงนัก เจ้ารู้หรือไม่ว่าเช่นนี้ไม่ดี? แม่นางน้อยจะตามตื๊อไม่หยุดด้วยเหตุนี้” 

 

 

“เช่นนั้นยิ่งดีมิใช่หรือ? ท่านโวยวายอยากได้น้องสะใภ้ตลอดเวลาไม่ใช่หรืออย่างไร” 

 

 

“ข้าไม่หวังให้เจ้าจะต่อสู้เพื่อผู้อื่นครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนแม่นางน้อยตามตื๊อเจ้าไม่หยุด ไม่ห่วงแม้แต่ชีวิต” 

 

 

“ท่านพี่ อากาศหนาวเกินไป สมองท่านคล้ายเยือกแข็งจนเริ่มเลอะเลือนแล้ว” 

 

 

“เลอะเลือนมากกว่านี้ยังได้สติมากกว่าเจ้า ข้าลำบากลำบนดูแลเจ้ามาตั้งแต่แบเบาะ เจ้าร้องไห้แอะเดียวข้ายังรู้เลยว่าเจ้าต้องการนมหรือผ้าอ้อม เอ่ยว่าส่งข้าไปยังสถานที่ปลอดภัยแล้วค่อยมารับข้าอะไรนั่น เจ้ายังกลับมาได้อีกหรือ?” 

 

 

“ยิ่งเอ่ยข้ายิ่งไม่เข้าใจแล้ว” 

 

 

“ไม่ต้องมายิ้ม เห็นแล้วคลื่นไส้ เจ้าแยกจากนางด้วยเพราะล่วงเกินนิกายสวรรค์จิ่วฉงกับตระกูลเหยียลี่ว์ นับแต่วันนี้ไป เจ้าคงไม่ได้สงบสุขอีกเลย ส่วนข้างกายนางได้รับการปกป้องเพียงพอแล้ว เจ้าไม่อยากเพิ่มปัญหาให้นางอีก แน่นอนว่าเจ้าก็ไม่อยากนำพาอันตรายมาให้ข้าด้วย รอให้เจ้าส่งข้าไปยังสถานที่ปลอดภัยแล้ว ข้าคิดว่าชั่วชีวิตนี้ ข้าคงรอเจ้าไม่ไหวแล้ว” 

 

 

“ต่อให้ไม่อาจปกป้องสตรี บุรุษจะเป็นภาระของสตรีไม่ได้เด็ดขาด ท่านพี่ วาจานี้ท่านเป็นคนสอนข้า” 

 

 

“ต่อให้ไม่อาจพลิกผันสถานการณ์ สตรีจะเป็นภาระของบุรุษไม่ได้เด็ดขาด วาจานี้เป็นสิ่งที่ข้าเอ่ยไว้เช่นกัน” 

 

 

“ท่านพี่ แต่ไหนแต่ไรมาเหยียลี่ว์ฉีไม่ใช่ผู้ถูกกระทำถูกทำร้าย หลายปีมานี้แม้ทุ่มเทแรงกายแรงใจเป็นราชครูแทนผู้อื่น แต่ท่านนึกว่าข้าไม่ได้ตระเตรียมไม่มีพละกำลังเลยจริงหรือ?” 

 

 

“ข้ารู้ว่าเจ้าเตรียมไว้ เจ้าจากไปเพื่อมุ่งมั่นต่อสู้กับนิกายสวรรค์จิ่วฉงและตระกูลเหยียลี่ว์ เจ้ายังอยากค้นหาชาติกำเนิดของเจ้า ไม่อาจหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับตระกูลเหยียลี่ว์ เสี่ยวฉี เรื่องนี้ควรทำตั้งนานแล้ว เจ้ากล้ำกลืนความอัปยศมานานหลายปี ถูกตระกูลเหยียลี่ว์ควบคุมมานานหลายปี ต้องรักษาสมดุลทุกสิ่งทุกอย่าง ยอมอ่อนข้อให้กงอิ้นเพื่อข้า ยามนี้น่าจะได้เวลาแสดงปณิธานลูกผู้ชายอีกครั้ง ต่อสู้ความปรวนแปรสามร้อยรอบอีกครั้ง ข้าขอเพียงสิ่งเดียว พาข้าไปด้วย” 

 

 

“ท่านพี่ ง่วงหรือไม่ นอนก่อนสักตื่นเถิด?” 

 

 

“ได้ ทว่าหากข้าตื่นมาไม่เจอเจ้า เจ้าอย่าลืมกลับมาเก็บศพให้ข้าด้วย” 

 

 

“สวินหรู!” 

 

 

“จะพาข้าไปด้วยหรือทิ้งศพของข้าไว้ เจ้าเลือกเอง” 

 

 

“สตรีเฮงซวย!” 

 

 

“แน่จริงเจ้าเรียกข้าว่าหญิงแพศยาเฮงซวยสิ” 

 

 

“ท่านพี่…” 

 

 

“เป็นหรือตาย ข้าหวังเพียงได้อยู่ด้วยกันกับน้องชายข้า” 

 

 

… 

 

 

“ได้สิ อยู่ด้วยกัน” 

 

 

… 

 

 

จิ่งเหิงปัวยืนอยู่ปากหุบเขาสักพัก ผ่านไปไม่นาน ได้ยินเสียงดังเอะอะไกลออกไป แอบตกใจจนกล่าวไม่ออก…ฆ่าคนกันรวดเร็วเหลือเกิน 

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวาย 

 

 

“ไอ้เด็กโง่จากที่ใด กล้าขวางทางข้าหรือ?” 

 

 

“ไอ้บ้านนอกจากที่ใด กล้าไม่ให้ข้าขวางทางหรือ?” 

 

 

“ว้าวๆ เจ้าชีชี เจอคนบ้าคลั่งยิ่งกว่าพวกเราแล้ว จะเข้าไปจัดการเขาหรือไม่?” 

 

 

“ต่อยเขา! ต่อยเขา!” 

 

 

… 

 

 

“ไอ้พวกสารเลวฝูงนี้ ขัดขวางข้าฆ่าคนด้วยเหตุใด!” 

 

 

“ด้วยเพราะเจ้าจะฆ่าคนอย่างไร!” 

 

 

… 

 

 

“บ้าบอ! หากถูกไอ้สารเลวฝูงนี้ขวางต่อไป ข้าต้องแพ้แน่! เชือดพวกเขา!” 

 

 

“อ๊ะๆๆ ปลาไหลเทาท่าร่างพวกเจ้ารวดเร็วนัก! ฝึกฝนจากที่ใดกัน? ฝึกฝนอย่างไรกัน? โอ้ ร่างกายพวกเจ้านุ่มลื่นยิ่งนัก! โอ้ พวกเจ้าเอวบางยิ่งนัก! โอ้ แท้จริงแล้วพวกเจ้าไม่ได้สวมกางเกงล่ะ! โอ้ เล็กขนาดนี้จนใบไม้ใบเดียวยังบังน้องชายน้อยของเจ้าไว้ได้? โอ้ กระจอกเกินไปแล้วเจ้าอยากเห็นของข้าหรือไม่…” 

 

 

“หุบปาก! ฆ่าพวกเขา!” 

 

 

… 

 

 

จิ่งเหิงปัวกุมขมับ 

 

 

นางรู้สึกว่าถ้าใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไป หน้าผากตัวเองคงเกิดรอยย่นเพิ่มขึ้นมากแน่นอน 

 

 

พวกเฮฮามาเยือนแล้ว 

 

 

พวกเฮฮามักมาเยือนมาก่อเรื่องหลังหมดเรื่องหมดราว 

 

 

เผยซูผู้น่าสงสารได้พบเจอพวกเฮฮาระหว่างการแข่งขันฆ่าคนแน่นอน แต่ไหนแต่ไรมาพวกเฮฮาเห็นใครน่าสนใจจะก่อกวนคนนั้น เจ้าอยากทำสิ่งไหนพวกเขาจะต้องทำลายสิ่งนั้น เผยซูกระตุ้นความสนใจของพวกเขา ดูท่าทางการแข่งขันฆ่าคนครั้งนี้เขาคงแพ้แน่แล้ว 

 

 

เสียงปึงปังดังขึ้นระลอกหนึ่ง ผ่านไปครู่หนึ่ง จิ่งเหิงปัวมองเห็นอีชีกับซือซือคล้องคอเผยซูทั้งซ้ายทั้งขวาเดินมาถึงแล้ว อีชีทักทายนางดังลั่นแต่ไกลว่า “ภรรยา เจ้าหายไปที่ใดกัน ข้าตามหาจนร้อนใจแทบแย่แล้ว อ๊ะ ไอ้หนุ่มร่างเทาผู้นี้คือคนที่เจ้าแอบคบด้วยคนใหม่หรือ? ข้าไม่ได้ว่าเจ้านะ แต่สายตาหาบุรุษของเจ้าย่ำแย่มากขึ้นทุกวันแล้ว…” 

 

 

เสียงปึงปังดังขึ้นอีกระลอกหนึ่ง เงาสามเงาทะเลาะวิวาทเป็นกลุ่มเดียว จิ่งเหิงปัวไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ หันไปคุยกับเทียนชี่ที่รีบตามมาอีกฝั่งหนึ่ง 

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่งเทียนชี่จากไป จิ่งเหิงปัวหันหน้ากลับมาเห็นว่าทะเลาะวิวาทเสร็จแล้ว เผยซูฉีกเสื้อคลุมยาวของอีชีพันช่วงเอวไว้ ถูกพวกเฮฮาเจ็ดคนล้อมไว้หลายชั้น ถลึงตามองด้วยความโกรธ 

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าวันเวลาต่อจากนี้ต้องคึกคักมากแน่ 

 

 

“เป็นอย่างไร” นางถามเฉวียนหนิงเหาคนเดียวที่ไว้ใจได้ 

 

 

“บริเวณนี้มีลูกหลานตระกูลเซวียนหยวนจ้องหาโอกาสอยู่จริง” เฉวียนหนิงเหารายงานด้วยเสียงดังฟังชัดว่า “พวกเราสังหารองครักษ์ของคนเหล่านี้ ส่งคนขับไล่ลูกหลานเหล่านี้เข้าปากทางภูเขาบริเวณใกล้เคียง ภูเขาลูกใหญ่ทางนี้มีบึงโคลนทั่วทุกแห่ง สัตว์ร้ายนับมิถ้วน เส้นทางแปลกประหลาด ต่อให้พวกเขาโชคดี รอดพ้นบึงโคลนแล้วหลบซ่อนสัตว์ร้ายแล้ว ไม่วกวนสักพักใหญ่ย่อมออกมาไม่ได้” 

 

 

“ดีเลย!” จิ่งเหิงปัวตบมือ กล่าวกับเซวียนหยวนฉี่ที่ฟังอย่างมึนงงอยู่ฝั่งหนึ่งว่า “นายน้อยรอง ได้ยินหรือไม่? ยามนี้ศัตรูของเจ้าหายไปหมดแล้ว ยามนี้ผู้สืบทอดตระกูลเซวียนหยวนเหลือเจ้าเพียงคนเดียว ต่อให้ท่านพ่อเจ้าไม่เต็มใจ เขาคงได้แต่เลือกเจ้าเป็นผู้นำตระกูล เจ้าจะยินดีปรีดา กลับไปให้ท่านพ่อเจ้ามองเห็นพลังน่าเกรงขามของเจ้าหรือไม่?” 

 

 

เซวียนหยวนฉี่สั่นสะท้านทั่วร่าง ลางสังหรณ์อยากจะส่ายหน้า พอเงยหน้ามองเห็นดวงตาที่ยิ้มแย้มวูบไหวของจิ่งเหิงปัว ก็สั่นสะท้านทั่วร่างมากกว่าเดิม พยักหน้าอย่างรีบร้อน 

 

 

“กดไลค์!” จิ่งเหิงปัวตบมืออีกครั้ง กล่าวว่า “เช่นนั้น เสี่ยวฉี่จื่อ รีบกลับบ้านไปทำให้ท่านพ่อเจ้าโมโหแทบสิ้นชีพเถิด!” 

 

 

… 

 

 

ภายในคฤหาสน์ใหญ่ในเมืองเป่ยซิน ไอควันอึมครึม ประดับผ้าดำผ้าขาว ธงเรียกวิญญาณสีดำปะทะลมโบกสะบัด พอคนเดินถนนมองเห็นย่อมรู้ว่ากำลังจัดงานศพ 

 

 

วันนี้เป็นวันแรกของปีถือว่าเป็นวันมงคล เมื่อพบเจอเรื่องเช่นนี้มักเป็นเคราะห์ร้าย คนเดินถนนต่างรีบร้อนเดินอ้อมคฤหาสน์หลังนั้น เดินไปพลางแปลกใจไปพลาง ตระกูลนี้จัดงานศพวันที่หนึ่ง ทว่าประตูและลานบ้านค่อนข้างคึกคัก องครักษ์นับไม่ถ้วน รถม้ารถเกี้ยวจอดเป็นแถว ยิ่งกว่านั้นพอมองรถม้าเหล่านั้น รู้เลยว่าแขกเหรื่อต้องร่ำรวยหรือสูงศักดิ์ 

 

 

งานศพมีหน้ามีตาหรือไม่ ก็เพียงมองฐานะของตระกูลเจ้าภาพว่าเป็นอย่างไร งานศพของบุตรชายคนโตตระกูลเซวียนหยวน ผู้นำเผ่าหวงจินร่วมพิธีศพด้วยตนเอง ขุนนางเผ่าหวงจินที่เหลือย่อมไม่อาจฉลองปีใหม่อยู่ที่จวน ต่างรีบร้อนตามมา 

 

 

กลางห้องโถงตั้งศพ เซวียนหยวนจิ้งจัดการพิธีศพด้วยตนเอง ความโศกเศร้าเจ็บปวดยามคนผมขาวส่งคนผมดำทำให้เขาคล้ายชราขึ้นสิบปีเพียงพริบตา ทว่ามองดูขุนนางเต็มห้องโถง พอจะรู้สึกปลอบใจเล็กน้อย…บุตรชายคนโตสิ้นชีพแล้วยังเหลือกิตติศัพท์ นับว่าไม่ทำให้ผิดหวังที่ได้เป็นพ่อลูกกันครั้งหนึ่ง 

 

 

หลังผู้นำเผ่าหวงจินเข้ามาจุดธูปแล้วยังไม่ได้จากไป นั่งอยู่หลังห้องโถงโดยมีเซวียนหยวนจิ้งเคียงข้างดื่มชาด้วยตนเอง แท้จริงแล้วสองคนกำลังรอคอยข่าวสาร 

 

 

“ก่อนหน้านี้มองเห็นดอกไม้ไฟลุกไหม้ ค้นพบเหมืองทองแล้ว” เซวียนหยวนจิ้งเอ่ยวาจา สีหน้าปลาบปลื้ม 

 

 

จินจ้าวหลงไม่ได้เอ่ยวาจา หัวคิ้วขมวดเล็กน้อย ในใจเขาแอบรู้สึกไม่สบายใจ ด้วยเพราะตามแผนการส่วนตัวของเขา ทหารจินชือจะใช้กำลังเข้าแย่งชิง หลังสำเร็จแล้วจะมีดอกไม้ไฟแจ้งข่าวเช่นกัน ทว่ายามนี้ดอกไม้ไฟชักช้ามาสาย 

 

 

วาจานี้บอกกล่าวเซวียนหยวนจิ้งไม่ได้ เขาได้แต่ดื่มชาด้วยความกลัดกลุ้มอึกแล้วอึกเล่า รู้สึกเพียงว่าตั้งแต่เมื่อคืนนี้ ทุกสิ่งคล้ายผิดปกติไปหมด นางระบำลึกลับปรากฏกาย เซวียนหยวนเหว่ยถูกลอบสังหาร ยามนี้แม้แต่ฮูหยินเหยายังหายตัวไปด้วย เขาเงยหน้ามองดูท้องฟ้าสีเทาทะมึนข้างนอก คล้ายมองเห็นมือยักษ์คู่หนึ่งเลือนราง กอบกุมสายลมหิมะอย่างเงียบเชียบ ขว้างมาทางเขาอย่างรุนแรง… 

 

 

เขาอดจะสั่นสะท้านทั่วร่างไม่ได้ พอหันหน้ากลับมามองเห็นเซวียนหยวนจิ้งจิตใจล่องลอยเช่นเดียวกัน อดจะเอ่ยไม่ได้ว่า “ผู้ชราจิ้ง…เจ้าคล้ายมีเรื่องในใจเล็กน้อย…” 

 

 

ยามปกติเขาจะไม่ตรงไปตรงมาขนาดนี้ ทว่าวันนี้ คล้ายต้องล่วงรู้ความไม่สบายใจของผู้อื่นถึงทำให้ความไม่สบายใจของตนเองลดลงไปได้ 

 

 

“อา…อา” เซวียนหยวนจิ้งงงงวยอยู่ครู่หนึ่งเพิ่งฟื้นคืนสติ จากนั้นถอนใจ เอ่ยว่า “ข้า…ข้ามองเห็นคนผู้หนึ่ง” 

 

 

ยามปกติเขาจะไม่ตรงไปตรงมาขนาดนี้เช่นกัน ทว่าวันนี้หวังควบคุมหัวใจที่เต้นตึกตักตลอดเวลาด้วยการระบายความในใจ 

 

 

รอยยิ้มงดงามเปล่งปลั่งในห้องโถงครั้งหนึ่งนั้นของจิ่งเหิงปัว ทำให้เขาตกใจไม่น้อยโดยแท้ 

 

 

คำว่า ‘คนแรก’ สองคำนั้น แทบจะทำให้เขาตกใจจนฝันร้าย 

 

 

“ผู้ใดกัน?” 

 

 

เซวียนหยวนจิ้งอ้าปากเล็กน้อย หวังเอ่ยวาจาทว่าไม่เอื้อนเอ่ย ผ่านไปครู่ใหญ่เอ่ยอย่างโหดเ**้ยมว่า “สรุปแล้ว ข้าสั่งให้คนเฝ้าล้อมทั้งนอกทั้งในห้องโถงตั้งศพแห่งนี้ หากนางกล้ามา ต้องให้นางมาได้กลับไม่ได้!” 

 

 

“เป็นผู้ใดกันแน่?” 

 

 

“อึ่ก…จิ่งเหิงปัว…” เซวียนหยวนจิ้งเอ่ยอย่างขมขื่นว่า “นางระบำนางนั้นนั่นล่ะ…” 

 

 

“เป็นนางนั่นเอง!” จินจ้าวหลงชะงักครู่ใหญ่ จากนั้นดวงตาเปล่งประกาย เอ่ยว่า “ต่างเอ่ยว่าราชินีจิ่งงดงามล้ำเลิศ วันนี้ได้เห็นงดงามสมคำร่ำลือ! เพียงแต่ผู้ชราจิ้ง ในเมื่อเป็นนางเจ้ากลัวอะไร? ก็แค่สตรีหมดอำนาจนางหนึ่งเท่านั้น! เหอะๆ หากเจ้ากลัวจริง ให้เปิ่นจั้วจับนางแทนเจ้า! เพียงแต่…” เขาพลันหัวเราะแผ่วเบา เอ่ยสืบต่อว่า “จับนางแล้วคงมอบให้เจ้าทันทีไม่ได้ เปิ่นจั้วต้องไต่สวนด้วยตนเองก่อน ไต่สวนให้เต็มที่…” 

 

 

เซวียนหยวนจิ้งฝืนยิ้มมองเขาปราดเดียว…บ้ากามจนเลอะเลือน! 

 

 

ทว่าเอ่ยอะไรได้ลำบากเช่นกัน ได้แต่ยกกำปั้นคารวะขอบคุณ พลันได้ยินเสียงคนดังเอะอะข้างนอก ขณะที่เขาเพิ่งเปลี่ยนสีหน้าลุกขึ้นยืน คนของตระกูลผู้หนึ่งก็วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วแล้ว เอ่ยว่า “ฝ่าบาท! ใต้เท้าเซวียนหยวน นายน้อยรองกลับมาแล้ว!” 

 

 

เซวียนหยวนจิ้งยิ้มแย้มดีใจ ปล่อยวางความกังวลแล้ว พลันเอ่ยว่า “ถอนกำลังองครักษ์ รีบเชิญเข้ามา!” 

 

 

คนของตระกูลออกไปถ่ายทอดคำสั่ง องครักษ์ที่ล้อมข้างนอกจนเบียดเสียดแน่นขนัดเปิดทางโดยพลัน เซวียนหยวนฉี่พาองครักษ์กลุ่มหนึ่งตรงเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย เซวียนหยวนจิ้งกับผู้นำเผ่าหวงจินรีบร้อนออกมา เซวียนหยวนจิ้งเป็นห่วงบุตรชาย ปราดแรกมองเห็นแขนเสื้อข้างหนึ่งของเซวียนหยวนฉี่ว่างเปล่า ตกใจจนยืนนิ่งฉับพลัน 

 

 

“ลูกข้า…นี่เจ้า…” 

 

 

เซวียนหยวนฉี่ยืนอยู่กลางห้องโถงตั้งศพ ปราดแรกมองเห็นอักษร ‘เซ่นไหว้’ สีดำใหญ่โตนั้น จากนั้นมองดูสีหน้าที่เปลี่ยนไปของทุกคนรอบด้าน ในใจพลันมีความรังเกียจหอบหนึ่งพวยพุ่ง 

 

 

เขาเอื้อมมือชี้อักษร ‘เซ่นไหว้’ กับโลงศพนั้นเพียงครั้ง ร้องว่า “ทำลายมัน!”