ฉินหร่านทำการทดลองเสร็จหมดเรียบร้อยแล้ว
ฉินหร่านมองลงไปที่เครื่องมือบันทึกพลังงาน เมื่อถึงค่าสูงสุดที่เธอประมาณการไว้แล้ว เธอก็เริ่มผ่อนคลาย จัดการวัสดุอุปกรณ์เสร็จก็กลับไปที่คอมพิวเตอร์ เขียนลงไปในนั้นต่อ
เวลาสิบโมงครึ่ง กลุ่มนักวิจัยเลี่ยวที่ไปดูเครื่องปฏิกรณ์ชั้นใต้ดินก็กลับมากันแล้ว
รุ่นพี่เยี่ยและจั่วชิวหรงต่างก็รู้สึกมีแรงใจเป็นอย่างมาก ทันทีที่กลับมาก็หยิบคอมพิวเตอร์มาบันทึกแรงบันดาลใจและแนวคิดที่พุ่งทะยานออกมา
นักวิจัยเลี่ยวกลับไปทำการทดลองต่อ
ฉินหร่านทำการวิเคราะห์เนื้อหาการทดลองในขั้นตอนนี้เสร็จสมบูรณ์แล้วและจดบันทึกไว้อย่างดี เธอมองลงไปที่หน้าจอบนโทรศัพท์
หนานฮุ่ยเหยาโทรหาเธออีกครั้งเมื่อสิบนาทีที่แล้ว
เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาปัดปลดล็อกหน้าจอ ในระหว่างการทดลองเธอไม่ได้โทรกลับ เธอจำได้ว่ารุ่นพี่เยี่ยและจั่วชิวหรงเคยบอกไว้ว่านักวิจัยเลี่ยวชอบความสงบ
เธอจึงกดวีแชทหารูปโปรไฟล์หนานฮุ่ยเหยา——
(?)
หนานฮุ่ยเหยาเหมือนกำลังนั่งแกร่วรอเธออยู่ เธอตอบกลับอย่างไว——
(ตอนเช้าไม่ได้ไปเรียนเหรอ? วิศวกรรมนิวเคลียร์ไม่เห็นเธอเลย)
ฟังดูเหมือนจะนั่งแกร่วอยู่ที่ห้องเรียนวิศวกรรมนิวเคลียร์จริงๆ
ฉินหร่านตอบอย่างเนิบนาบ——
(ห้องปฏิบัติการ)
หนานฮุ่ยเหยา :(เที่ยงครึ่งพวกเรามากินข้าวด้วยกันเถอะ โรงอาหารนั่นที่อยู่ใกล้เธอที่สุด ชั้นสาม!)
หลังจากนั้นไม่นาน ฉินหร่านก็ตอบว่า ”ตกลง”
หลังจากตอบหนานฮุ่ยเหยาเสร็จ ฉินหร่านก็โยนโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ ขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้
เธอเพิ่งตระหนักได้ว่า“พวกเรา” ที่หนานฮุ่ยเหยาพูดยังมีสิงไคกับฉู่หัง…
เมื่อมองไปที่โทรศัพท์ได้สักพักฉินหร่านก็เปิดทำแผนผัง นึกถึงการทดลองเครื่องปฏิกรณ์ที่ตัวเองเพิ่งทำไปแล้ววาดขึ้นมาใหม่
เวลา 12.10 น. ฉินหร่านเก็บคอมพิวเตอร์ใส่ในกระเป๋าเป้สีดำ ลากเก้าอี้เบาๆ และเดินออกไป
รุ่นพี่เยี่ยที่เพิ่งเขียนแรงบันดาลใจของตัวเองเสร็จได้ไม่นานก็เงยหน้าจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ตัวเอง เขาเห็นฉินหร่านที่อยู่นอกหน้าต่างกระจกพร้อมกับถือกระเป๋าเป้ไว้ในมือ
ในโซนห้องปฏิบัติการ ตอนที่นักวิจัยเลี่ยวรินน้ำและเดินผ่านโต๊ะทดลองตัวหนึ่ง เขาก็เห็นข้อมูลบนเครื่องมือทดลอง หรี่ตาลง “พวกเธอได้ทำการทดลองตรงนี้ไหม?”
เขาเอียงศีรษะถามจั่วชิวหรงที่อยู่ภายนอก
จั่วชิวหรงเงยหน้าขึ้นจากคอมพิวเตอร์ พอเห็นแล้วว่านักวิจัยเลี่ยวชี้ไปที่โต๊ะทดลอง เธอก็ส่ายหน้า “ฉันกับรุ่นพี่เยี่ยมักจะทำการทดลองภายในเขตชั้นสอง”
นักวิจัยเลี่ยวดื่มน้ำและพยักหน้าเบาๆ
ยืนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วมองไปที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ของฉินหร่าน
**
เวลาเที่ยงครึ่ง ฉินหร่านไปพบกลุ่มของหนานฮุ่ยเหยา
และในขณะเดียวกัน ที่ร้านอาหารส่วนตัวลึกลับแห่งหนึ่งในเมืองหลวง
ซุปตาร์ฉินและผู้จัดการไปถึงก่อนเวลา
ฉินซิวเฉินนั่งบนเก้าอี้ ถอดเสื้อแจ็คเก็ตทรงถังน้ำแขวนไว้ข้างๆ
ผู้จัดการยกกาน้ำชาที่วางบนโต๊ะขึ้นมาและรินชาให้ฉินซิวเฉินกับตัวเองคนละถ้วย ไม่ได้รีบร้อนสั่งอาหาร แต่กำลังรอเถียนเซียวเซียวกับพี่เวินมาที่นี่
“ฉันยังคิดอยู่เลยว่านายคงไม่ไปหาเถียนเซียวเซียวแล้ว” ผู้จัดการถือถ้วยชา เขามองฉินซิวเฉินแล้วยิ้ม
ฉินซิวเฉินพิงเก้าอี้ ปลายนิ้วเรียวเคาะโต๊ะเป็นพักๆ แววตาเป็นสีจาง ไม่ต่อปากต่อคำ
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่มาหาเธอแน่ๆ …
แต่ว่าตอนนี้ฉินซิวเฉินนึกถึงคำพูดที่พ่อบ้านฉินคุยกับเขาเมื่อคืน เขาหรี่ตาลง
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่นั้น โทรศัพท์ผู้จัดการก็ดังขึ้น พี่เวินเป็นคนโทรมานั่นเอง เขาจึงรีบลุกขึ้นไปเปิดประตู เถียนเซียวเซียวกับพี่เวินก็มาถึงหน้าประตูพอดี
“เข้ามาก่อน” ร้านอาหารส่วนตัวนี้มีความเป็นส่วนตัวสูง ผู้จัดการจึงไม่กลัวว่าจะมีปาปารัซซี่ พอพวกเธอเดินเข้ามาเขาถึงปิดประตู
“ซุปตาร์ฉิน” พี่เวินกับเถียนเซียวเซียวทักทายด้วยความเคารพนบน้อม
ซุปตาร์ฉินยืนขึ้น เขายังคงดูสุขุมและสุภาพเช่นเคย “ทั้งสองท่าน เชิญนั่ง”
ยื่นเมนูอาหารให้พวกเธอ
เถียนเซียวเซียวปฏิเสธ “ซุปตาร์ฉิน คุณสั่งอะไรพวกเราก็กินอันนั้นแหละค่ะ!”
พวกเธอยังคงกล้าๆ กลัวๆ ไม่มีใครยอมสั่ง ซุปตาร์ฉินจึงไม่ได้บังคับให้พวกเธอสั่งแต่ยื่นให้ผู้จัดการแทน
ผู้จัดการถามรสปากของทั้งสองเสร็จก็สั่งอาหารมาเต็มโต๊ะ
เมื่ออาหารเสิร์ฟแล้ว ซุปตาร์ฉินก็เม้มริมฝีปาก “ที่ผมมาพบคุณเถียนวันนี้…”
“ไม่ค่ะ ซุปตาร์ฉิน คุณเรียกฉันว่าเซียวเซียวเหมือนหร่านหร่านก็ได้!” ตอนนี้เถียนเซียวเซียวรู้สึกว่าจะร้องไห้ก็ไม่ได้ หัวเราะก็ไม่ออก “ถ้าหร่านหร่านรู้ว่าคุณเรียกฉันว่าคุณเถียน…”
เมื่อพูดถึงฉินหร่าน ท่าทีของซุปตาร์ฉินก็ดูอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย
เขาไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งและถามว่า “คุณเป็นลูกศิษย์ในนามของอาจารย์เว่ย?”
“ใช่แล้วค่ะ” เมื่อเถียนเซียวเซียวที่กำลังหยิบตะเกียบขึ้นมาได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า
เหมือนซุปตาร์ฉินจะถอนหายใจเล็กน้อย เขาไม่ได้ทานข้าวแต่ดื่มแค่ชา “ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับอาจารย์เป็นยังไงบ้าง?”
“คุณหมายถึงอาจารย์เว่ยน่ะเหรอคะ?” เถียนเซียวเซียวถือตะเกียบพลางมองมาที่ซุปตาร์ฉิน กระแอมด้วยความกระดากอาย “นอกจากที่เขารังเกียจความสามารถของฉันที่ไม่ดีแล้ว…ความสัมพันธ์อื่นๆ ก็พอใช้ได้มั้งคะ”
ในบรรดาลูกศิษย์สามคนของอาจารย์เว่ย เธอแย่ที่สุดแล้ว
เถียนเซียวเซียวไม่เคยเอาไปพูดข้างนอกว่าเธอเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์เว่ย เพราะเมื่อเทียบกับศิษย์แกสองคนนั้นแล้ว…
เธอดูจะทำได้ไม่ดีเอาเสียเลย…
แม้เถียนเซียวเซียวจะพูดออกจากปากว่า “พอใช้ได้” แต่ท่าทางกลับโกหกคนอื่นไม่ได้ ความสัมพันธ์น่าจะไม่เลว
ฉินซิวเฉินเงียบไปครู่หนึ่ง
เถียนเซียวเซียวรออีกสักพักก็ไม่รอให้ซุปตาร์ฉินเอ่ยขึ้นมา เธอเงยหน้าถาม “คุณอยากถามเรื่องอาจารย์ฉัน?”
ซุปตาร์ฉินวางถ้วยชาลงก่อนจะพูดด้วยความลังเล “ที่ผมมาพบคุณวันนี้ก็เพราะมีเรื่องอยากขอให้คุณช่วย…”
เถียนเซียวเซียววางตะเกียบลงทันที เหมือนยังดูตื่นเต้น “คุณบอกมาได้เลยค่ะ ตราบใดที่ฉันสามารถช่วยได้บ้าง เถียนเซียวเซียวคนนี้จะบุกน้ำลุยไฟไม่ยอมถอย!”
ฉินหร่านและซุปตาร์ฉินช่วยเธอไว้มาก…
จากที่ไม่มีอะไรกลายเป็นได้ดิบได้ดี…
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เธอมองไม่เห็นโอกาสที่จะตอบแทนพวกเขาได้เลยเพราะคนเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่มีภาระหน้าที่ระดับบอส เถียนเซียวเซียวคิดว่าเธอคงไม่มีโอกาสทำอะไรตอบแทนพวกเขาไปอีกตลอดชีวิตนอกจากเสิร์ฟชารินน้ำให้เท่านั้น
พอได้ยินว่าฉินซิวเฉินมีธุระมาพบเธอ เธอจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร?
เมื่อผู้จัดการที่นั่งข้างซุปตาร์ฉินเห็นท่าทีของเถียนเซียวเซียวก็หลุดหัวเราะ “ไม่ได้ร้ายแรงถึงขนาดต้องบุกน้ำลุยไฟหรอก ซุปตาร์ฉินแค่อยากให้คุณช่วยแนะนำอาจารย์เว่ยให้รู้จักหน่อยน่ะ ไม่ทราบว่าคุณสะดวกไหม?”
พอพูดจบก็เห็นท่าทางตื่นเต้นของเถียนเซียวเซียวดูแข็งทื่อเล็กน้อย
ผ่านไปไม่กี่วินาที เธอก็กลับมานั่งลงดีๆ
เดิมทีผู้จัดการดูจากท่าทีของเถียนเซียวเซียวก็ยังคิดว่าเธอน่าจะตอบตกลง แต่ไม่คิดว่าพอพูดจบเถียนเซียวเซียวจะมีท่าทีแบบนี้
เขาเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพูดว่า “ถ้าไม่สะดวกก็ไม่ต้อง…”
“เอ๊ะ ไม่ใช่ค่ะ” เถียนเซียวเซียวเงยหน้า “ไม่ใช่ว่าไม่สะดวก ฉันก็แค่กำลังคิดอยู่ว่า…ทำไมพวกคุณถึงมาหาฉัน…”