ตอนที่ 190

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 190 – ก้าวก่าย (2)

“อะไรหรอครับ?”

“มันก็แค่… ทำไมคนแบบเธอถึง…”

ซอลวูซอกดูจะสับสนมากจนพูดออกมาไม่เป็นประโยคเลย เขาได้เริ่มพึมพำว่าทั้งหมดนี่เป็นเพียงความฝัน และไม่ได้เกิดขึ้นจริง

‘ทำไมพี่ถึงตกใจแบบนี้ล่ะ?’

“ไม่น่าเชื่อ มันไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ! สมาชิกคณะกรรมการผู้บริหารกลับสนใจในตัวพนักงานธรรมดา… ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเธอเป็นสมาชิกครอบครัวของเจ้าของธุรกิจจอีกด้วย เกิดเรื่องอะไขึ้นถึงได้ทำให้เธอคนนี้สนิทกับนายกันล่ะ? ฉันเกือบจะเผลอคิดไปว่าเธอเป็นแฟนของนาย”

ซอลจีฮูได้ชะงักไป

‘สมาชิกคณะกรรมการผู้บริหาร?’

เขาได้ยินมาว่าหัวหน้าทีมจะมาหาพวกเขา เมื่อคิดได้ว่าเกิดเรื่องผิดปกติมากๆขึ้นมา ซอลจีฮูก็ฝืนกลืนคำถามที่เกือบจะโพล่งออกมาแล้ว

‘สมาชิกคณะกรรมการผู้บริหาร แล้วก็สมาชิกตระกูลเจ้าของธุรกิจ?’

“ผมก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน แล้วพี่ก็รู้จักเธอเหมือนกันหรอครับ?”

“ก็แน่สิ สถาบันวิจัยของเราก็ยังเกี่ยวข้องกับเรื่องเภสัชภัณฑ์ หากว่านายไม่รู้จักยุนซอฮุยก็บ้าแล้ว”

“!”

ซอลจีฮูแทบจะกลั้นคำพูดที่เกือบจะหลุดออกมาไม่ไหว ในทันทีที่เขาได้ยินพูดชายพูดชื่อ ‘ยุนซอฮุย’ ขึ้นมาเขาก็เกือบจะร้องออกมาแล้ว

“ฉันไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลยจริงๆ”

นี่ก็เป็นสิ่งที่ซอลจีฮูอยากจะพูดเหมือนกัน

ซอลวูซอกได้โบกมือออกมา และในที่สุดพวกเขาก็ลุกขึ้นยืนจากที่นั่ง หลังจากส่ายหัวไปมา สายตาของซอลวูซอกก็ได้ตกลงมาบนกาแฟที่ซอลจีฮูสั่งมา ซอลวูซอกได้ค่อยๆหยิบแก้วกาแฟขึ้นมาหลังจากดมกลิ่นมันสักพัก เขาได้แลบลิ้นออกมา และเริ่มจิบมันลงไป

“ยังไงก็ตาม น่าโล่งใจดีนะ”

“หืม?”

“หากว่ายุนซอฮุยอยู่ข้างนาย ก็คงไม่เป็นไรแล้วล่ะ ในเมื่อฉันไม่ใช่คนของซินยอง ฉันก็ไม่ได้มั่นใจอะไรมากหรอก แต่ว่าฉันกล้ารับประกันเลยว่านายคงไม่มีปัญหาเรื่องหน้าที่การงานแน่”

ซอลจีฮูได้อ้าปากขึ้นมาเล็กน้อย

“พี่เชื่อผมหรอครับ?”

“…ฉันต้องเชื่อ”

ซอลวูซอกได้พูดต่อพร้อมทั้งเหลือบไปมองทางที่ยุนซอฮุยเดินจากไป ซอลจีฮูไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ว่าเขากำลังคิดว่ามันกำลังเป็นไปในแง่ดีแน่ๆ ยังไงแล้วการปรากฏตัวของยุนซอฮุยก็ได้ทำให้พี่ชายเขาเชื่อว่าเขาเป็นพนักงานของซินยองจริงๆ

“ใช่แล้วล่ะ… ฉันต้องเชื่อแต่ว่า…”

ความเงียบได้เข้าปกคลุม

หลังจากนิ่งอยู่นาน ซอลวูซอกก็ได้ขยับปากไปมาอยู่ซ้ำๆก่อนจะเริ่มพูดเบาๆ

“ฉันขอพูดตรงๆได้ไหม?”

ซอลจีฮูได้แสดงท่าทีเงียบๆออกมา โดยที่เขารับรู้ว่าสิ่งที่จะตามมาก็คือคำพูดที่น่าขมขื่น

“ตอนนี้ครอบครัวของเราใช้ชีวิตกันอยู่โดยไม่ได้มีปัญหาใหญ่อะไรแล้ว”

ซอลวูซอกได้หมุนแก้วในมือ พร้อมทั้งพูดออกมาด้วยเสียงทุ้มแต่ชัดเจน

“มันไม่ใช่ว่าเราไม่ได้มีเวลาที่ลำบากเลย แต่ว่าพวกเราใช้ชีวิตกันด้วยการพึ่งพากันและกัน และจริงๆแล้วมันก็มั่นคงกว่าแต่ก่อนมาก”

“แม่ก็เป็นห่วงเรื่องนายอยู่บ่อยๆ เพราะว่านายก็ยังเป็นลูกของแม่อยุ่ แต่ว่า…”

สำหรับคนในครอบครัวแล้ว ซอลจีฮูเป็นดาวอัปโชค หากไม่มีดาวอัปโชคนี้ พวกเขาก็จะอยู่กันอย่างมีความสุข นี่คือสิ่งที่ซอลจีฮูตีความได้จากคำพูดของพี่ชายเขา

“ฉันคิดว่าฉันเข้าใจนะว่าจินฮีรู้สึกยังไง พอไม่มีนาย ครอบครัวเราก็สงบสุขกันดี แต่ว่าพอนายกลับมา นายก็เอาปัญหาแล้วก็ความวุ่นวายมาด้วย”

นี่มันคือความเป็นจริงที่เขาปฏิเสธไม่ได้เลย เขาไม่จะรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดีเท่านั้น แต่เขาก็ยังเป็นต้นตอของปัญหาอีกด้วย

“เอาเถอนะ นั่นมันก็แค่ในมุมมองของครอบครัวเรา รวมไปถึงฉันเองด้วย จากมุมมองของนาย… ดูจากที่นายมาเจอฉันในวันนี้ ฉันก็รู้สึกว่าในวันนั้นนายคงจะต้องผิดหวังแน่ๆ นายคงจะต้องใช้ความกล้าอย่างมากมายเพื่อมาหาเราสินะ”

“มะ ไม่คับ มันไม่ใช่แบบนั้นเลย”

ซอลจีฮูกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาก็ต้องหยุดลงเมื่อเห็นซอลวูซอกยกมือขึ้น

“แน่นอนว่า นายก็ผิดเหมือนกัน นายก็รู้ถึงนิสัยของพ่อดีกว่าใครไม่ใช่หรอ?”

“…ใช่ครับ”

“แล้วนายยังจำที่พ่อพูดได้ไหม?”

ซอลจีฮูได้แสดงสีหน้าขมขื่นออกมา เขาจะไปลืมได้ยังไงกัน?

[แกมันไอ้ลูกสารเลวไร้ยางอาย! แกคิดว่าปัญหามันเป็นเรื่องเงินงั้นหรอ? แกคิดว่าหลังจากโยนซองเงินไว้โดยไม่อธิบายอะไรเลยสักนิด มันจะจบเรื่องได้งั้นหรอ?]

“พ่อเป็นคนใจร้อน แต่ว่าฉันก็เข้าใจดีว่าทำไมพ่อถึงโกรธ หลังจากที่ได้เห็นทุกๆอย่างในวันนี้ด้วยตาตัวเองแล้ว ฉันก็พอจะเข้าใจมุมมองของนายได้อยู่ แต่ว่าในตอนนั้นพวกเราไม่ได้มีอะไรมายึดเหนี่ยวให้เชื่อในตัวนายเลย”

“ไม่ว่าฉันจะคิดในแง่ดียังไง สิ่งที่นายทำมันก็หยาบคายมาก ไม่ว่านายจะยุ่งแค่ไหน อย่างน้อยนายก็ควรจะหาเวลาโทรมาก็ได้”

“หรือว่านายคิดว่าเรายังยื้อนายไว้ แล้วยังติดต่อกลับไป เหมือนเมื่อก่อนงั้นหรอ?”

ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมา

ซอลวูซอกพูดถูก มันไม่มีอะไรให้แก้ตัวเลย เขาเป็นคนที่ขอให้อีกฝ่ายให้อภัย และจะให้อภัยหรือไม่ก็เป็นครอบครัวของเขาเป็นคนเลือก ไม่ว่าเขาจะมองยังไง การกระทำของเขามันก็ดูไม่เหมือนกับคนที่ต้องการขออภัยผิดเลย เหมือนอย่างคำพูดที่ว่าลูกค้าไม่ควรจะทำตัวเป็นเจ้าของ อย่างที่พอเขาพูดเลย การไปโยนเงินทิ้งไว้โดยไม่อธิบายใดๆจะทำให้ครอบครัวให้อภัยเขางั้นหรอ? เขามารู้ตัวถึงเรื่องนี้สายเกินไปแล้ว

ซอลวูซอกได้อยู่เงียบๆปล่อยให้เขาไตร่ตรองถึงสิ่งที่กระทำลงไป เขาได้เดะาลิ้นออกมา และวางแก้วพลาสติกลงไป

“เอาแบบนี้แล้วกัน”

เขาได้พูดต่อหลังจากถอนหายใจยาวออกมา

“เงินที่นายให้เรา เราจะรับมันไว้ พวกเรายังคงมีหนี้อยู่นิดหน่อย เราจะใช้เงินนี้ไปจ่ายนี้ แล้วก็ส่วนเงินที่เหลือ ฉันก็จะเอาไปฝากไว้ในบัญชีออมทรัพย์ของพ่อกับแม่ ไม่ก็ของครอบครัวแล้วกัน”

“…โอเคครับ”

ซอลจีฮูคิดว่ามันไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว

“แล้วก็”

ซอลวูซอกยังพูดไม่พอ เขายังได้ยินเสียงสูดหายใจเข้าลึกๆอีกด้วย

“หากว่านายต้องการ ฉันจะลองพยายามจัดการประชุมให้”

ซอลจีฮูได้เบิกตากว้างขึ้นมา

ซอลวูซอกได้พยายามจะพูดต่ออย่างจริงใจ

“อย่าเข้าใจผิดไปนะ ซอนฮวากับแม่ ฉันไม่รู้ แต่ว่าพ่อกับจินฮีน่ะ ฉันไม่มั่นใจเลยสักนิด แต่ว่าฉันก็จะลองเอาไปพูดดู…”

เขาดูจะปวดใจ

ซอลวูซอกไม่อาจจะพูดต่อได้ และขบริมฝีปาก มีเสียงแก้วพลาสติกถูกบีบดังออกมาเล็กน้อย และได้ยินเสียงกัดฟันดังออกมาพร้อมๆกัน ท่ามกลางบรรยากาศอันหนักหน่วงบิดหัวใจ ซอลจีฮูไม่อาจจะพูดอะไรออกมาได้เลย

“คนรอบข้างมักจะบอกฉันว่า…”

ซอลวูซอกได้พูดต่อ

“ฉันมันโง่ พวกเขาบอกว่า หลังจากถูกหลอมมาเป็นสิบครั้งแล้ว ฉันยังต้องถูกทรยศถึงอีกกี่ครั้งกันถึงจะรู้ตัว”

‘ทรยศอีกกี่ครั้ง…’

เขาไม่มีข้อแก้ตัวเลย ซอลจีฮูที่ไม่มีอะไรจะพูดได้แต่มองลงไปบนโต๊ะ

“แต่ว่าเหตุผลที่ฉันมาเจอนายในวันนี้ แล้วที่ฉันพูดทั้งหมดนี้…”

น้ำเสียงของซอลวูซอกได้ค่อยๆลดเบาลงไป

“…ก็เพราะว่าฉันรู้ว่านายเป็นคนที่ดี”

ทันใดนั้นทุกๆอย่างก็กระจ่างขึ้นมา

“แล้วก็เพราะว่าฉันรู้จักตัวนายก่อนที่จะติดการพนัน นายเป็นน้องชายตัวน้อยที่ฉันภาคภูมิใจ”

“จริงสิ ในตอนที่คุณป้ากับคุณลุงจากไปเพราะอุบัติเหตุ… ในตอนที่ฉันเป็นเด็กเอาแต่ใจที่สนแต่เรื่องตัวเอง… ในตอนที่จินฮียังเด็กเกินกว่าจะรู้เรื่อง ทั้งๆที่นายยังเด็กอยู่มาก นายกลับก้าวออกมาดูแลซอนฮวากับซึงเฮ ค่อยๆโน้มน้าวเราว่าอย่างไปทำให้ทั้งคู่รู้สึกไม่สบายใจ แล้วก็ทำให้ครอบครัวของเรามีความสุขและเสียงหัวเราะ…”

ซอลวูซอกได้หยุดพูด และค่อยๆหลับตาลง

ซอลจีฮูในวัยเด็กเป็นคนแบบนั้น

ถูกแล้ว มันเคยมีช่วงเวลาแบบนั้นอยู่ ในตอนที่พวกเขาถูกโอบล้อมด้วยความอบอุ่นของซอลจีฮูในช่วงที่พวกเขาต้องตกอยู่ในความสับสนและเจ็บปวดจากอุบัติเหตุกระทันหัน

“เอาเถอะ ถึงความผิดของนายจะมากกว่าหน่อย… แต่ว่าตัวนายจริงๆ แล้วก็เป็นคนที่ดี”

ซอลวูซอกได้ยิ้มอย่างไร้พลังซึ่งตรงกันข้ามกับใบหน้าที่บึ้งตึง

“ทุกครั้งที่ฉันนึกถึงช่วงเวลาเหล่านั้น… ฉันก็รู้สึกอย่างจะเชื่อในตัวนายเป็นครั้งสุดท้าย…”

และทันใดนั้นเขาก็ก้มหน้าลง

“…จีฮู”

“…”

“น้องชายของฉัน”

“..ครับ”

ซอลจีฮูได้ฝืนกล้ำกลืนตอบกลับไป

“หากว่านายหลอกหลวงครอบครัว และทรยศเราอีกครั้ง…”

ซอลวูซอกได้ค่อยๆพูดออกมาทีล่ะคำ

“ถ้างั้น… ฉันก็ไม่คิดว่าฉันจะทนมันไหวอีกแล้วนะ”

และในที่สุดเขาก็เผยความรู้สึกที่แท้จริงออกมา

ในตอนนี้เองซอลจีฮูถึงได้รู้ว่าซอลวูซอกกำลังกลัวอะไร ด้วยคำพูดที่คาดไม่ถึง และสายตาที่สั่นไหวของพี่ชายเขาทำให้ใบหน้าซอลจีฮูต้องด้านชาขึ้นมา

“พี่ ผม…”

ซอลจีฮูกำลังจะพูดว่า ‘ผมไม่รู้จะพูดยังไงดี ผมขอโทษ ผมจะขอให้อภัยไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น-‘ ก่อนที่จู่ๆจะชะงักไป

เขาเห็นซอลวูซอกกัดฟันแน่น

เขาได้มาที่นี่ด้วยความตั้งใจที่จะถูกด่าอยู่แล้ว หากมันเป็นแบบนั้นก็คงจะดีกว่า เขาที่ไม่อาจจะเข้าใจถึงสิ่งที่พี่ชายรู้สึกในตอนคุยกันเขา ทำให้เขาทำอะไรไม่ถูกเลย

“ฉัน… เชื่อนายได้ไหม?”

“ไม่ครับ”

เพราะงั้นเขาจึงเปลี่ยนคำพูดไป

“อะไรนะ?”

ซอลวูซอกได้เบิกตากว้างขึ้นมา

“แล้วพี่ก็ไม่ต้องไปชักจูงคนอื่นๆด้วยครับ”

“นายหมายความว่ายังไง?”

วอลจีฮูได้ค่อยๆพูดขึ้นเพื่ออธิบายให้กับซอลวูซอกฟัง

“สิ่งที่ผมกำลังจะพูดก็คือ ในตอนนี้ผมไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะคาดหวังอะไร”

ซอลจีฮูสามารถจะร่างเส้นความสัมพันธ์ของเขากับครอบครัวได้อย่างชัดเจน

นั่นมันคือความสัมพันธ์ในรูปแบบเหยื่อกับผู้กระทำผิด

ต่อให้ผู้กระทำผิดจะรู้สึกเสียใจ และขอโอกาสอย่างจริงใจ แต่ว่าก็ไม่มีกฎหมายใดๆที่บังคับให้เหยื่อยอมรับในคำขอโทษนั้น ซอลจีฮูอาจจะเลิกเล่นพนัน และจ่ายเงินที่ยืมมาทั้งหมดคืนไปแล้ว แต่ว่าบาดแผลทางใจที่เขาได้สร้างขึ้นในอดีตจะไม่มีวันหายไป

ซอลจีฮูได้พูดขึ้นสีหน้าที่ไม่เคยแสดงมาก่อน

“มีวรรคหนึ่งในคัมภีย์ไบเบิล”

“คัมภีย์ไบเบิล?”

“ปฏิบัติกับคนอื่นให้เหมือนกับที่คุณอยากจะให้พวกเขาปฏิบัติกับคุณ แมธธิว 7:2”

“จู่ๆก็อะไรเนี้ย?”

“ผมรู้ดีว่าในตอนผมติดพนัน ผมได้รับการดูแลมามากพอแล้ว จริงๆแล้วมันก็เกินคำว่าพอด้วยซ้ำไป”

พ่อ แม่ พี่ น้อง ซอนฮวา และกระทั่งซึงเฮ หกคนนี้ได้พยายามที่จะช่วยเขาอย่างเต็มที่ แต่ว่าคนที่ปฏิเสธความช่วยเหลือกับเป็นซอลจีฮูเอง

“การที่จู่ๆมาขอให้ขอโอกาสอีกครั้งหรือขอให้เชื่อในตัวผม… มันก็แค่เรื่องไร้ยางอาย”

“แล้วนายคิดจะทำยังไงล่ะ?”

ซอลวูซอกได้ถามออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนลง

“ก็ง่ายๆครับ”

ซอลจีฮูได้ตอบกลับไปโดยไม่ลังเล

“ตอนนี้มันถึงเวลาที่ผมจะต้องตอบแทนพวกเขาแล้ว”

“ตอบแทน?”

“ใช่ครับ ตอบแทน”

หากว่าครอบครัวของเขาต้องการ ซอลจีฮูก็จะขออภัยเป็นร้อยครั้ง ต่อให้มันจะต้องใช้เวลากว่าสิบปีก็ได้ เขาจะใช้ทุกวิธีจนกว่าบาดแผลใจของทุกๆคนในครอบครัวจะหายไป

“ที่นายจะบอกก็คือ-“

ซอลวูซอกได้ขอคำยืนยันออกมา

“ถ้าไม่คาดหวังอะไร ก็จะไม่ผิดหวัง”

“ครับ”

“แล้วนายก็จะตอบแทนไปเรื่อยๆ… ทำมันไปเรื่อยๆ และปล่อยให้เราเป็นคนเลือก”

“ถูกแล้วครับ”

“แล้วถ้าในท้ายที่สุดเราก็ไม่ยอมรับนายล่ะ?”

ซอลวูซอกได้พูดขึ้นตรงๆ

“ก็ไม่เป็นไรครับ”

เขาจะทำยังไงในเมื่อพวกเขาไม่ยอมรับคำขอโทษงั้นหรอ? นั่นมันก็ง่ายมาก

เขาก็จะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าครอบครัวเขาอีก ตามที่ครอบครัวเขาต้องการ นั่นคือการตอบแทนที่มากที่สุดที่เขาจะทำได้แล้ว และเขาก็ไม่อยากจะให้ครอบครัวต้องแตกแยก และความสงบสุขถูกพังลงไป เขาอยากที่จะปล่อยวางทุกๆอย่าง และรอให้ครอบครัวเป็นคนตัดสินใจ

ทั้งหมดนี้จะเป็นไปตามกฎแห่งทองคำ เพราะงั้นซอลจีฮูจึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ผมจะไม่มีวันโกรธแค้นครอบครัวเด็ดขาด ผมเป็นคนที่โยนโอกาสทิ้งไปเอง และทั้งหมดเป็นความผิดที่ผมควรได้รับอยู่แล้ว”

ซอลวูซอกได้จ้องไปที่น้องชายของเขาที่ถอนหายใจออกมา เมื่อได้ยินว่าเขาจะตอบแทนพวกเขามันก็ทำให้ซอลวูซอกรู้สึกแปลกหน่อยๆ

ยังไงก็ตาม

“…นายเอาจริงหรอ?”

เขาไม่ได้โง่จนไม่เข้าใจถึงสิ่งที่ซอลจีฮูจะบอก

“นายคิดแบบนั้นจริงๆงั้นหรอ?”

ซอลจีฮูได้หยักหน้าออกมาเงียบๆ

ซอลวูซอกที่มองออกไปอย่างสงสัยได้ส่งเสียงแหบแห้งออกมาเบาๆ

“โอเค ฉันเข้าใจแล้ว”

ใบหน้าของเขาดูจะผ่อนคลายมากขึ้นเล็กน้อย

“หากว่านายคิดแบบนั้น ถ้างั้นฉันก็จะไม่เกลี้ยกล่อมพวกเขา”

“ขอบคุณครับ!”

“แล้วการตอบแทนแรกของนายเป็นเมื่อไหร่ล่ะ?”

น้ำเสียงของเขามีกลิ่นอายความขี้เล่นเพิ่มขึ้นมา

“ในตอนที่ผมชดใช้หนี้หมดแล้ว”

ซอลจีฮูได้ยิ้มบางๆออกมา

“ผมคิดว่านั่นจะเป็นคุณสมบัติต่ำสุด”

ซอลวูซอกที่หยักหน้าจู่ๆก็ยิ้มออกมาเล็กๆ

“ตอบแทนสินะ”

เขาได้หัวเราะออกมาเบาๆ

และวางแก้วพลาสติกลงไป พร้อมยื่นมือออกมา

“ถ้างั้นก็พยายามเข้า”

ซอลจีฮูก็ค่อยๆยื่นมือออกไปเช่นกัน เขาไม่รู้เลยว่ามือของพี่ชายที่ไม่ได้จับมานานแล้วจะอบอุ่นขนาดนี้

พี่น้องได้จับมือกันอยู่สักพักหนึ่ง

***

หลังจากแยกทางกัน ซอลจีฮูก็ได้โทรหาคิมฮันนาห์ในระหว่างทางกลับบ้าน เขาอยากจะขอบคุณเธอ และถามอะไรเธอสักหน่อย แต่ว่าเขาก็ได้ยินแต่เสียงรอสายเท่านั้นเอง ไม่ว่าเขาจะรอนานแค่ไหน ก็ไม่มีการตอบรับกลับมา

เขาไม่คิดว่าคิมฮันนาห์จะเป็นคนวางแผนสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ มันดูจะมีความเป็นไปได้สูงว่ายุนซอฮุยจะได้เข้ามาแทรกแซงด้วยตัวเอง ผลลัพธ์มันก็ไม่ได้แย่ แต่ว่าคำถามก็คือทำไมเธอถึงได้ปรากฏตัวออกมากันล่ะ

‘ไม่เห็นเข้าใจเลย’

แต่ว่าเขาก็คงจะหาคำตอบได้ในทีหลังแหละ

ซอลจีฮูได้แต่พึมพำกับตัวเองแบบนี้ เขาได้ทำภารกิจสำคัญเสร็จไปแล้ว เพราะงั้นเขาก็ไม่อยากจะคิดมากอีก ร่างกายของเขารู้สึกหมดแรง และขาของเขาก็กำลังสั่น แต่ว่าเขาก็รู้สึกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง มันรู้สึกโล่งขึ้นหรือเปล่านะ?

ตื๊ดด ตื๊ดดด!

ทันใดนั้นโทรศัพท์ของเขาก็ส่งเสียงออกมา เขาได้รีบปัดหน้าจอโดยคิดว่าเป็นคิมฮันนาห์โทรเข้ามา แต่แล้วมันก็คือข้อความจากพี่เขา เป็นขอความที่บอกให้เขากลับบ้านดีๆ และตั้งใจทำงาน

ซอลจีฮูได้กำมือแบไปมาก่อนที่จะตอบข้อความกลับไปด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็หยุดเดิน และเงยหน้าขึ้นไป การได้มองไปบนท้องฟ้าสีแดงสว่างพร้อมทั้งพระอาทิตย์ที่ค่อยๆตกลงมามันทำให้หัวใจของเขารู้สึกผ่อนคลายขึ้น

‘วันนี้…’

เขาไม่ได้วิ่งหนี

เขาได้ถ่ายทอดความตั้งใจออกไปสุดความสามารถแล้ว การเจอกันในวันนี้มันไม่ได้แย่เกินไป

มันไม่ได้ยากเลย ถ้างั้นแล้วทำไมเขาถึงได้กลัวมันขนาดนั้นล่ะ

ครู่ต่อมา

ซอลจีฮูก็ได้ก้าวต่อไปโดยรู้สึกได้ถึงสายลมอ่อนๆปะทะกับร่าง

ในที่สุด ในที่สุดเขาก็รู้สึกว่าได้กลับมาที่โลกจริงๆแล้ว

***

หลังจากได้สรุปถึงปัญหากับครอบครัวแล้ว ซอลจีฮูก็ได้ใช้ชีวิตประจำวันอย่างร่าเริง หากว่าจะมีอะไรที่เขากังวล นั่นก็คงเป็นการที่เขาติดต่อคิมฮันนาห์ไม่ได้ ยังไงก็ตามเธอก็เคยบอกเอาไว้แล้วว่าเธอค่อนข้างจะยุ่ง แล้วเธอก็อาจจะกลับไปที่พาราไดซ์แล้วก็ได้ เพราะงั้นเขาก็เลยตัดสินใจที่จะรอ

นอกไปจากนี้แล้ว เขาก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องคิดเกี่ยวกับสภาพร่างกาย แล้วก็ทิศทางในการไปต่อในอนาคตของเขา แต่ว่านั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะหมกตัวอยู่แต่ในห้องเท่านั้น

หากว่าเขาอยากจะเปลี่ยนบรรยากาศ เขาก็จะออกไปเดินเล่น หรือไม่ก็ออกไปซื้อของเตรียมไว้สำหรับไปพาราไดซ์ มีอยู่วันหนึ่งเขาได้ใช้เวลาทั้งวันไปกับการซื้อของขวัญให้คนอื่นๆ เขาได้ยินมาว่ามีหลายต่อหลายคนได้พยายามอย่างมากที่จะช่วยชีวิตของเขา และแค่การแสดงความขอบคุณมันก็คงจะไม่พอ

และในตอนเขาเบื่อ เขาก็จะไปเล่นกับฟีโซรา

[ชอโทษนะคะ นี่ใช่โทรศัพท์ของซอลจีฮูไหม? หากใช่ ช่วยตอบกลับด้วย]

ว่าไปแล้วเขาก็ลืมตอบกลับเธอไป

ซอลจีฮูกำลังจะตอบกลับไปว่า ‘ใครหรอ?’ ก่อนที่จะคิดว่ามันสุภาพเกินไป และเขียนข้อความใหม่แทน

[นี่ใช่ซูจองไหม?]

[?]

[เป็นซูจองสินะ! ซูจอง นี่โอปป้าเองนะ ในที่สุดก็ติดต่อมาหาฉันได้แล้วสินะ?]

[ฉันไม่ใช่ซูจอง ฉันคิดว่าคุณคงติดต่อผิดเบอร์แล้ว ขอโทษด้วยค่ะ]

และนับแต่นั้นมาฟีโซราก็หยุดส่งข้อความมาหาเขา ไม่ว่าซอลจีฮูจะส่งข้อความไปหาเธอกี่ครั้ง เธอก็ไม่เคยตอบกลับมาเลย

‘เธอจะไม่สนใจฉันใช่ไหม’

ริมฝีปากของซอลจีฮูได้โค้งขึ้นมาเป็นรอยยิ้ม

[อีเว้นท์! ตั้งชื่อเล่นให้คนนามสกุล ‘ฟี’! คนที่ตั้งชื่อเล่นได้น่าทึ่งที่สุดจะได้รับบัตรกำนัลท่องเที่ยวรีซอร์ทฟีซัมเมอร์! ตัวอย่างเช่น: ฟีจิ (ฟูจิ), ฟีซี่ , ฟีซ่า (พิซซ่า), ฟีโคโล่ (พิคโคโล่…)]

[???]

‘เสร็จล่ะ’

เธอได้ตอบกลับมาทันที

[นายเป็นใคร? ใช่หมอนั่นใช่ไหม?]

[ไม่ใช่ ฉันแก้มนุ๊ยเอง]

[แก้มนุ๊ย? พูดบ้าอะไรกัน นายคือซอลจีฮูใช่ไหม?]

[ไม่ใช่ ฉันแก้มนุ๊ย]

[เชี้ย แก้มนุ๊ยอะไรกัน นั่นมันนายนั่นแหละ!]

[ถูกจับได้ซะแล้วสิ! จริงๆแล้วฉันชื่อเดียร์ แล้วนามสกุลคือปาร์ค ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันเดียร์ ปาร์ค]

ตื๊ดด ตื๊ดดด ตื๊ดดด

โทรศัพท์ของเขาได้สั่นอย่างรุนแรง แต่ว่าก็เพราะว่าหากเขารับสาย มันก็ชัดเจนว่าเขาจะต้องได้ยินคำพูดแบบไหน เขาจึงค่อยๆกดปุ่มปฏิเสธสายไป

[อะไรเนี้ย? นายบ้าไปแล้วหรอ? นี่นายกินยาลืมเขย่าขวด หรือว่าสมองเน่าไปแล้วล่ะ? นายเป็นเด็กขวบเดียวหรือไงกัน? ทำไมถึงทำตัวเด็กน้อยแบบนี้…]

และเพราะว่าเขาไม่ได้รับสายเลย ข้อความยาวเหยียดที่เต็มไปด้วยคำหยาบคายจึงถูกส่งออกมา

นิ้วของซอลจีฮูได้เริ่มพิมพ์ลงไปโดยไม่อ่านส่วนที่เหลืออีก

[โฮ๊ยยย~ ยัยหนูคนนี้นี่ปากเสียซะจริง อะแฮ่ม อย่าใจร้านนักสิ ฉันเสียใจแล้งนะ]

[จะเสียใจก็เรื่องของนายเลย แล้วนายหมายความว่ายังไง? นายมาล้อชื่อฉันเนี้ยนะ!]

[ฟีเดี๊ยด! (idiot)!]

ตื๊ดดด ตื๊ดดดด ตื๊ดดด!

โทรศัพท์ของเขาได้เริ่มสั่นอย่างรุนแรงอีกครั้งหนึ่ง ซอลจีฮูที่กดปฏิเสธไปอีกครั้ง ได้หัวเราะกับตัวเองพร้อมกับส่งข้อความใหม่ไปอีก

[ผมจะกลับไปวันพรุ่งนี้นะ]

[ไอ้เวร! รับสายฉันเดี๋ยวนี้นะไอ้สารเลว!]

“พรืดด! ฮ่าฮ่าฮ่า!”

หลังจากหัวเราะกับตัวเองอยู่สักพักแล้ว ซอลจีฮูก็โยนโทรศัพท์ทิ้งไว้ข้างๆ และมุดเข้าไปในผ้าห่ม

เขาได้หลับลงไปภายใต้เสียงโทรเข้า เรื่องที่เขาได้แกล้งฟีโซราจนโกรธหนักได้ทำให้เขาหลับสบายโดยไม่ตื่นขึ้นมาเลยตลอดทั้งคืน

และจากนั้นค่ำคืนก็ได้ผ่านพ้นไป และยามเช้าก็มาเยือน ในที่สุดก็ถึงวันที่เขาจะกลับไปที่พาราไดซ์แล้ว