“ได้ยินว่าเจ้าต้องการพบข้า จึงจะยอมพูดความจริง” เว่ยฉางอิ๋งวางถ้วยชาไว้บนโต๊ะไม้จันทน์ที่อยู่ข้างมือ ยิ้มบางๆ พลางว่า “ยามนี้คนเจ้าก็ได้พบแล้ว จะพูดสิ่งใดก็พูดมาเถิด”
ไล่ฉินเหนียงอาบน้ำแต่งตัวใหม่มาเรียบร้อยแล้ว แต่ยามมองไปก็ยังรู้สึกว่าอ่อนเปลี้ยเพลียแรงอยู่ หากจะบอกว่านางกระทบกระเทือนใจอย่างมากที่พอก้าวเข้ามาในตัวเมืองซีเหลียงแล้วก็ถูกจับขังในคุกหญิง กลับมิสู้บอกว่าคนที่รักความสะอาดมาแต่ไรเช่นนางถูกสภาพแวดล้อมที่สกปรกโสโครกในคุกทำเอาตกใจไม่น้อยเสียเหมาะกว่า เมื่อนางเข้ามาข้างในพร้อมกับมู่ชุนเหมียนในยามนี้ จึงดูเจียมเนื้อเจียมตัวนัก มองไม่เห็นความยโสเอาแต่ใจเหมือนที่เคยสอบถามมาได้ก่อนนี้เลย
เมื่อเห็นนางเป็นดังนี้เว่ยฉางอิ๋งก็คิดว่าการที่ข่มขวัญนางไว้แต่แรกนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว แม้จะบอกว่าฐานะของโจรหญิงผู้นี้ห่างไกลกับตนนัก ทว่าเมื่อเป็นสตรีในวัยสาวและสามารถครองตำแหน่งหัวหน้ารองในกองโจรและเป็นรองแต่เพียงพี่ชายของตนเท่านั้น แม้จะมีจี้กู่และไล่ต้าหย่งเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งในด้วย แต่ตัวนางเองก็จะต้องมีเป็นผู้ที่มีความกล้าหาญและชั้นเชิง หาไม่แล้วทั้งไล่ต้าหย่งและจี้กู่ก็จะไม่คอยอยู่ข้างกายนางเสมอ หากตัวนางไม่มีความสามารถเลยสักน้อยแล้วจะควบคุมพวกกองโจรที่หยาบช้าโหดเหี้ยมเหล่านั้นไหวอย่างไร?
มู่ชุนเหมียนซึ่งเป็นเพียงหัวหน้าป้อมของพวกผู้อพยพเท่านั้น ก็ยังกล้าปิดบังและหลอกลวงนางและตวนมู่ซินเหมี่ยวมาก่อน จึงยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงหัวหน้ารองของกองโจรเลย
เว่ยฉางอิ๋งเคยได้รับบทเรียนจากมู่ชุนเหมียน แล้วนางจะยังเกรงใจไล่ฉินเหนียงที่ใดอีก? ยามนี้ดูไปแล้ววิธีการที่ตนใช้ก็ได้ผลจริงๆ …และสามารถลดทอนเวลาทดสอบนางผู้นี้ไปได้อีกมาก
ไล่ฉินเหนียงรู้สึกมาจากขั้วหัวใจว่าไม่อยากกลับเข้าไปอยู่ในคุกหญิงอีกจึงไม่กล้าเล่นเล่ห์ใดๆ อีกแล้ว นางเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ข้าจะบอกได้แต่กับเจ้าผู้เดียว”
มู่ชุนเหมียนเอ่ยเตือนบางเบาๆ ว่าให้ใช้คำที่สุภาพอีกสักหน่อย
เว่ยฉางอิ๋งกลับไม่ได้ใส่ใจ เพราะนางเองก็ไม่ได้หวังว่านางโจรผู้นึ่งจะรู้จักมารยาทอันใดนัก เมื่อได้ฟังเงื่อนไขนี้พลันมองไปยังคนที่เข้ามาพร้อมกับพวกนาง เมื่อเห็นว่าบ่าวเหล่านั้นล้วนพากันพยักหน้าน้อยๆ เป็นการแสดงว่าคนทั้งสองนี้ถูกตรวจค้นตัวมาแล้วและแน่ใจว่าไม่ได้พกอาวุธเข้ามา …หากเป็นสตรีชั้นสูงโดยทั่วไปย่อมไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ แต่สองท่านนี้มีความเป็นมาที่ไม่ตรงไปตรงมานัก ทั้งยังต้องการมาพูดต่อหน้าเว่ยฉางอิ๋งด้วย พวกบ่าวย่อมไม่กล้าปล่อยผ่านไปได้
ในเมื่อไม่ได้พกอาวุธมา และเว่ยฉางอิ๋งเองก็มั่นใจในวรยุทธ์ของตน นางจึงพยักหน้ารับ
ทันใดนั้นทุกคนก็พากันถอยออกไปและปิดประตูเสีย
เว่ยฉางอิ๋งจึงว่า “ยามนี้เจ้าพูดได้แล้ว”
ก่อนหน้านี้ไล่ฉินเหนียงถูกมู่ชุนเหมียนกำชับมานักหนาว่าจะต้องพยายามอ่อนน้อมสงบเสงี่ยมให้มากที่สุด ห้ามนางเงยหน้าขึ้นมามองข้างบนโถงตรงๆ เวลานี้จึงเพิ่งมีโอกาสได้เงยหน้าขึ้นมามองใบหน้าของเว่ยฉางอิ๋งอย่างชัดเจน สีหน้าของนางพลันมีแววความตื่นตกใจขึ้นมา นางจดจ้องไปที่ใบหน้าของเว่ยฉางอิ๋งสองรอบจึงลดตาลง มุมปากเริ่มเบะออกน้อยๆ
นางหยิ่งทะนงในรูปโฉมของตนเสมอมา ในบรรดาผู้คนทั้งหมดที่นางเคยพบมาก่อนนี้ไม่มีแม้สักคนที่จะทัดเทียมนางได้ ทั้งยังเคยได้ยินจี้กู่บอกว่าแม้จะอยู่ในเมืองหลวงซึ่งเป็นที่ที่เจริญยิ่งนัก ทั้งความสามารถและรูปโฉมของนางก็ยังนับว่าอยู่ในระดับสูงแล้ว นางจึงทะนงตนด้วยเรื่องนี้มาโดยตลอด เดิมทีคิดว่าแม้เว่ยฉางอิ๋งจะมีชาติกำเนิดที่สูงส่ง ทว่าหากว่ากันเรื่องความงามแล้วก็ไม่แน่ว่าจะเทียบกับตนได้
เพื่อไม่ทำให้เว่ยฉางอิ๋งเกิดความริษยาขึ้นมา ก่อนไล่ฉินเหนียงจะเข้ามาในหมิงเพ่ยถัง นางยังไปยืมเสื้อผ้าเก่าของมู่ชุนเหมียนมาสวมโดยเฉพาะ ด้วยคิดจะปกปิดความงามตามที่มีมาแต่กำเนิดของตนสักหน่อย อย่าได้ทำให้สตรีสูงศักดิ์แห่ง ตระกูลเสิ่นผู้นี้พบเห็นตนแล้วเกิดอิจฉาตาร้อนเพราะตนงดงามเกินไปได้เป็นดี
ไม่คิดว่าพอมองไปยามนี้กลับพบว่า แม้สตรีสูงศักดิ์ที่นั่งตัวตรงอยู่บนโถงผู้นี้จะงดงามกว่าตนเพียงชั้นหนึ่งเท่านั้น ทว่าด้วยอาภรณ์ผ้าเยวี่ยหลัวชั้นดีทั้งตัว เครื่องประดับเต็มศีรษะ เขียนคิ้วบางๆ แต้มปากแดงเล็กน้อย เมื่อมองไปแล้วเปี่ยมไปด้วยสง่าราศีเป็นพันเท่า ทำให้ไล่ฉินเหนียงหม่นหมองลงไปในทันใด
ไล่ฉินเหนียงอดใจไม่ให้ริษยาขึ้นมาไม่ได้ เริ่มคิดไปว่า “ความจริงแล้วความงามของฮูหยินผู้นี้ก็อยู่ในระดับเดียวกันกับข้า ทว่าแค่คิดก็รู้ว่าคนเช่นนางจะต้องได้รับการบำรุงชั้นเลิศนานามาตั้งแต่เล็ก ลำพังแค่ผิวพรรณเนียนละเอียดของนางก็มิใช่สิ่งที่คนในป่าในดงที่กรำแดดกรำฝนเช่นข้าจะเทียบได้แล้ว ยิ่งการแต่งการที่มีแต่อัญมณีล้ำค่าเป็นประกายวิบวับไปทั้งตัวเช่นนี้ ต่อให้ในกองโจรเขาเหมิงซานจะมีสมบัติอยู่ไม่น้อย แต่หากคิดจะรวบรวมเอาสิ่งของที่ประณีตและครบครันเช่นนี้ก็ยากนัก”
แล้วคิดอีกว่า “หากรู้แต่แรกว่านางงามเช่นนี้ วันนี้ข้าก็น่าจะแต่งตัวให้ดีๆ สักหน่อย ตอนติดคุกคราวก่อนก็ทำเอาข้าโมโหจนโยนทิ้งไปหมดแล้ว เวลานี้แต่งตัวอัตคัดขดสนและอัปลักษณ์เช่นนี้ ยามพูดจาก็จะต้องไม่มีน้ำหนักเสียยิ่งกว่าเดิม… ฮูหยินผู้นี้วางแผนมาดี จับข้าไปขังคุกเสียก่อนเป็นการขู่ขวัญข้า จากนั้นก็ใช้ชื่อเสียงว่าขี้หึงของนางมาบีบจนข้าไม่กล้าแต่งตัวงามๆ มา แล้วถูกนางกดหัวไปทีละก้าวทีละก้าว และทำได้เพียงเดินไปตามประสงค์นาง”
ทางนี้นางใจเต้นเร่าๆ เว่ยฉางอิ๋งรออยู่เป็นนานก็ไม่เห็นนางเอ่ยคำเสียที ก็กลับรำคาญใจขึ้นมาเสียแล้ว “อย่างไรเล่า เจ้าก็ให้คนออกไปหมดแล้ว ก็มิใช่ว่าเพราะต้องการจะพูดกับข้าตามลำพังหรอกหรือ?”
“มิใช่” ไล่ฉินเหนียงสะดุ้ง พลันได้สติคืนมา แล้วรีบตอบไปอย่างลนลาน “เพียงแต่เรื่องนี้ใหญ่โตเหลือเกินจริงๆ”
เว่ยฉางอิ๋งพยายามข่มอารมณ์เอาไว้ เอ่ยไปเรียบๆ ว่า “เจ้าพูดเรื่องที่จะพูดมาเป็นพอแล้ว ส่วนที่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่นั้น ข้าจะเป็นคนพิจารณาเอง!”
ไล่ฉินเหนียงถูกรุกมาหลายครั้งติดต่อกัน ยามนี้สติกระเจิดกระเจิงไปหมด และไม่ได้คิดว่าจะเล่นสงครามประสาทกับเว่ยฉางอิ๋งด้วย เมื่อคิดถึงเรื่องที่โม่ปินอวี่เอ่ยไว้ก่อนหน้านี้ว่า หากไม่อาจกล่อมนางได้ก็พูดกับเว่ยฉางอิ๋งไปตามตรงเสีย ดีชั่วเว่ยฉางอิ๋งย่อมไม่อาจนั่งดูดายให้บ้านฝั่งมารดาต้องเสียเปรียบได้หรอก
ยามนี้นางจึงรวบรวมสติตัดสินใจ แล้วเล่าเรื่องทั้งหมดออกมา “ในเขาเหมิงซานมีสายแร่”
“สายแร่?” เว่ยฉางอิ๋งตะลึง พลันโพล่งออกไป “สายแร่ใด? หรือเป็น… แร่ทอง?” ดวงตานางไม่ไหวติง แม้จะบอกว่าเว่ยฉางอิ๋งพบเห็นความร่ำรวยมาจนเคยชินแล้ว กิจการเล็กๆ น้อยๆ นางล้วนไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ทว่านางก็รู้ว่าตระกูลสูงศักดิ์สืบทอดกันมาหลายร้อยปี แม้ว่าจะมีทรัพย์สมบัติมากมายจนยากจะนับได้หมด แต่ก็ต้องเลี้ยงดูคนในตระกูลที่มีจำนวนมหาศาล รวมทั้งกองทหารและเหล่าที่ปรึกษาในตระกูลด้วยอาภรณ์ชั้นดีอาหารชั้นเลิศ ซึ่งมิใช่ค่าใช้จ่ายน้อยๆ เลย
หาไม่แล้วก็จะไม่เกิดเหตุการณ์ที่คนในตระกูลสายที่ห่างออกไปต้องยากจนข้นแค้นเหมือนชาวบ้านทั่วไปแล้ว
หากพบว่าในเขาเหมิงซานมีสายแร่ทอง …มิน่าเล่าเว่ยซินหย่งจึงให้โม่ปินอวี่บุกกวาดล้างตั้งแต่เขาเหมิงซานใต้ไปตลอดทางจนถึงเขาเหมิงซานเหนือ!
แต่ไล่ฉินเหนียงกลับส่ายหน้า บอกว่า “ไม่ใช่สายแร่ทอง เป็น…สายแร่หยก!”
“สายแร่หยก?” เว่ยฉางอิ๋งหรี่ตาลงว่ากันว่าทองคำมีราคาหยกไร้ราคา ทว่า แม้จะบอกว่าใช้จ่ายหยกได้ไม่คล่องเท่าทองคำ แต่หากอยู่ในยุคที่เจริญรุ่งเรืองก็จะมีค่ามากว่าทอง หรือต่อให้เป็นยุคที่กำลังวุ่นวาย ก็ยังมิใช่กิจการที่จะมองผ่านไปได้ง่ายๆ
นางจึงถามว่า “เป็นหยกชนิดใด? ใหญ่เพียงใด?”
แล้วเห็นว่าไล่ฉินเหนียงดึงแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นแหวนสองวงหนึ่งดำหนึ่งขาวบนนิ้วมือของนางบอกว่า “นี่ทำจากหินหยกที่ท่านลุงของคุณชายเก็บมาได้จากใกล้ๆ สายแร่หยก”
เว่ยฉางอิ๋งสั่งให้นางขยับมาข้างหน้าสักหน่อยแล้วเพ่งดู กลับเห็นว่าแม้หยกทั้งสองชนิดนี้จะมีสีต่างกัน แต่กลับมีแสงสะท้อนของหยกที่ละมุนละไมนัก สีสันสะอาดบริสุทธิ์นัก เห็นชัดว่าเป็นหยกเนื้อดีมาก นางรีบประเมินราคาอย่างรวดเร็วแล้วถามไล่ฉินเหนียงว่า “สายแร่นี้ใหญ่เท่าใด?”