ภาคที่สาม มิต้อง ตีกรับ ร่ำสุรา จากจอกทอง ตอนที่ 88 ติดคุก

ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3

เมื่อไล่ฉินเหนียงได้รับคำเตือนจากโม่ปินอวี่ นางก็พยายามเค้นสมองหาวิธีว่าเมื่อไปถึงซีเหลียงแล้วจะทำให้เว่ยฉางอิ๋งสนใจได้อย่างไร และหากทำให้สตรีสูงศักดิ์ที่มีชาติกำเนิดในตระกูลเลื่องชื่อผู้นี้ไม่กล้าปรามาสตนได้เป็นดีที่สุด เพื่อให้ตนสามารถเกลี่ยกล่อมนางได้มากยิ่งขึ้น

ทว่า ไม่ว่านางจะคิดมาเป็นพันเป็นหมื่นอย่าง แต่ก็กลับคิดไม่ถึงว่านางเพิ่งจะก้าวเข้ามาในตัวเมืองซีเหลียง ยังไม่ทันหาประตูใหญ่ของหมิงเพ่ยถังพบเลย ก็ถูกคนจับตัวไป ไม่แม้จะถูกสอบสวนก็จับนางโยนเข้าคุกเสียแล้ว

ส่วนโม่ปินอวี่ที่ตามมาด้วยกลับถูกพาตัวไปพบกับ สิ่นจั้งเฟิง…

แม้ไล่ฉินเหนียงจะเกิดในป่าในดง แต่นางก็ถูกรักใคร่เอาใจนักหนามาเช่นกัน เพราะนางติดตามอยู่ข้างกายจี้กู่พ่อบุญธรรมมานานปี ได้รับการสอนสั่งอบรมจากจี้กู่ประหนึ่งบุตรสาวแท้ๆ เรียกได้ว่าเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ ทั้งยังมีรูปโฉมงดงามและมองตนเองอยู่ในฐานะสูงส่งเสมอมา ซึ่งนี้ก็เป็นสาเหตุที่แม้กองโจรเขาเหมิงซานมีคนอยู่หลายพันคน แต่กลับไม่เคยมีสักคนที่เข้าตานาง จนกระทั่งเมื่อนางได้มาพบกับเว่ยซินหย่งที่เกิดในตระกูลสูงศักดิ์ ทั้งหน้าตาเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงก็เรียกได้ว่าเป็นชั้นแนวหน้าในเขตทะเล นางจึงยินยอมพร้อมใจให้เขาใช้สอย

หลังจากเข้าตัวเมืองมาก็เห็นว่ามีทหารซีเหลียงกองหนึ่งล้อมเข้ามาจะเอาแผ่นไม้สวมคอใส่ให้นาง ไล่ฉินเหนียงทั้งตกใจทั้งโมโห …ตามนิสัยของนางแล้ว นางจะยอมรับการลบหลู่เช่นนี้ได้อย่างไร? นางพลันลดมือไปทาบกระบี่ในทันใดเตรียมตัวจะตอบโต้ เพียงแต่โม่ปินอวี่กลับเตือนนางไปอย่างบางเบาคำหนึ่งว่า “อย่าลืมว่าเวลานี้พี่ชายเจ้าอยู่ในกำมือของตระกูลเสิ่น!”

ไล่ฉินเหนียงฟังออกว่าความหมายในคำพูดนี้ก็คือ ซีเหลียงเป็นเขตอิทธิพลของตระกูลเสิ่น เมื่ออยู่ในเขตอิทธิพลของคนเขา ก็ควรจะสงบเสงี่ยมสักหน่อยเป็นดี หรือต่อให้นางมีท่าทีแข็งกร้าว ไม่กลัวว่าจะเป็นการเอาหยกไปครูดหิน แต่ปัญหาอยู่ที่ ตระกูลเสิ่นก็ลงมือดังนี้แล้ว จะยังสนใจว่านางจะเป็นหยกไปครูดหินอีกหรือ?

ที่นางวิ่งรี่มาที่ซีเหลียงเป็นโดยเฉพาะนี้ ก็มิใช่เพื่อมาตายให้คนตระกูลเสิ่นดูโดยเฉพาะ…

ไล่ฉินเหนียงก็มิใช่คนที่ไม่ได้เห็นแก่ส่วนรวม เมื่อถูกโม่ปินอวี่เตือนเอาคำหนึ่ง และใจเย็นลงแล้ว ต่อให้ไม่ยินยอมเพียงใด ทว่าก็ยังปล่อยให้พวกทหารเข้าใส่โซ่ตรวนให้นาง แต่นางกลับไม่เหมือนโม่ปินอวี่ที่เพียงมีทหารมาล้อมตัวและพาไปที่หมิงเพ่ยถัง หากแต่นางถูกจับให้เดินผ่านตลาดเพื่อส่งตัวไปในคุก

คนในตัวเมืองซีเหลียงเห็นว่ามีหญิงสาวหน้าตางดงามถูกใส่โซ่ตรวน ย่อมต้องพากันห้อมล้อมเข้ามาดูอย่างใคร่รู้ยิ่งนัก แม้ว่าไล่ฉินเหนียงจะเป็นโจร แต่นางก็เป็นหัวหน้ารองของกองโจรเขาเหมิงซาน จึงมีฐานะที่ยิ่งใหญ่ไม่เบา แล้วจะเคยมาตกอยู่ในสภาพนี้ได้อย่างไร? หากเพียงแค่ผู้คนห้อมล้อมกันเข้ามาดูก็ยังแล้วไป แต่กลับมีเด็กเล็กๆ ที่ไม่รู้ความ พากันเอาผัก เศษหินโยนมาใส่ตัว ใส่หัวนาง ทั้งมีพวกคนรายทางที่เห็นว่านางมีหน้าตางดงามจึงเอ่ยวาจาแทะโลมนานาๆ ด้วย…

ไล่ฉินเหนียงอับอายจนไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด กระทั่งถูกคุมตัวเข้ามาในคุก สวมโซ่ตรวน และนำไปขังไว้ในคุกหญิง นางก็ยังคงโกรธเกรี้ยวจนตัวสั่น ทั้งตัวเดี๋ยวหนาวเดี๋ยวร้อน หากมิใช่เพราะยังมีสติชัดเจนสุดท้ายหลงเหลืออยู่ในใจ นางก็แทบจะระงับอารมณ์ไม่ให้คลุ้มคลั่งขึ้นมาไม่ได้!

แม้ว่าไล่ฉินเหนียงจะคอยเตือนตนเองให้สงบลง ทว่าเลือดทั้งตัวกลับยังคงไหลย้อนกลับเนิ่นนานไม่อาจหยุดลงได้… กระทั่งนางสัมผัสได้ว่ามีคนกำลังกระชากมวยผมของนางอย่างแรง

“…นังเด็กนี่ …หน้าตาสะสวย…จะต้อง…แอบคบชู้…” อารมณ์ของไล่ฉินเหนียงยังไม่ทันสงบ ได้ยินไม่ชัดเจนเพียงไม่กี่คำ จึงยังไหวตัวไม่ทันว่าตนเองกำลังเผชิญหน้าอยู่กับสิ่งใด พลันได้ยินเสียงลมวูบ ด้วยนางเรียนวรยุทธ์มาจากในกองโจรมาเป็นอย่างดี จึงยกมือขึ้นรับตามสัญชาตญาณ และกันมือที่กำลังจะหวดมาตบหน้านางเอาไว้ได้

…ยามนี้เองจึงเพิ่งมองเห็นชัดเจนว่ามีหญิงร่างอ้วนสูงใหญ่คนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า มือหนึ่งทึ้งผมของนางเอาไว้ ส่วนอีกมือหนึ่งก็ยังถูกนางขวางเอาไว้ได้ หญิงผู้นี้กำลังร้องด่าเสียงดังและคิดจะลงมืออีกครั้ง

“แม้แต่นังหญิงชั่วนี่ก็กล้ามารังแกข้า!” ไล่ฉินเหนียงอดบันดาลโทสะขึ้นมายกใหญ่ไม่ได้!

แม้เวลานี้นางยังคงใส่ตรวนอยู่ แต่สตรีผู้นี้กลับดูเบาสบายไปทั้งตัว แต่ฝีมือของทั้งสองคนก็แตกต่างกัน ในดวงตาของไล่ฉินเหนียงฉายแววความดุร้ายออกมา นางปล่อยมือที่รับแขนของสตรีผู้นั้นยามหวดเข้ามา และได้ยินเพียงเสียงแกร็กเบาๆ คราวหนึ่ง สตรีผู้นั้นยังไม่ทันหลบก็รู้สึกว่าแขนเจ็บปวดเหมือนถูกหัก และอดจะร้องเสียงเหมือนหมูถูกเชือดขึ้นมาไม่ได้!

“นังตัวดี คบชู้จนต้องมาติดคุก ยังกล้ามาตีคนรึ!” เพียงแต่เมื่อหญิงผู้นี้เจ็บจนต้องคลายมือที่ทึ้งผมของไล่ฉินเหนียงเอาไว้ออก เพื่อไปประคองแขนอีกข้างและถอยหลังออกไปแล้ว ก็กลับกรีดร้องเสียงดังขึ้นมาทันใด จนทำให้นักโทษหญิงที่อยู่ภายในห้องขังพากันดาหน้าเข้ามาหาไล่ฉินเหนียง!

สักพักจากนั้น ห้องขังที่อยู่ซ้ายขวา ฝั่งตรงข้ามและที่อยู่ใกล้ๆ ล้วนได้ยินเสียงปึงปังดังออกมาไม่หยุด และมีเสียงผู้หญิงร้องด่า สาปแช่ง วอนขอชีวิต…อึกทึกครึกโครมขนานหนัก

ความอึกทึกครึกโครมนี้ถูกนำไปรายงานต่อหน้าเว่ยฉางอิ๋งแต่ต้นจนจบ เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้าน้อยๆ กล่าวว่า “ให้นางอยู่ที่นั่นสักสองวันก่อน หาไม่แล้วนางจะคิดไม่ซื่อต่อไปอีก”

จูอียิ้มพลางว่า “ข้าน้อยได้ยินมาว่าตอนที่นางไล่นั่นถูกจับเข้าไปในคุกก็แต่งตัวงดงามเรียบร้อยนัก พี่ชายของนางถูกพวกเราจับตัวเอาไว้นางจึงได้รีบมาจากเมืองข้างๆ แม้มิได้เดินทางมาไกลนับพันลี้ แต่จากอำเภอเถาฮวามาถึงตัวเมืองซีเหลียงของเราอย่างไรก็ต้องเดินทางมาร้อยกว่าลี้ แต่นางกลับยังมีแก่ใจแต่งตัว เนื้อตัวก็ไม่เปรอะเปื้อนฝุ่นเลยแม้แต่น้อย…”

เว่ยฉางอิ๋งได้ฟังคำจึงยิ่งมั่นใจว่า ไล่ฉินเหนียงจะต้องมีชายคนรักเป็นแน่จึงได้ไม่มีเวลามาคำนึงถึงพี่ชาย เกรงว่าที่ครานี้ยอมมาในทันทีหลังจากได้รับข่าวก็เพื่อแผนการใหญ่ของชายคนรัก …จึงได้เดินทางมาพร้อมกับชายคนรัก แล้วมีหญิงคนใดที่จะไม่ให้ความสำคัญกับสง่าราศีของตนเล่า? จึงเอ่ยถามไปเรื่อยเปื่อยว่า “โม่ปินอวี่นั่นเห็นนางถูกจับไปเข้าคุกแล้วว่าอย่างไรบ้างหรือไม่?”

“ได้ยินพวกทหารที่ไปจับบอกว่าโม่ปินอวี่ไม่เอ่ยคำใดเลยเจ้าค่ะ”

เว่ยฉางอิ๋งร้องอุ๊ไปคำหนึ่ง คิดในใจว่าบางทีโม่ปินอวี่อาจมิได้สนใจในตัวไล่ฉินเหนียง ก็เพียงต้องการกองโจรเขาเหมิงซานเพื่อแผนการของตนเท่านั้นจึงได้แสแสร้งไปตามน้ำ นางคิดสักพักจึงสั่งความว่า “นำข่าวที่ไล่ฉินเหนียงและโม่ปินอวี่มาถึงซีเหลียงนี้ไปบอกกับไล่ต้าหย่งและมู่ชุนเหมียน หากพวกเขาต้องการจะร้องขอความเห็นใจ ก็ห้ามผ่อนผันทั้งสิ้น หากอยากจะไปเยี่ยมในคุก ก็อนุญาตเพียงมู่ชุนเหมียนไปได้เท่านั้น”

จูอีเอ่ยรับคำหนึ่ง แล้วเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ว่า “เหตุใดฮูหยินน้อยจึงอนุญาตให้พวกเขาไปเยี่ยมในคุกได้เล่าเจ้าคะ? หากพวกเขาไปส่งข่าวอันใด…”

“ไม่ว่าอย่างไรจี้กู่ก็เป็นท่านอาของท่านหมอเทวดาจี้ และยามนี้ท่านหมอเทวดาจี้ก็มีญาติผู้ใหญ่อยู่เพียงผู้เดียว ตั้งกี่ปีแล้วก็ยังคงคิดถึงอยู่ไม่ลืม” เว่ยฉางอิ๋งถอนหายใจ “สองวันก่อนข้าได้รับจดหมายของท่านย่าจากบ้านแม่ บอกว่าเวลานี้ท่านพ่อข้าอาการดีขึ้นมากแล้ว จะว่าไปก็ล้วนเพราะอาศัยฝีมือล้ำเลิศของท่านหมอเทวดาจี้ ข้าย่อมต้องทดแทนคุณด้วยการปกป้องคนตระกูลจี้สักหน่อย …เรื่องที่กองโจรเขาเหมิงซานนั้น ก็เกรงว่าคงมิใช่เรื่องที่ตรงไปตรงมาอันใด!”

คำนี้จูอีจดจำไว้ในใจ คืนวันนั้นหลังจากเลิกงานแล้วจึงกลับบ้านไปบอกกับแม่ของนางเป็นการเฉพาะ แล้วแม่ของนางก็ไหว้หวานให้บ่าวที่เกิดในบ้านที่ไปดูแลที่ คฤหาสน์จี้หยวนนำความไปบอกให้ถึงหูจี้กู่

จี้กู่ลูบแหวนทำจากกระบอกไม้ไผ่บนนิ้วหัวแม่มือ แล้วเอ่ยกับมู่ชุนเหมียนบุตรสาวของตนว่า “ในเมื่อฮูหยินเว่ยก็ออกปากมาแล้ว วันพรุ่งเจ้าก็ไปเยี่ยมนังลูกอกตัญญูในคุกสักหน่อยเถิด!”

มู่ชุนเหมียนโตกว่า ไล่ฉินเหนียงหลายปีนัก น้องสาวบุญธรรมผู้นี้ก็นับได้ว่านางเลี้ยงดูมาจนโต ด้วยตัวนางเองไม่มีพี่น้องคนอื่น นางจึงรักใคร่ดูแลไล่ฉินเหนียงเป็นอย่างมากมาแต่ไร เห็นนางประหนึ่งเป็นน้องสาวแท้ๆ เมื่อยามนี้ได้ยินคำของบิดาจึงขมวดคิ้วแล้วว่า “พอฉินเหนียงมาถึงซีเหลียงก็ถูกจับไปขังคุกแล้ว ท่านพ่อพอจะช่วยนางสักหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ?”

“ยามนี้ตัวข้าเองก็ยังเอาไม่รอดแล้วจะไปช่วยนางได้อย่างไร?” จี้กู่ได้ยินคำพลันกรอกตาขาวทั้งคู่ หัวเราะเสียงประหลาดแล้วว่า “นางก่อเรื่องวุ่นวายนี้ให้ข้า ข้าก็แทบอยากจะลงมือฆ่าล้างโคตรด้วยตนเองแล้ว! นางถูกขังสักหน่อยแล้วจะเป็นเยี่ยงใด?!”

มู่ชุนเหมียนสะดุ้งตกใจน้อยๆ บอกว่า “ฉินเหนียงนาง…ก่อเรื่องใดกันแน่?”

“ข้าจะไปรู้ได้เยี่ยงไร?” จี้กู่เอ่ยอย่างเกรี้ยวกราด “แต่จะต้องมิใช่เรื่องเล็กอันใดแน่ หากไม่แล้วฮูหยินเว่ยต้องอาศัยบ่าวมาบอกให้เจ้าไปเยี่ยมที่คุก จะได้ให้เจ้าไปหลอกถามสิ่งใดมาได้บ้าง เพื่อให้พวกเราได้ทำคุณไถ่โทษรึ?”

“ทำคุณไถ่โทษ?” มู่ชุนเหมียนรีบไตร่ตรองอย่างรวดเร็วคราวหนึ่ง สีหน้าก็เปลี่ยนไปน้อยๆ กล่าวว่า “ฮูหยินเว่ยวานให้คนมาถ่ายทอดคำพูดนี้ก็ด้วยเจตนานี้หรือ?”

จี้กู่ยิ้มเยาะ บอกว่า “หาไม่แล้วเจ้าคิดว่าจะอย่างไรเล่า? ต่อให้ตัวข้าเองยังไม่รู้เรื่องต่างๆ ในหมิงเพ่ยถังแห่งนี้มากมายนัก แต่ก็รู้ได้ว่านางจะต้องสามารถตัดสินใจเรื่องเล็กน้อยนานาได้โดยลำพัง หากมิใช่เรื่องใหญ่โตจนนางไม่อาจปกป้องพวกเราและเกรงว่าจะไปอธิบายกับชวี่ปิ้งไม่ได้ แล้วนางจะมาเตือนพวกเรารึ?”

มู่ชุนเหมียนสูดหายใจลึกอย่างหนักใจ เอ่ยเสียงหลงไปว่า “ฉินเหนียงนางก่อเรื่องใดกันแน่?!” กองโจรเขาเหมิงซานสามารถทำการต่างๆ ได้อย่างคล่องตัวในเขาเหมิงซานที่อยู่ในเขตของกว้านโจวและไม่เคยเข้ามาในเขตของซีเหลียงเลย มู่ชุนเหมียนนึกว่าความผิดที่ใหญ่หลวงที่สุดที่ไล่ฉินเหนียงทำครานี้ก็คือไม่ควรไปจากจี้กู่โดยไม่เอ่ยคำลาและตัดสินใจเรื่องต่างๆ ด้วยตนเอง …แต่กลับไม่คิดว่าเรื่องที่นางล่วงเกิน จี้กู่ยังเป็นเรื่องรอง แต่ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือไปล่วงเกินเสิ่นจั้งเฟิง!

ตามความหมายของจี้กู่ก็คือ เรื่องที่ไล่ฉินเหนียงก่อเอาไว้มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะส่งผลต่อจี้กู่และมู่ชุนเหมียนพ่อลูก ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่จะส่งผลมาถึงนี้แม้แต่ตัวเว่ยฉางอิ๋งซึ่งเป็นภรรยาของเสิ่นจั้งเฟิงเอง ก็ยังรู้สึกว่าเกินจะรับมือ จึงให้สาวใช้แอบมาบอกโดยเฉพาะ เพื่อเตือนพวกเขาให้ทำคุณไถ่โทษ นางจะได้ช่วยพูดให้พวกเขาได้

จี้กู่รู้สึกหมดคำพูดกับข้อสงสัยของบุตรสาว “นี่ก็เป็นเรื่องที่เจ้าต้องไปถามตอนไปเยี่ยมนางแล้ว! ข้ารู้ว่านังของไร้ราคาฉินเหนียงเป็นเจ้าเลี้ยงมาจนโต จึงยากที่เจ้าจะตัดใจลงมือกับนางได้! เพียงแต่อย่าได้ลืมเสียว่าบ้านเรายังมีของไร้ค่าตัวเล็กอีกคน และนั่นก็เป็นลูกแท้ๆ ของเจ้า! แม้ข้าจะบอกไม่ได้ว่าข้าเห็นพวกเจ้าแม่ลูกเป็นมุกในมือ แต่ลูกแท้ๆ ของข้ากับลูกบุญธรรมชายหญิงที่รับมา แท้จริงแล้วย่อมไม่เหมือนกัน …เจ้าจะทำเช่นใด เจ้าก็ไปดูเอาเอง!”

เมื่อเกี่ยวพันถึงบุตรสาวเพียงคนเดียวมู่ชุนเหมียนก็จะมามัวห่วงสายสัมพันธ์พี่น้องอันใดอีกไม่ได้แล้ว …นั่นเพราะบุตรสาวย่อมสำคัญยิ่งว่าน้องสาว นางเร่งไปที่คุกหญิง เมื่อได้รับคำสั่งจากเว่ยฉางอิ๋งปรากฏว่าผู้คุมก็ปล่อยให้นางเข้าไปอย่างง่ายดาย

มู่ชุนเหมียนถูกนำตัวไปที่หน้าห้องขังที่ขังไล่ฉินเหนียงเอาไว้ เมื่อผู้คุมเปิดประตูออก และนางมองเข้าไปข้างในก็อดจะตกใจยกใหญ่ไม่ได้!

ด้วยนางเห็นว่าในห้องหนึ่งห้องมีนักโทษหญิงที่นอนพาดกันไปมาเกือบยี่สิบคน จนแทบไม่มีที่ให้ยืน ที่เช่นนี้ย่อมมีกลิ่นไม่น่าอภิรมย์ ยิ่งไม่ต้องบอกว่าที่มุมห้องขังก็มีถังปัสสาวะวางอยู่ ซึ่งมองไปก็เต็มจนแทบจะล้นออกมาแล้ว แต่ที่ข้างถังปัสสาวะก็ยังคงมีคนนอนอยู่ …เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูก็ไม่มีผู้ใดขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย

ท่ามกลางนักโทษหญิงที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงหน้าตามอบแมมกลุ่มนี้ ไม่ว่ามู่ชุนเหมียนจะหาอย่างไรก็มองไม่เห็นน้องสาวบุญธรรมที่รักความสะอาดมาแต่ไรของตนจนพบ

รอจนผู้คุมร้องเรียกชื่อไล่ฉินเหนียง จึงมีหญิงที่เสื้อผ้าขาดวิ่นผู้หนึ่งกระโดดโหยงขึ้นมา แล้วร้องไห้พลางโผ่เข้าหามู่ชุนเหมียน “พี่หญิงใหญ่!”

“…ฉินเหนียง!” มู่ชุนเหมียนมองดูไล่ฉินเหนียงที่ผมเผ้ารุงรังสวมเสื้อผ้าขาดวิ่น หน้าตามอมแมมเปรอะเปื้อนไปหมดยังไม่ว่า กลับยังมีรอยเล็บข่วนหลายรอยด้วย …แต่เล็กมาไล่ฉินเหนียงมีผิวพรรณเปล่งปลั่งงดงามนัก และจี้กู่ก็สอนทั้งฉิน หมากรุก เขียนอักษร วาดภาพ ศาสตร์ชั้นสูงนานาที่คนในป่าในดงจะคิดก็ยังคิดไม่ถึงให้แก่นาง บ่มเพาะให้นางมีทั้งชั้นเชิงและความสง่างาม รวมทั้งปลูกฝังจิตใจที่หยิ่งทะนงให้นางด้วย แต่เล็กมาไล่ฉินเหนียงจึงวางมาตรฐานความงามของตนเอาไว้สูงมาก ครั้งที่นางอยู่ในป้อมตระกูลเฉา ด้วยเหตุที่มีข้อจำกัดหลายประการ นางจึงทำได้เพียงทำเนื้อตัวให้สะอาดสะอ้านเรียบร้อยเท่านั้น

เมื่อมาอยู่ในกองโจรเขาเหมิงซาน ไล่ฉินเหนียงจึงตั้งหน้าตั้งตาดูแลตนเองอย่างพิถีพิถันตลอดมา

ก็เหมือนกับที่จูอีไปรายงานกับเว่ยฉางอิ๋งว่าแม้พี่ชายเพียงคนเดียวจะถูกกักตัวอยู่ในตัวเมืองซีเหลียง ทว่าเมื่อไล่ฉินเหนียงได้รับข่าวและเร่งเดินทางมา มีฝุ่นดินคลุ้งมาตลอดทาง แต่เสื้อผ้าของนางก็ยังคงงดงามเรียบร้อย เห็นได้ว่านางพิถีพิถันมากเพียงใด

ไม่ว่าอย่างไรมู่ชุนเหมียนก็คิดไม่ถึงว่านางมาอยู่ในคุกหญิงเพียงหนึ่งคืนก็กลับต้องตกอยู่ในสภาพน่าอเนจอนาถเหมือนกับนักโทษที่ถูกขังอยู่ในนี้ไม่รู้นานเท่าใดแล้ว….