ภาคที่สาม มิต้อง ตีกรับ ร่ำสุรา จากจอกทอง ตอนที่ 87 แค้นยังไม่สิ้น

ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3

ตวนมู่ซินเหมี่ยวขัดนางขึ้นมาอีกครั้งว่า “คำพูดนี้ของพระชายาเหิงอ๋อง ข้ากลับมิกล้ารับ อย่างไรท่านก็ต้องบอกกล่าวเรื่องนี้มาให้ชัดเจนก่อน ข้าจึงจะรู้ว่าที่แท้แล้วยากหรือง่ายดาย”

หลิวรั่วอวี้พยักหน้า บอกว่า “ข้าต้องการกินยาชนิดนี้ แต่กลับไม่ต้องการให้ผู้ใดรู้”

“นี่คือ…” ตวนมู่ซินเหมี่ยวรับขวดยาที่นางส่งข้ามโต๊ะน้ำชามาให้ เมื่อเปิดออกก็รู้ในทันใด “ผงไร้เยียวยา? ท่านอยากจะแกล้งป่วย?”

หลิวรั่วอวี้ก็มิได้ปิดบัง ถอนใจเบาๆ กล่าวว่า “ได้ยินว่าแม่เลี้ยงข้าป่วยหนักนัก กระทั่งย้ายไปที่เรือนพักชานเมืองแล้ว คนเป็นบุตรสาวเช่นข้านี้ ก็ควรจะไปเยี่ยมสักหน่อย”

“ท่านคิดจะไปเผด็จศึกให้รู้เป็นตายกับหลิวรั่วเหยียแม่ลูกที่เรือนพักนั่นหรือ?” ตวนมู่ซินเหมี่ยวส่ายหน้า กล่าวว่า “ความจริงแล้วไยต้องทำเช่นนี้? แม้ข้าจะไม่รู้เบื้องลึกที่แท้จริง แต่ก็รู้ว่าบิดาของท่านรักใคร่พวกนางแม่ลูกยิ่งนัก หากมิใช่ว่าไม่อาจรั้งเอาไว้ได้จริงๆ ก็จะไม่มีวันปล่อยให้พวกนางไปจากเมืองหลวงอย่างง่ายดายเป็นแน่ และคาดว่ายามนี้อนาคตของพวกนางก็ย่ำแย่นักแล้ว ท่านก็เป็นถึงพระชายาท่านอ๋อง เพียงนั่งรอดูจุดจบของพวกนาง มือท่านก็จะไม่สะอาดขึ้นอีกหน่อยหรือ?”

หลิวรั่วอวี้หันไปยิ้มหวานให้นาง กล่าวว่า “คำที่น้องตวนมู่เตือนข้าเหมือนกับ คุณหนูใหญ่ซ่งไม่มีผิด ล้วนเพราะหวังดี เพียงแต่น้องหญิงไม่ทราบ แม่แท้ๆ ของข้า…” สักพัก หลังจากเห็นว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวตกตะลึง แล้วมีสีหน้าเข้าใจขึ้นมาในทันใด นางจึงเอ่ยต่อไปว่า “ฉะนั้นข้าจึงไม่ไปไม่ได้ หากไม่ไปครานี้ ชั่วชีวิตนี้ข้าก็จะไม่อาจสงบได้”

ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยเสียงหนักว่า “ข้าเข้าใจความหมายของท่านแล้ว”

“เช่นนั้น น้องตวนมู่จะยอมช่วยข้าในครานี้หรือไม่?” ขนตาของหลิวรั่วอวี้สั่นอยู่น้อยๆ พลางเอ่ยเสียงเบา

ตวนมู่ซินเหมี่ยวมิได้ตอบในทันใด หากแต่ใคร่ครวญอยู่เป็นนาน จึงบอกว่า “ท่านรู้กฎของข้า แม้วิชาแพทย์ของข้าจะไม่ทันเทียมท่านอาจารย์ ทว่าค่ารักษาของข้ากลับสูงกว่าของท่านอาจารย์แทบทุกครั้งไป นั่นก็เพราะข้าใช้จ่ายมากกว่าท่านอาจารย์มากมายนัก และไม่มีตระกูลเว่ยคอยสนับสนุนตัวยาให้ไม่ขาดเช่นท่านอาจารย์”

หลิวรั่วอวี้เอ่ยเสียงหนัก “เรื่องค่ารักษานั้นไม่มีปัญหา เพียงแต่หากมอบให้น้องหญิงในยามนี้ก็เกรงว่าจะทิ้งร่องรอยเอาไว้”

“แต่ครานี้ข้าไม่รับเงินทอง” แววตาของตวนมู่ซินเหมี่ยวเปลี่ยนไปคราวหนึ่ง แล้วส่ายหน้า แล้วเอ่ยในสิ่งที่หลิวรั่วอวี้มิได้คาดเอาไว้ว่า “แม้ว่าท่านแม่ของท่านจะมิได้ถูกคนวางยา ทว่าก็เสียไปตั้งแต่ยังสาว ซึ่งนี่ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกอนุที่ไร้คุณธรรมด้วย ท่านและข้าก็นับว่าเป็นคนที่มีหัวอกเดียวกัน ครานี้ข้าจะช่วยท่านโดยไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน เพียงแต่หากท่านทำพลาด ก็ไม่ต้องเอ่ยถึงข้าเป็นพอ”

หลิวรั่วอวี้เอ่ยอย่างจริงจังว่า “น้องตวนมู่โปรดวางใจ เหตุที่ข้าวางแผนไปขอร้อง คุณหนูใหญ่ซ่งให้ไปเชิญท่านมา ก็เป็นเพราะแม้แต่คุณหนูใหญ่ซ่งเองก็ยังประหลาดใจที่ข้าไปขอให้นางมาเป็นคนกลางช่วยประสานให้ ทำให้ไม่มีคนรู้เรื่องในวันนี้ และข้าเองก็จะไม่มีวันยอมรับเรื่องนี้ด้วย!”

ตวนมู่ซินเหมี่ยวมองดูขวดกระเบื้องในมืออย่างละเอียด ค่อยๆ เอ่ยออกมาว่า “ที่มุมทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิมีต้นหลิวที่มีกิ่งก้านระโยงระยางเต็มไปหมดต้นหนึ่ง และมันมีลักษณะไม่ใคร่เหมือนกับต้นหลิวที่อยู่ใกล้ๆ ต้นของมันแทบจะเอนนอนลงไปจนถึงผิวหน้าทะเลสาบ ใต้ต้นหลิวต้นนั้นมีโพรงที่ไม่ใหญ่โตนัก แต่ก็พอจะวางขวดยาได้สามขวดห้าขวด”

“ขอบใจน้องหญิงมาก” หลิวรั่วอวี้แอบโล่งใจพลางเอ่ยอย่างซาบซึ้ง

“อีกสามวันค่อยไปเถิด” ตวนมู่ซินเหมี่ยวว่าพลางเก็บขวดยาเข้าไปในแขนเสื้อ

สามวันต่อมาหลิวรั่วอวี้ให้จวีจงไปที่นั่น และปรากฏว่าเขานำขวดยาผงกลับมาห้าขวดจริงๆ

แพทย์เลื่องชื่อมีศิษย์ยอดฝีมือ ด้วยเวลาเพียงแค่สามวัน หากมิใช่เพราะหลิวรั่วอวี้เชื่อว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวจะไม่หลอกลวงตน ก็จะต้องไม่คิดว่าผงที่คล้ายกับผงดอกมะลิและไม่ได้มีกลิ่นแปลกประหลาดใดๆ แม้แต่น้อยในขวดยาเหล่านี้ก็คือผงไร้เยียวยา

นางนำยากลับเข้าไว้ในอกอย่างระมัดระวัง พลางเผยรอยยิ้มแห่งความเบิกบานใจ “ไปทูลเสร็จแม่ว่า มารดาข้าล้มป่วย ข้าซึ่งเป็นบุตรสาวจะไม่ไปเยี่ยมได้อย่างไร?”

จวีจงได้ยินคำ ตัวพลันสั่นอยู่น้อยๆ คิดสักพักก็ยังพูดออกไปว่า “พระชายาพะยะค่ะ หลายวันมานี้องค์ฮองเฮาทรงไม่ใคร่สบาย…”

“แต่ถ้าข้าเข้าวังไปปรนนิบัติเสร็จแม่ ก็เกรงว่าเสร็จแม่จะไม่ทรงมีพระอาการดีขึ้นอยู่เช่นนี้ตลอดไปนี่” หลิวรั่วอวี้เอ่ยไปเรียบๆ “จะว่าไปแล้วแม้เสด็จแม่จะดูเยาว์วัย ทว่าที่แท้แล้วก็เป็นคนที่มีอายุแล้ว หากบังเอิญเป็นเพราะข้าไปเฝ้าฯ แล้วทำให้เสด็จแม่กริ้วหนักจนประชวร อย่าว่าแต่ข้าและเหิงอ๋องเลย แม้แต่องค์หญิงชิงซินก็จะไม่มีที่พึ่งพิงแล้วนะ!”

“…พะยะค่ะ” จวีจงไม่รู้ว่านายของตนคิดทำการใดอยู่กันแน่? ก่อนนี้เพื่อให้มีชีวิตรอด หลิวรั่วอวี้ก็ให้ร้ายตนเองต่อหน้าฮองเฮา โดยบอกไปตรงๆ ว่าตนมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเว่ยซินหย่งไปแล้ว หากมิใช่เพราะฮองเฮากู้เห็นแก่ส่วนรวม ก็จะต้องบีบคอสะใภ้หลวงที่กล้าทรยศพระโอรสของนางด้วยมือตนไปแล้ว

ยามนี้เซินสวินลงจากตำแหน่งองค์รัชทายาทแล้ว และต้องเร่งรีบขนข้าวของออกจากตำหนักตะวันออกที่อยู่มาสิบกว่าปี แล้วไปอยู่ที่จวนเหิงอ๋อง หลิวรั่วอวี้ก็ลงจากตำแหน่งตามเขาและกลายมาเป็นพระชายาเหิงอ๋อง …ด้วยเหตุที่ฮองเฮากู้ปิดบังความจริงต่อฮ่องเต้ จึงถูกสนมเอกเติ้งฉวยโอกาสยุยงใส่ไคล้ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วนางก็ถูกฮ่องเต้ด่าทอจนแทบเป็นแทบตาย ในขณะที่ฮ่องเต้ทรงกริ้วหนักก็ถึงกับตบพระพักตร์ฮองเฮาอย่างหนักไปฉาดหนึ่ง…

ที่ฮองเฮากู้บอกว่านางเป็นกังวลต่ออาการป่วยของเซินสวินจึงได้ล้มป่วยติดต่อกันหลายวันจนไม่สามารถลุกขึ้นมาทำกิจต่างๆ นั้น ที่แท้แล้วก็เป็นเพราะว่าใบหน้าที่ถูกฮ่องเต้ตบมานั้นยังคงทิ้งรอยฝ่ามือเอาไว้ไม่จางเสียที จึงไม่มีหน้าออกไปพบผู้คนเท่านั้น

หากมิใช่เพราะกลัวว่าเมื่อหลิวรั่วอวี้มาตายไปในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อนี้แล้วจะทำให้เกิดข้อครหาขึ้น และยิ่งทำให้กรณีฉาวโฉ่เรื่องของเว่ยฉางเจวียนกระพือขึ้นมา ฮองเฮากูก็คงจะสั่งให้สังหารหลิวรั่วอวี้ไปตั้งแต่พริบตาที่เซินสวินสละตำแหน่งแล้ว

ความจริงแล้วในสายตายของราชสำนักนั้น จางเสากวง หลิวรั่วเหยียและหลิวรั่วอวี้สามแม่ลูกล้วนเป็นคนที่ตายแล้ว

เหตุที่ยังไม่สังหารนางชั่วขณะ ล้วนเพราะอยากจะรอให้เสียงอื้ออึงเรื่องคุณหนูเจ็ดตระกูลเว่ยล้มป่วยจนตายซาไปเสียก่อน เพื่อมิให้คนนำเอามาคิดเชื่อมโยงกันเมื่อมีคนทั้งในตระกูลสูงศักดิ์และราชสำนักมาตายไปติดต่อกัน แล้วจะเกิดเสียงเล่าลือขึ้นมา

แม้แต่จวีจงก็ยังรู้ว่าตนเองคงจะปรนนิบัติหลิวรั่วอวี้ได้อีกไม่นานแล้ว เพราะไม่เพียงหลิวรั่วอวี้เท่านั้นที่กำลังจะต้องตาย แม้แต่ตัวเขาเองก็หนีไม่รอดเช่นกัน

เพียงแต่จวีจงก็รู้ว่าเดิมเขาเป็นเพียงบ่าวปลายแถวที่ต่ำต้อยที่สุดในตำหนักตะวันออก หากมิใช่เพราะหลิวรั่วอวี้สนับสนุนเขา บางทียามนี้อาจยังมีชีวิตอยู่ดี แต่ก็ไม่แน่ว่าเพียงพริบตาเดียวก็จะไปขัดหูขัดตาท่านผู้สูงศักดิ์ผู้นั้น แล้วถูกลากไปตีตายเพื่อระบายอารมณ์ก็เป็นได้ ผู้ที่เป็นบ่าวไพร่ เป็นตายมิอาจขึ้นอยู่กับมือตน การได้มาเป็นบ่าวคนสนิทของหลิวรั่วอวี้ ดีชั่วก็ยังเคยได้มีวันคืนที่มีอำนาจบารมีบ้างสักกี่วัน

ทว่าเวลานี้เขาเองก็กำลังรอความตายอยู่กระมัง

จวีจงจึงจัดการวางแผนเรื่องต่างๆ ในภายหลังเอาไว้เรียบร้อย

แต่กลับไม่คิดว่าในช่วงเวลาที่เป็นดังนี้แล้ว หลิวรั่วอวี้ก็ยังจะไปยั่วโมโหฮองเฮาอีก…

เขาหนักใจหนักหนา และเข้ามาในตำหนักอย่างกล้าๆ กลัวๆ ซึ่งก็เป็นดังคาด เขาถูกนางกำนัลหน้าตำหนักเว่ยยางขวางเอาไว้ “สองวันมานี้องค์ฮองเฮาทรงกำลังเหนื่อยอ่อนอยู่ ไม่ทรงต้องการพบคนนอก เจ้ามีเรื่องใด?”

“พระชายาในเรือนข้าได้ยินว่าฮูหยินจางล้มป่วยหนัก ทรงรู้สึกร้อนใจนัก อยากจะไปเยี่ยมที่เรือนพักชานเมือง จึงสั่งให้ข้ามาขอพระราชอนุญาตจากฮองเฮาเป็นการพิเศษ” จวีจงรู้ว่านางกำนัลผู้นี้เป็นคนสนิทที่ดูแลใกล้ชิดฮองเฮา จึงไม่กล้าชักช้า รีบสะบัดพู่ปัดฝุ่น แล้วเอ่ยอย่างระมัดระวัง

นางกำนัลมองเขาคราวหนึ่ง เอ่ยเรียบๆ ไปว่า “เจ้ารอก่อน ข้าจะเข้าไปถามท่านอา”

ภายในท้องพระโรง นางอันเพิ่งจะดูแลให้ฮองเฮากู้ดื่มยาระงับประสาทและบรรทมหลับไป แล้วก้าวเท้าออกมาจากห้องบรรทม เมื่อได้ยินนางกำนัลเอ่ยถึงเรื่องนี้ คิ้วเรียวทั้งคู่ก็ขมวดเข้ามาแน่นๆ ในทันใด

สักพักจึงบอกว่า “นางทำให้ฮองเฮากริ้วไม่เบาเลย ยามนี้กลับคิดจะไปล้างแค้นนางจางแม่ลูก? นางจางแม่ลูกนั่นก็น่าชังนัก แต่นางก็อย่าได้อกได้ใจเกินไป!”

นางกำนัลบอกว่า “เช่นนั้น ข้าน้อยจะไปไล่จวีจงกลับไป บอกว่าฮองเฮาไม่ทรงอนุญาตนะเจ้าคะ?”

“ช้าก่อน” นางอันคิดสักพักแล้วกลับบอกว่า “คล้ายว่าหลายๆ บ้านของตระกูลเลื่องชื่อ ต่างรู้เรื่องที่นางจางข่มเหงรังแกหลิวรั่วอวี้กันหมดอยู่แล้วใช่หรือไม่?”

นางกำนัลคิดสักพัก บอกว่า “คล้ายจะทราบกันหมดเจ้าค่ะ โดยเฉพาะหลังจากที่พระชายาเหิงอ๋องแต่งกับฝ่าบาทของเราแล้ว นางก็มีท่าทีประหลาดต่อบ้านฝั่งมารดายิ่งนัก เรื่องที่เคยคาดเดากันเป็นการภายในเมื่อก่อนนี้ก็คล้ายว่าจะเป็นจริงขึ้นมาแล้วเจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นก็อนุญาตให้นางไปเถิด” นางอันยิ้มหยันพลางว่า “มิใช่ว่านางไม่ยอมที่จะไม่ได้เห็นจุดจบของนางจางแม่ลูกหรอกหรือ? ไม่แน่ว่านางจางแม่ลูกเองก็กำลังคิดจะสู้ตายกับนางอยู่ก็เป็นได้! หากมิใช่เพราะกลัวว่าเรื่องนั้นจะถูกขุดคุ้ยขึ้นมา ฮองเฮาก็จะจัดการให้นังสามแม่ลูกชั่วนี่ตายไปตั้งนานแล้ว!”

นางกำนัลบอกว่า “แล้วหากพวกนางทำให้เกิดเรื่องใหญ่โตขึ้นมา…”

“นั่นก็เป็นเรื่องของตระกูลหลิวเองแล้ว!” นางอันเอ่ยไปอย่างเย็นเฉียบ “ฮองเฮาของเราเอาใจใส่สะใภ้ ตนเองยังเจ็บยังป่วยอยู่ ก็ยังไม่เรียกให้พระชายาเหิงอ๋องมาอยู่ปรนนิบัติหน้าพระพักตร์ แต่กลับปล่อยให้นางออกไปเยี่ยมแม่เลี้ยงที่เรือนพักชานเมือง! ปรากฏว่าพวกนางสามแม่ลูกกลับไปสู้กันจนแทบเป็นแทบตาย ต่อให้ถึงขั้นมีคนตายนั่นก็เป็นตระกูลหลิวเสียหน้าเอง! หาได้เกี่ยวข้องกับราชสำนักแม้สักน้อยไม่ ไม่ว่าราชสำนักเราจะปลดนางหรือสั่งให้นางตายก็ล้วนเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล!”

นางอันหรี่ตาลง พึมพำว่า “หากเป็นดังนี้แล้ว หากสามคนนี้ตายไปเสียได้ไวๆ ก็จะยิ่งดี และจะได้ไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกับท่านผู้นั้นของตระกูลเว่ยที่เกิดเรื่องขึ้นด้วย…”

นางกำนัลเข้าใจ บอกว่า “ข้าน้อยจะไปบอกเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”

…จวีจงนำพระราชอนุญาตของฮองเฮากู้ว่าให้หลิวรั่วอวี้ไปเยี่ยมจางเสากวงได้ กลับมาที่จวนเหิงอ๋องด้วยความงุนงง เดิมทีเขานึกว่าการเดินทางไปครานี้อย่าว่าแต่ได้รับการอนุญาตเลย หากไม่ถูกฮองเฮาตีจนตายแต่ถูกไล่ออกมาจากตำหนักเว่ยยางก็นับว่าไม่เลวแล้ว ผู้ใดจะคิดว่า แม้นางกำนัลจะกั้นไม่ให้เขาเข้าเฝ้าฯ ฮองเฮา และมีท่าทีที่เย็นชากว่าก่อนมากมายนัก ทว่าเรื่องอื่นกลับมิได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย นางไม่ได้ให้เขารอนานนักก็ออกมาบอกกับเขาว่า ฮองเฮาทรงอนุญาตให้ตามคำขอของ หลิวรั่วอวี้

หลิวรั่วอวี้ก็ทำให้ฮองเฮากริ้วจนเพียงนั้นแล้ว แล้วเหตุใดฮองเฮายังจะทรงรับปากคำขอของพระสุณิสาที่ไม่บริสุทธิ์ผุดผ่องผู้อีก?

จวีจงรำพึงอยู่ในใจ พลางรายงานทุกสิ่งให้หลิวรั่วอวี้ฟัง

หลิวรั่วอวี้ฟังไปยิ้มไป เมื่อฟังจบก็พยักหน้าน้อยๆ กล่าวว่า “ในเมื่อเป็นดังนี้แล้ว เช่นนั้นก็เก็บข้าวของที่จำเป็นต้องใช้ไปสักหน่อยเถิด จำไว้ว่าของที่ข้าต้องใช้ทุกวันต้องนำไปด้วยทุกชิ้น และต้องนำเพิ่มไปอีกสองสามชิ้นด้วย”

ทางหนึ่งจวีจงก็ตอบรับ อีกทางหนึ่งก็ถามไปอย่างระวังว่า “ตอนที่พระชายาเสด็จ ต้องทูลกับท่านอ๋องสักคำหรือไม่พะยะค่ะ?”

“ทูลท่านอ๋องเรื่องใดเล่า?” หลิวรั่วอวี้ยิ้มน้อยๆ พลางย้อนถาม “ทางท่านอ๋องก็มิใช่ว่ามีพระชายารองกู้และสนมเฉียนคอยปรนนิบัติอย่างดีอยู่แล้ว? ยังมีสนมงามๆ อีกตั้งมากมาย เจ้ายังกลัวว่าพวกนางจะไม่ปรนนิบัติท่านอ๋องอย่างเต็มกำลังรึ?”

ไม่รอให้จวีจงบอก หลิวรั่วอวี้ก็บอกว่า “ในเมื่อเจ้าไม่วางใจ เช่นนั้นตอนข้าไปก็จะกำชับพวกนางสักหน่อยก็แล้วกัน”

สักพักจากนั้น กู้เม่ยเม่ยและเฉียนมั่วเอ๋อร์ก็ถูกเรียกมาตรงหน้าหลิวรั่วอวี้

พระชายารองและสนมขั้นหนึ่งทั้งสองคนนี้ แม้ว่าพวกนางจะเป็นเหมือนกับสาวงามมากมายที่เคยเข้ามาในตำหนักตะวันออก และไม่มีแม้สักคนที่จะสามารถครองครองจิตใจของเซินสวินเอาไว้ได้อย่างโดยสิ้นเชิง แต่เมื่อเอ่ยถึงความโปรดปรานแล้วทุกคนล้วนเป็นที่รักมากกว่าหลิวรั่วอวี้มากมายนัก เพราะอย่างน้อยพวกนางก็เคยเป็นที่รักที่หลงอย่างมาก เรียกได้ว่าเคยมีช่วงชีวิตที่ดี ชี้นกเป็นไม้ ชี้ไม้เป็นนกอยู่ช่วงหนึ่ง

และด้วยเหตุนี้ พวกนางแทบทุกคนล้วนมองข้ามหลิวรั่วอวี้ที่ผู้ซึ่งเป็นอดีตพระชายาองค์รัชทายาทมาก่อน

เพียงแต่ นับตั้งแต่สนมหลายคนที่เคยเป็นที่รักใคร่ และเมื่อไม่ได้เป็นที่รักแล้วก็ถูกหลิวรั่วอวี้ลากไปที่โถงหลัก แม้แต่ถามสักคำก็ยังคร้านจะถามแล้วก็สั่งคนมาตีจนตายต่อหน้าต่อตาพวกนาง เหล่าสนมในตำหนักตะวันออกก็สงบเสงี่ยมขึ้นมากโข

ต่อให้ภรรยาเอกไม่เป็นที่รักใคร่เพียงใด แต่เช้ายันค่ำก็ยังคือภรรยาเอก ทั้งฐานะและตำแหน่งล้วนวางอยู่ตรงนั้นแล้ว ต่อให้ชาตินี้เซินสวินไม่เข้าห้องนาง แต่ขอเพียงยังมิได้เลิกรากับนาง จะอย่างไรชีวิตของเหล่าสนมงามก็อยู่ในกำมือนางอยู่ดี

ส่วนเหล่าสนมงาม นอกจากจะสามารถรับประกันได้ว่าตนเองจะไม่มีทางไม่เป็นที่รักไปชั่วชีวิต หาไม่แล้วก็ควรจะมาประจบเอาใจหลิวรั่วอวี้สักหน่อยเป็นดี

ก็ผู้ใดใช้ให้พอเซินสวินเบื่อหน่ายและทอดทิ้งสนมงามขึ้นมาวันใด ก็แทบไม่เคยหวนกลับมาเกิดถ่านไฟคุกับรักเก่าอีกเลยเล่า?

เพราะอย่างไรเสีย เซินสวินก็ไม่เคยขาดแคลนหญิงงามเยาว์วัยมาเป็นที่รักคนใหม่เลยแม้สักครา

ดังนี้แล้ว ยามนี้ไม่ว่าจะเป็นกู้เม่ยเม่ยซึ่งเป็นหลานสาวของฮองเฮา หรือว่าสนมขั้นหนึ่งเฉียนมั่วเอ๋อร์จึงอดจะมีท่าทีเคารพต่อหลิวรั่วอวี้ไม่ได้

เมื่อหลิวรั่วอวี้เห็นท่าทีประหวั่นพรั่นพรึงของพวกนาง ก็หัวเราะออกมาทันใด กล่าวว่า “มองข้าเช่นนี้ทำสิ่งใด? ข้าจะกินคนหรือไร?”

คำพูดนี้กลับทำให้ทั้งสองคนสะดุ้งตัวโยน ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไรจึงจะไม่ทำให้นางโกรธได้ขึ้นมาทันใด ก็ด้วยครึ่งปีหลังมานี้อุปนิสัยส่วนตัวของหลิวรั่วอวี้ยิ่งแปลกขึ้นทุกวัน นางมักจะยินดีและเกรี้ยวกราดอย่างผิดปกติ

ดีที่คงเพราะเวลานี้หลิวรั่วอวี้กำลังรีบจะออกเดินทาง เมื่อพูดคำนี้เสร็จก็มิได้หาเรื่องหาราวพวกนางอีก เพียงแค่สั่งความไปเรียบๆ สองสามคำว่าเมื่อนางไปเยี่ยมแม่และน้องสาวที่เรือนพักชานเมืองแล้ว ก็ให้พวกนางคอยดูแลจวนเหิงอ๋องให้ดี โดยเฉพาะต้องคอยปรนนิบัติเซินสวินอย่างตั้งใจ …กู้เม่ยเม่ยและเฉียนมั่วเอ๋อร์จึงรีบรับคำทุกๆ เรื่อง แล้วเอ่ยอย่างเป็นกังวลว่า “เพียงแต่ …จนยามนี้เหิงอ๋องก็ยังไม่ตื่นนะเพคะ…”

หลิวรั่วอวี้แค่นเสียงคำหนึ่ง บอกว่า “เช่นนั้นก็ไปคอยปรนนิบัติต่อไป!” ก็ผู้ใดใช้ให้เซินสวินไม่เชื่อฟัง ไปรนหาที่ตายเอง แต่ก็ยังไม่รู้กาลเทศะและไม่ยอมสละตำแหน่งเอง จนบีบให้ฮ่องเต้ต้องพระราชทานยามาให้ด้วยพระองค์เองเล่า?

ยาที่ฮ่องเต้พระราชทานมาแม้จะไม่ถึงกับส่งผลร้ายต่อเขา แต่ก็ทำให้เขานอนหลับไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง …มิเช่นนั้นแล้วนอกจากทุกคนต้องพากันกลัวว่าจะปกปิดความจริงเอาไว้ไม่อยู่แล้ว ก็ยังต้องมาอีกกลัวว่าเซินสวินจะทำการเลอะเลือนใดขึ้นมา นั่นก็เป็นเพราะทางราชสำนักและตระกูลสูงศักดิ์จึงพากันพร้อมใจปกปิดเรื่องนี้ แต่เขากลับจะเปิดโปงเรื่องนี้ออกมา…

หากมิใช่เพราะหลายวันมานี้เจ้าหมอนี่ล้วนนอนหลับไม่ได้สติ หลิวรั่วอวี้ก็คงจะไม่สบายใจเช่นนี้!

“อยากให้เจ้าคนไม่ได้ความนี่นอนหลับไป และลุกขึ้นมาอีกไม่ได้ตลอดกาลเสียจริงๆ!” หลิวรั่วอวี้แอบเย้ยหยันอยู่ในใจ