ณ อำเภอเถาฮวา
ตำบลเหมิงซานเป็นตำบลเล็กๆ ตำบลหนึ่งที่ตีนเขาเหมิงซาน ชื่อของตำบลก็ได้มาจากชื่อของภูเขา ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามีตำบลเล็กๆ ที่ทอดตัวตามแนวเขาเหมิงซานกี่ตำบลที่ใช้ชื่อนี้ด้วย
มีเศรษฐีผู้หนึ่งซื้อคฤหาสน์ใหญ่ที่อยู่นอกตำบลหลังหนึ่งเอาไว้เมื่อสิบกว่าปีก่อน เพียงแต่เศรษฐีผู้นี้ไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่ หากแต่ใช้เป็นเรือนพักรับรองเท่านั้น โดยปกติแล้วก็เพียงให้บ่าวสองสามคนคอยอยู่เฝ้าและทำความสะอาด เผื่อว่าบางทีจะมีคนมาพัก เพียงแต่โดยมากแล้วพวกเขาก็จะเข้าออกในยามค่ำคืน ชาวบ้านที่เกิดและเติบโตในตำบลจึงไม่รู้ว่าคนบ้านนี้มาจากที่ใดกันแน่ ต่างพากันเดาว่าเมื่อพวกเขาดูมีลับลมคมในเช่นนี้ก็คงมิใช่คนดีอันใดนัก
ปีนี้ทางการเก็บภาษีเดือนหนักมาก แต่ละบ้านแม้จะมีที่นามากมาย แต่หากไม่รีบตื่นแต่เช้าทำงานจนค่ำมืดก็ยากจะหาข้าวกินอิ่มได้สักมื้อ เรื่องปากท้องของคนบ้านตนก็ยังดูแลไม่ไหวแล้ว จึงไม่ว่างจะไปสนใจเรื่องชาวบ้าน ทว่าแม้จะมีพวกที่อยู่ว่างๆ ไม่มีที่นาไม่มีงานทำอยู่บ้าง แต่ทั้งนอกและในคฤหาสน์หลังนี้ล้วนเลี้ยงสุนัขดุฝูงหนึ่งเพื่อคอยเฝ้าที่นี่เอาไว้ หลายปีก่อนก็ยังเคยกัดคนไร้หัวคิดที่หวังจะเอาสุนัขตัวอ้วนๆ ไปลงหม้อต้มกินจนตาย ทั้งยังจับคนในครอบครัวของเขาที่พากันมาเอาความที่หน้าประตูมัดเอาไว้และส่งไปศาลาว่าการอีกด้วย…
นับแต่นั้นมาทั้งตำบลก็รู้ว่าบ้านหลังนี้มีผู้อำนาจคอยหนุนหลังอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังลงมืออย่างโหดร้ายรุนแรง จึงพากันหลีกออกไปให้ไกลอย่างรู้ความ ด้วยเหตุนี้ หลายปีต่อมาคฤหาสน์หลังนี้จึงอยู่มาได้อย่างสุขสงบ
ยามโพล้เพล้ แสงอาทิตย์ที่เหลือเพียงน้อยนิดอาบอยู่ทั่วฟ้าทางทิศตะวันตก
แสงอาทิตย์อัสดงที่สะท้อนขึ้นมา สาดส่งมาที่สวนดอกไม้ทางด้านหลังของ คฤหาสน์ใหญ่หลังนี้ ดอกไม้บานเต็มสวนเหมือนเป็นผืนผ้าทอดยาว สาวน้อยที่กำลังเอามือเท้าคางอยู่บนราวระเบียงท่ามกลางดอกไม้นับร้อย กลับงดงามเสียยิ่งกว่าบุปผาที่แน่นขนัดในยามนี้เสียอีก
ดวงหน้าสีขาวอมชมพูดอกท้อทั้งสีหน้าเบิกบานเปรมปรีดิ์ สองคิ้วเรียวยาวเข้าไปในตีนผม ดวงตากลมโตดังผลสุ่ยซิ่ง[1] จมูกยาวเป็นสัน ปากแดงดังผลอิงเถา ยามชม้ายปรายตาช่างงดงาม มีสง่าราศีในแบบฉบับของตนเอง
เสื้อผ้าของนางก็มีสีสันสดใสสะดุดตานัก นางสวมเสื้อส้างหรูคอป้ายแขนแคบปักลายหงษ์คาบดอกลำโพงบนผ้าพื้นเขียวอ่อน ผ้าแถบห้าสีที่คาดอยู่ยิ่งทำให้เห็นเอวเล็กคอดได้ชัดเจน คาดทับด้วยเชือกถักเป็นปมหัวใจคู่ ปลายเชือกถักยาวๆ ห้อยลงมาทนกระโปรงย้วยหลิวเซียนสีเหลืองไข่ห่าน และพลิ้วสะบัดไปตามลมยามเย็น ผมยาวสีดำขลับเกล้าเป็นทรงเทพธิดาบินหลวมๆ วงหนึ่ง บนมวยผมปักปิ่นหยกไว้เอียงๆ ปักปิ่นอุบะ ติดดอกไม้อัญมณีและปิ่นรูปปีกนก
ที่หูสวมต่างหูไข่มุกตะวันออกที่มีโครงเป็นทองคำแท้รูปเถาวัลย์คู่หนึ่ง ทองคำแท้รับกับไข่มุกยิ่งดูมีประกายจับตา และยิ่งขับให้ลำคอขาวนวลดังงาช้าดูยาวระหงยิ่งกว่าเดิม นางสวมสร้อยคอห่วงที่หน้าอก กำไลหยกบนลำแขน ช่างเป็นการแต่งการอย่างสตรีชั้นสูงผู้มั่งคั่ง เพียงแต่ในดวงตากลับมีความเข้มแข็งอย่างผู้นำที่สตรีชั้นสูงผู้มั่งคั่งไม่มี ยามมองไปเป็นความงามที่มีความเข้มแข็งปนอ่อนโยนในอีกรูปแบบหนึ่ง
บ่าวที่พาแขกเข้ามาในสวนดอกไม้อย่างปัจจุบันทันด่วนมองเห็นนางมาแต่ไกล ก็อดจะมองจนเคลิบเคลิ้มไม่ได้ ฝีเท้าของเขาช้าลงสักพักจึงกลับมาเดินอย่างปกติ ดีที่แขกซึ่งอยู่ข้างหลังเป็นคนอารมณ์เย็น จึงมิได้เห็นว่าแปลกอันใด เมื่อบ่าวหายใจลอยแล้วก็แอบดีใจขึ้นมาว่า “แม่นางผู้นี้งดงามช่างงดงามนัก ยามมองไปประหนึ่งเทพธิดากลางมวลมนุษย์ เพียงแต่ไม่ทราบว่านางและนายบ้านข้ามีความสัมพันธ์ใดต่อกัน พักก่อนนางนำจดหมายของนายท่านมา ข้าก็นึกว่าเป็นสหายของนายท่าน ไม่นึกว่าแขกผู้นี้ก็นำจดหมายของนายท่านมาพบนางเช่นกัน …คงมิใช่ว่านางและนายท่านมิได้มีความสัมพันธ์อันใดกัน แต่กลับเพียงอาศัยสถานที่ของนายท่านมาพบกับคนรักหรอกนะ?”
ว่าแล้วหางตาพลันปรายไปข้างหลัง แล้วคาดเดาไปอย่างใคร่รู้ว่าบุรุษที่สามารถทำให้หญิงงามเช่นไล่ฉินเหนียงมีใจให้และยินยอมพร้อมใจจะคบหาเป็นการส่วนตัวเป็นคนเช่นใดกันแน่
แต่น่าเสียดายที่คนผู้นี้สวมงอบที่ดึงลงมาปิดถึงลำคอมาตลอดทาง บนตัวคลุมเสื้อคลุมสีน้ำตาลเข้มปกปิดตัวมิดชิด ไม่ว่าบ่าวจะมองอย่างไรก็มองไม่เห็นหน้าตาที่แท้จริงของเขา ทำได้เพียงปลงอนิจจัง หยุดยืนอยู่นอกรั้ว แล้วถอยออกไปจากสวนดอกไม้ตามคำสั่งของไล่ฉินเหนียง
รอจนบ่าวเดินออกไปพ้นจากประตูวงพระจันทร์ของสวนดอกไม้ไปพักใหญ่ ไล่ฉินเหนียงจึงโยนดอกกุหลาบมอญในมือที่เพิ่งจะเด็ดมาจากส่วนลงไปในพุ่มดอกไม้ ปัดมือ แล้วเอ่ยทักทายบุรุษที่จงใจปิดบังรูปร่างหน้าตาของตนเอาไว้ว่า “ช่างจือ ท่านมาแล้ว”
“ทางพี่ชายของเจ้าเกิดเรื่องเล็กน้อย” เสียงราบเรียบทุ่มต่ำดังลอดออกมาใต้งอบ หาได้มีท่าทีผ่อนคลายลงเพราะไล่ฉินเหนียงผู้มีรูปโฉมงดงามเป็นฝ่ายทักทายเขาก่อนไม่ “ซีเหลียงส่งจดหมายมาที่กองโจรเขาเหมิงซาน บอกว่าเขาล่วงเกินคนตระกูลเสิ่นที่หมิงเพ่ยถัง จึงได้ถูกกักตัวเอาไว้ ต้องการให้กองโจรเขาเหมิงซานให้คำอธิบายในเรื่องนี้ ยามนี้กองโจรเขาเหมิงซานจึงกำลังวุ่นวาย ผู้คนพากันหวั่นวิตก และเริ่มจะแยกย้ายกันไปทั่วทิศแล้ว”
“แยกย้ายกันไปทั่วทิศ? เฮ่อ เจ้าไม่ต้องกังวลเกินไป” ไล่ฉินเหนียงเอ่ยประหนึ่งว่าไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น “ฝีมือของพ่อบุญธรรมข้าผู้นั้น ข้าจะยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้งอีกหรือ? หากเขาไม่อนุญาต คนของกองโจรเขาเหมิงซานและป้อมตระกูลเฉา หากหนีไปคนหนึ่งก็ต้องตายไปคนหนึ่ง หนีไปสองคนก็ต้องตายไปคู่หนึ่ง! คนเหล่านี้อย่าว่าแต่ไม่รู้การใหญ่ของเราเลย ต่อให้รู้ก็ไม่มีวันอยู่ต่อจนนำความไปบอกกล่าวออกไปได้หรอก”
“เจ้าก็เช่นกันรึ?”
ไล่ฉินเหนียงพยักหน้า เอ่ยด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนไปว่า “ทว่า ก่อนหน้านี้ข้าเอ่ยกับพี่สาวบุญธรรมแล้วว่าต้องการขนมของว่างจำนวนมากมาเก็บเอาไว้ คิดว่าคงจะพออยู่ได้อีกระยะหนึ่ง …ในกองโจรเขาเหมิงซานผู้ใดเล่าที่ไม่ต้องกินของที่ป้อมตระกูลเฉาส่งมาให้ตามกำหนด? พ่อบุญธรรมของข้าผู้นั้นใจดำอำมหิตทั้งขี้ระแวง หากไม่บีบชีวิตพวกเราเอาไว้ในกำมือ ยามเขาต้องอยู่ห่างจากป้อมตระกูลเฉาและไม่ได้คอยจับตาดูลูกสาวและหลานสาวของตนเองเอาไว้ แล้วเขาจะวางใจกับกองโจรเขาเหมิงซานได้อย่างไร?”
ชายหนุ่มย้ำกับนางหลายคราว่าเขามิได้สนใจเรื่องที่พ่อบุญธรรมของนางควบคุมกองโจรเขาเหมิงซานเอาไว้เท่าใดนัก และมิได้สนทนาในเรื่องนี้ต่อไปด้วย แต่กลับบอกว่า “การที่เสิ่นจั้งเฟิงทำเช่นนี้มิได้พุ่งไปที่พี่ชายของข้า หากแต่เป็นท่านพี่เว่ย และอาจเป็นไปได้ว่าเขาก็เดาเป้าหมายของพวกเราได้หลายส่วนแล้วด้วย…”
“นี่เป็นไปไม่ได้” ไล่ฉินเหนียงขมวดคิ้ว ขัดขึ้นมาว่า “เป้าหมายที่แท้จริงที่คุณชายให้ท่านมาที่นี่ มีเพียงท่านกับข้าเท่านั้นที่รู้ แม้แต่ผู้คนที่คุณชายนำมาจากเขาเฟิ่งฉีก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ชัดเจนเท่าใดเลย! เสิ่นจั้งเฟิงจะไปรู้มาจากที่ใด?”
ชายหนุ่มเอ่ยไปเรียบๆ ว่า “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร? ข้าเพียงแต่นำเรื่องนี้ส่งนกพิราบสื่อสารไปบอกแก่ท่านพี่เว่ย แล้วภายหลังเขาก็ตอบกลับมาว่า เกรงว่าเสิ่นจั้งเฟิงจะมองแผนการออกแล้ว ให้ข้าไปตัวเมืองซีเหลียงกับเจ้าด้วยตนเองสักหน!”
ไล่ฉินเหนียงตกตะลึง กล่าวว่า “หรือว่าคุณชายคิดจะแยกตัวจากเสิ่นจั้งเฟิง? จะทำได้อย่างไร?”
“เดิมทีท่านพี่เว่ยต้องการจะปิดเสิ่นจั้งเฟิงเอาไว้ แต่ผู้ใดใช้ให้พี่ชายเจ้าวิ่งไปเร็วไปเพียงนี้?” ชายหนุ่มเอ่ยไปเรียบๆ “ท่านพี่เว่ยบอกว่าในเมื่อปิดเรื่องนี้ไว้ไม่ได้ ก็จะให้พวกเราไปเจรจาดูสักหน ดีที่ภรรยาของเสิ่นจั้งเฟิงก็เป็นบุตรีตระกูลเว่ยด้วย ยิ่งไปกว่านั้นนางยังรักใคร่กับเสิ่นจั้งเฟิงยิ่งนัก เมื่อเราใช้ประโยชน์จากประเด็นนี้ บางทีผลลัพธ์ของเรื่องนี้อาจจะดีกว่าที่คาดไว้มากก็ได้”
ไล่ฉินเหนียงเอ่ยพลางขมวดคิ้ว “ที่พี่ชายของข้าเดินทางไปซีเหลียงก็ไม่แน่ว่าจะเป็นความคิดของเขาเห็น มีแปดเก้าในสิบส่วนที่คนที่พ่อบุญธรรมของข้าในกองโจรเขาเหมิงซานสนับสนุนให้เขาไป หาไม่แล้วเมื่อข้าไม่ได้กลับไปที่ค่าย เขาก็จะต้องไม่มีทางทิ้งที่นั้นมาหรอก”
ชายหนุ่มเอ่ยไปอย่างเฉยเมยว่า “ข้าบอกไว้นานแล้วว่าเจ้าไม่ควรไม่ออกหน้าและไม่กลับไป เมื่อเจ้าอยู่ในกองโจรเขาเหมิงซาน ก็จะสามารถยับยั้งไม่ให้คนในกองโจรเอาเรื่องที่ข้ากวาดล้างกองโจรต่างๆ ในเขาเหมิงซานไปบอกกล่าวกับพวกของ จี้กู่ แต่เจ้าก็กลับไม่ยอมฟัง บอกว่าพี่ชายเจ้ารักใคร่เจ้ายิ่งนักอันใดนั่น แล้วหากเจ้าเข้ามาอยู่ในค่ายของข้า และเขาไม่รู้ความเป็นไปของเจ้า เขาก็จะต้องเหมือนถูกดึงขาเอาไว้ และจะสามารถประวิงเวลาเอาไว้จนพอเพียงได้ ปรากฏว่ายามนี้กลับทำจนเสียการไปหมดแล้ว…” เมื่อฟังน้ำเสียงนี้ คนผู้นี้ก็จะต้องเป็นโม่ปินอวี่อย่างไม่ต้องสงสัย
“ท่านก็ประมาทพ่อบุญธรรมข้าเกินไปแล้ว!” ไล่ฉินเหนียงส่ายหน้า กล่าวว่า “กองโจรเขาเหมิงซานมีคนนับพัน ในจำนวนนั้นเขาวางหูตาเอาไว้เท่าใดกันแน่ จนยามนี้ข้าเองก็ยังไม่รู้แน่เลย ต่อให้พี่ชายข้าไม่ไปที่ซีเหลียงด้วยตนเอง ข่าวนี้ก็ไม่อาจปิดไว้ได้นานเท่าใด เดิมทีข้าก็คิดว่าหากยื้อไว้ได้นานเท่าใดก็เท่านั้น เพียงแต่โชคไม่ดี ที่หาสถานที่แห่งนั้นไม่พบสักที หาไม่แล้วแม้จะเสียเวลาไปหลายวันนี้ ความจริงแล้วก็ไม่ต่างกันสักเท่าใด”
โม่ปินอวี่เอ่ยเสียงหนัก “แม้ท่านพี่เว่ยจะบอกแล้วว่าในยามคับขันจริงๆ ก็สามารถเลือกจะไปร่วมมือกับเสิ่นจั้งเฟิงได้ แต่ข้าคิดว่าตระกูลเสิ่นมีรากฐานที่มั่นคงในซีเหลียงมานาน มิใช่ว่าเราจะเทียบได้ หากพวกเขาเกิดความคิดจะฮุบรวมพวกเราเข้าไป พวกเราก็จะทำอันใดไม่ได้ ต่อให้ถึงยามนั้นเราทำเรื่องให้ใหญ่โตขึ้นมา และทำให้ทางรุ่ยอวี่ถังมาหนุนหลังเรา แต่ก็เกรงว่าจะเหลือบ่ากว่าแรงเสียแล้ว”
ไล่ฉินเหนียงบอกว่า “ช่างจือท่านคิดเห็นประการใด?”
“ไม่อาจบอกความจริงแก่พวกเขา พวกเราต้องแต่งจดหมายที่มีเหตุผลน่าเชื่อถือขึ้นมา” โม่ปินอวี่กล่าว “เพียงแต่ข้าไม่ใคร่ชำนาญไปคบหากับคนเช่นเสิ่นจั้งเฟิง จึงต้องเป็นเจ้ามาทำเรื่องนี้”
ไล่ฉินเหนียงเอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “บะ…บุตรหลานตระกูลสูงศักดิ์เพียงผู้เดียวที่ข้าเคยได้พบจนบัดนี้ก็คือคุณชายแล้ว!”
“มิใช่ให้เจ้าไปพูดกับเสิ่นจั้งเฟิง แต่เป็นฮูหยินเว่ยภรรยาของเขา” โม่ปินอวี่กล่าว “ไม่ว่าอย่างไรฮูหยินเว่ยก็เป็นบุตรีตระกูลเว่ย มีความเป็นไปได้แปดเก้าในสิบส่วนว่าบิดาและน้องชายของนางจะรับช่วงต่อรุ่ยอวี่ถังในภายภาคหน้า ครั้งนางอยู่ที่บ้านมารดาก็ได้รับความรักใคร่จากคนที่บ้านยิ่งนัก ย่อมไม่อาจทนดูบ้านฝั่งสามีตักตวงเอาผลประโยชน์จากบ้านฝั่งมารดาตนได้ เจ้าไปปะเหลาะนางเสียก่อน หากกล่อมนางไม่ได้ แล้วจำเป็นต้องพูดความจริงออกมา เช่นนั้นก็พูดความจริงออกไปเสียเลย ให้นางเลือกเอาระหว่างบ้านฝั่งมารดากับบ้านฝั่งสามี คิดว่านางจะต้องช่วยเจ้าปิดเรื่องนี้เอาไว้แน่ เมื่อมีนางมาช่วยปกปิด เรื่องนั้นก็จะจัดการได้ง่ายขึ้นมากนัก”
“ฮูหยินเว่ย…” ไล่ฉินเหนียงเอ่ยอย่างมีความคิดในใจ “สตรีชั้นสูงในตระกูลใหญ่โต ข้าเคยได้ยินพ่อบุญธรรมของข้าเอ่ยว่าคนประเภทนี้เอาใจยากนัก เพียงไม่ระวังก็จะไปล่วงเกินนางเข้าให้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคนที่มีชาติกำเนิดสูงส่งก็เกรงว่าจะไม่เห็นหัวคนเช่นพวกเรา จึงไม่รู้ว่าข้าจะสามารถเข้าไปพบนางได้หรือไม่?”
“เรื่องนี้เจ้าวางใจเถิด” โม่ปินอวี่เอ่ยเรียบๆ “ท่านพี่เว่ยบอกไว้ในจดหมายแล้วว่าฮูหยินเว่ยผู้นี้ขี้หึงนัก ด้วยความงามของเจ้าทั้งยังเป็นสตรีที่ยังไม่แต่งงาน นางจะต้องไม่วางใจให้เจ้าไปพบแต่กับเสิ่นจั้งเฟิง นางจะต้องมาพบเจ้าด้วยตนเองหรือไม่ก็ส่งคนสนิทของนางมา เพียงแต่ท่านพี่เว่ยก็บอกแล้วว่าฮูหยินเว่ยผู้นี้เป็นที่รักของญาติผู้ใหญ่มาแต่เล็ก ซึ่งเป็นดังที่เจ้าคิดไว้เช่นนั้นว่านางค่อนข้างทะนงในชาติกำเนิดของตน อย่าว่าแต่เจ้ามีชาติกำเนิดต่ำต้อยเลย ต่อให้เจ้าเป็นสตรีมีตระกูลเช่นนาง ก็มิใช่ว่านางจะเห็นผู้ใดสักคนอยู่ในสายตา เจ้าต้องเตรียมตัวให้ดีว่าเจ้าจะไม่อาจทำให้นางรู้สึกพิเศษกับเจ้าได้ มิเช่นนั้นก็เกรงว่านางก็จะไม่เปิดโอกาสให้เจ้าได้พูดเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ให้เจ้าตอบคำถามของนางเท่านั้น เมื่อตอบจบแล้ว เจ้าก็ควรอำลาจากมาแล้ว”
ไล่ฉินเหนียงหัวเราะลั่น กล่าวว่า “บ้าอำนาจเสียจริง! บุตรีตระกูลสูงศักดิ์ล้วนชอบทำอำนาจบาตรใหญ่เยี่ยงนี้รึ?”
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร?” โม่ปินอวี่เอ่ยไปเรียบๆ “แม้แต่บุตรีตระกูลใหญ่ข้าก็ยังไม่เคยได้พบมาก่อน สรุปก็คือคำของท่านพี่เว่ย ข้าก็ล้วนนำมาแจ้งแล้ว เจ้าดูเอาเองว่าจะทำเช่นใดเถิด เรื่องนี้ไม่เหมาะจะยึดยื้อให้นานไป ยามรุ่งสางวันพรุ่งก็ออกเดินทางเลยเถิด!”
ในเวลาเดียวกัน ณ หอน้ำชาที่ห่างไกลในเมืองหลวง
ตวนมู่ซินเหมี่ยวก้าวเข้ามาในห้องส่วนตัวในชั้นบน แล้วปรายตามองไปยังสตรีที่นั่งสงบเสงี่ยมอยู่ภายใน พลันรู้สึกค่อนข้างแปลกใจ “เป็นท่าน?”
“น้องตวนมู่ ไม่ได้พบกันนานทีเดียว” เมื่อเทียบกับตอนที่เคยได้พบกันสองสามครั้งในงานเลี้ยงก่อนที่ตนจะออกเรือน หลิวรั่วอวี้อดีตพระชายาองค์รัชทายาทซึ่งยามนี้เป็นพระชายาเหิงอ๋องก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเท่าใด และไม่รู้ว่าเป็นเพราะเห็นว่าจางเสากวงแม่ลูกมีอนาคตที่ย่ำแย่หนักหนาหรือไม่ แม้ยามนี้หลิวรั่วอวี้จะเปลี่ยนจากว่าที่ฮองเฮามาเป็นพระชายาท่านอ๋อง แต่ดูไปแล้วสีหน้าของนางกลับไม่เลวเลย
นางแย้มยิ้มทักทายตวนมู่ซินเหมี่ยวที่กำลังลงมานั่ง “ข้ากลัวเสียจริงๆ ว่าเจ้าจะไม่ยอมมา มาเห็นเจ้าในยามนี้ จึงรู้สึกซาบซึ้งใจเหลือเกิน”
“พระชายาองค์…พระชายาท่านอ๋อง ท่านอย่าได้ซาบซึ้งไปเลย” ตวนมู่ซินเหมี่ยวกลับมองนางด้วยความระแวง และไม่ยอมนั่งลง กล่าวว่า “เป็นคุณหนูใหญ่ซ่งนัดข้ามา ข้าก็นึกว่าคุณหนูใหญ่ซ่งอยู่ที่นี่เสียอีก! ท่านมาหาข้าเพราะคิดการใด? บอกไว้ก่อนนะว่ายามนี้แม่เลี้ยงและพี่หญิงใหญ่ของข้าพร้อมใจกันช่วยสนับสนุนให้ข้าทำงานการกุศล หาได้มีเวลาว่างใดไปตรวจรักษาคนทำนองนั้น และยามนี้ข้าเองก็ไม่มีแก่ใจใดจะไปยุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่องด้วย”
“น้องหญิงเจ้าอย่าได้ถือโทษที่คุณหนูใหญ่ซ่งมิได้มาด้วย และมีเพียงข้าอยู่ที่นี่ผู้เดียว ความจริงแล้วนางก็จะมาด้วย แต่ค่ำวานนี้พี่สะใภ้รองของนางเกิดไม่สบาย เมื่อเชิญท่านหมอมาตรวจก็บอกว่านางตั้งครรภ์แล้ว” หลิวรั่วอวี้เอ่ยอย่างเป็นมิตร “น้องตวนมู่เจ้าเองก็รู้นี่ว่าเจียงหนานถังสองรุ่นนี้มีทายาทน้อยนัก เมื่อฮูหยินหมิ่นตั้งครรภ์ย่อมเป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง อีกทั้งฮูหยินฮั่วสะใภ้ใหญ่ของบ้านเขาก็ร่างกายอ่อนแอ สองวันมานี้ก็พอดีไม่ใคร่สบาย บอกว่าจำเป็นต้องให้คุณหนูใหญ่ซ่งอยู่ดูแลงานในเรือนแทนพี่สะใภ้ …นางจึงฝากให้ข้ามาขอขมาเจ้าด้วย”
“ข้าเองก็รู้ว่ายามนี้น้องหญิงมีกิจยุ่งนัก หากมิใช่ว่าสิ่งที่ต้องการมีเพียงน้องหญิงทำได้ ก็จะไม่กล้ามารบกวนเด็ดขาด เพียงแต่สำหรับข้าแล้วเรื่องนี้ยากนัก แต่สำหรับน้องหญิงกลับเป็นเรื่องง่ายดาย…”
________________________________
[1] ผลสุ่ยซิ่ง คือ แอปริคอต