ภาคที่สาม มิต้อง ตีกรับ ร่ำสุรา จากจอกทอง ตอนที่ 85 ถอดถอนองค์รัชทายาท

ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3

ไล่ต้าหย่งที่เป็นตัวล่อยังไม่ทันนำโม่ปินอวี่และไล่ฉินเหนียงมาที่ตัวเมืองซีเหลียง พิราบสื่อสารที่มาถึงอย่างเร่งร้อนกลับนำข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งมา …องค์รัชทายาทลงจากตำแหน่งแล้ว!

ส่วนสาเหตุที่ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการก็คือ องค์รัชทายาทเซินสวินเกิดประชวรหนักอย่างปัจจุบันทันด่วน หลังจากหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงวินิจฉัยแล้ว บอกว่าเขาจำเป็นต้องนอนพักรักษาตัวอยู่บนตั่งนานปี ทำการต่างๆ ไม่สะดวก เมื่อเซินสวินรู้ว่าตนเองไม่อาจดำรงตำแหน่งผู้สืบทอดราชบัลลังก์ได้แล้ว จึงทูลขอออกจากตำแหน่งองค์รัชทายาทเป็นการเฉพาะ เพื่อให้ฮ่องเต้และขุนขางในราชสำนักคัดเลือกพี่น้องที่ดีงามคนอื่นเข้ามาอยู่ในตำหนักตะวันออกแทน

ได้ยินว่าหนังสือแสดงเจตจำนงของเขานั้นเขียนได้ประทับใจคนยิ่งนัก เมื่อฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรก็แทบจะกรรแสงออกมาในทันใด ภายหลังที่พากันปลอบพระทัยฮ่องเต้ไปหลายครั้งหลายครา เหล่าขุนนางในราชสำนักก็พากันไปเยี่ยมเยือนและปลอบโยนเซินสวินที่ตำหนักตะวันออก ขอให้เขาทำใจให้สบายและเอาใจใส่ในการรักษาให้ดีๆ แต่จนใจเหลือที่เซินสวินกลับมิได้วางใจกับอาการเจ็บป่วยของตนเลย ยังคงยืนกรานจะออกจากตำแหน่งองค์รัชทายาท เขาถึงกับสะเทือนใจกับเรื่องนี้เกินไปจนเกือบทำให้อาการป่วยรุนแรงยิ่งกว่าเดิม เพื่อมิให้ไปกระตุ้นอารมณ์เขาอีก ฮ่องเต้จึงทำได้เพียงมีพระราชโองการลงไปว่า ให้ถอดถอนเขาออกจากตำแหน่งองค์รัชทายาทและเปลี่ยนพระยศมาเป็นเหิงอ๋อง

…คำพูดสวยหรูที่รั้วในวังเช่นนี้หากพูดให้พวกชาวบ้านทั่วไปฟังก็ยังแล้วไป

แต่ความจริงกลับเป็นเซินสวินรนหาที่ตายเอง เขาหมายปองจางเสากวงและหลิวรั่วเหยีย ซึ่งเป็นภรรยาและบุตรีของขุนนางและยังเป็นสตรีชั้นสูงในตระกูลสูงศักดิ์ เรื่องนี้ก็ทำให้เหล่าตระกูลต่างๆ พากันเป็นกังวลว่าเมื่อเขาขึ้นสืบราชบัลลังก์แล้วจะทำการเช่นใด ปรากฏว่ายังไม่ทันได้สืบราชบัลลังก์เขาก็กลับไปลงมือกับเว่ยฉางเจวียนซึ่งเป็นบุตรีตระกูลสูงศักดิ์เข้าจริงๆ…

จึงทำให้จินตนาการได้ไม่ยากเลยว่าเมื่อเขาขึ้นครองราชย์ขึ้นมาจริงๆ ยามเหล่าสตรีชั้นสูงมาอยู่ต่อหน้าเขาก็มิใช่ว่าจะถูกกวักมือให้ไปทำโน่นทำนี่ประหนึ่งนางบำเรอ นางคณิกาหรอกหรือ?

เหล่าตระกูลเลื่องเชื่อที่หยิ่งทะนงในสายเลือดวงศ์ตระกูลที่สูงศักดิ์ของตนจะยังทนต่อไปได้ที่ใดกัน?

เว่ยซินหย่งและหลิวไห้ที่ได้รับผลโดยตรงจากเรื่องนี้จึงเริ่มร่วมมือวางแผนกัน เหล่าหกตระกูลสูงศักดิ์ใช้เวลาไม่นานก็มีความเห็นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน …ในมือของเว่ยซินหย่งมีจดหมายสั่งเสียของเว่ยฉางเจวียนซึ่งหมิ่นอีนั่วเป็นคนเขียนขึ้นมา แล้วนำไปขอเข้าเฝ้าฯ ฮ่องเต้เพียงลำพัง

ฮ่องเต้ที่ลุ่มหลงในสุรานารีมาหลายสิบปี และไม่เคยออกว่าราชการอย่างจริงจังมาหลายสิบปีแล้วก็เป็นดังที่ทุกตระกูลคาดการณ์เอาไว้ ว่าพระองค์ทรงสูญเสียปณิธานและสติปัญญาอันเฉียบแหลมเมื่อครั้งเพิ่งจะทรงขึ้นครองราชย์ไปสิ้นแล้ว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการไถ่ถามตรงๆ จากเหล่าหกตระกูลสูงศักดิ์ว่าองค์รัชทายาทบีบบังคับย่ำยีบุตรีตระกูลสูงศักดิ์อย่างอุกอาจ จนทำให้บุตรีที่อายุยังน้อยซึ่งเกิดจากภรรยาเอกในตระกูลเว่ยต้องเจ็บแค้นจนต้องฆ่าตัวตาย ผู้ที่เป็นเยี่ยงนี้แล้วจะปกครองแผ่นดินได้อย่างไร แม้เวลานั้นฮ่องเต้มิได้มีอาการลนลาน ทว่าก็ตั้งพระองค์ไม่ทัน …จะว่าไปแล้วครานี้ฮ่องเต้ก็ถูกฮองเฮาดัดหลังเอา

เดิมทีฮ่องเต้ก็ไม่ถึงกับไม่เคยได้ยินเรื่องของเว่ยฉางเจวียนมาก่อนเลยแม้สักน้อย

ทว่าฮองเฮากู้กลัวว่าเมื่อฮ่องเต้ทรงทราบเรื่องนี้แล้วก็จะเป็นผลร้ายต่อองค์รัชทายาท …นั่นเพราะในวังหลวงแห่งนี้ฮองเฮาแม่ลูกก็ยังมีสนมเอกเติ้งและสนมเมี่ยวเป็นศัตรูตัวฉกาจอยู่ด้วย ฮองเฮาทรงเห็นแก่พระองค์เอง จึงได้วางแผนการบีบให้คนที่จะไปบอกให้ฮ่องเต้ทรงทราบเรื่องนี้ตายไปทั้งหมด แล้ววางแผนว่าจะยอมเสี่ยงวางเดิมพันทั้งหมด ด้วยการปิดบังเรื่องนี้ต่อฮ่องเต้เอาไว้แล้ว ตนจะจัดการแก้ปัญหาเรื่องนี้เอง…

ปรากฏว่าเหล่าตระกูลสูงศักดิ์พากันเสแสร้งทำดีต่อหน้าพระพักตร์ฮองเฮา ทำให้ฮองเฮาทรงหวังว่าอาจจะยังช่วยพวกเขาปิดฮ่องเต้ต่อไปได้ แล้วอีกทางหนึ่งก็หาโอกาสมาเจรจากันเป็นการส่วนตัว แต่แล้วเว่ยซินหย่งก็เข้าวังมาอย่างปัจจุบันทันด่วน ทำเอาฮ่องเต้ที่กำลังเอนองค์หนุนแขนดังหยกงามของสนมจงและชมระบำที่สนมเมี่ยวเพิ่งหัดมาใหม่อย่างสำราญนักหนาตั้งพระองค์ไม่ทัน!

ฮ่องเต้ไม่ทรงตรัสถามถึงข้อราชการมาหลายสิบปี แต่กลับยังสามารถทำให้เหล่าตระกูลเลื่องชื่อเกรงกลัวนัก แม้จะเป็นฮ่องเต้โฉด ทว่าก็ไม่นับว่าไร้ซึ่งความสามารถ ฉะนั้นหลังจากลนลานงุนงงแล้ว ก็ทรงสงบลง และกลับไม่ยอมทำตามความประสงค์เหล่าตระกูลสูงศักดิ์

จนใจนักที่ฮ่องเต้ยังมี…เอ่อ ไม่รู้ว่าควรจะบอกว่าเป็นข้อเสียหรือข้อดี ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ที่ชอบคิดมาก

แรกเริ่มนั้นฮ่องเต้ทรงคาดว่าตระกูลสูงศักดิ์จะไม่กล้ามาท้าทายพระราชอำนาจโดยง่าย แม้ยามนี้แผ่นดินจะไม่สงบนัก ทว่าก็มิได้ไม่สงบจนเกิดกบฏขึ้นทั่วสารทิศ…อิทธิพลของต้าเว่ยยังคงอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นระหว่างหกตระกูลสูงศักดิ์เองก็มีความขัดแย้งกันอยู่ จึงไม่มีทางมาร่วมมือกันได้นานนัก

ฉะนั้น ฮ่องเต้จึงทรงคิดว่าขอเพียงพระองค์เองมีท่าทีที่แน่วแน่แข็งกร้าว ก็คงจะตะเพิดเว่ยซินหย่งกลับไปได้ไม่ยาก

ทว่าท่าทีของเว่ยซินหย่งกลับมั่นคงแน่วแน่ดังขุนเขา …ฮ่องเต้กลับคิดไปมากมายว่าเมื่อเว่ยเจิ้งหงหายป่วย รุ่ยอวี่ถังย่อมไม่มีที่ให้สอยเว่ยซินหย่งแล้ว แต่เขาดันเป็นคนที่รุ่ยอวี่ถังรับเป็นบุตรบุญธรรมมาจากจือเปิ่นถัง แล้วเขาจะกลับไปจือเปิ่นถังอีกครั้งไม่ได้รึ? เช่นนั้นก็จะกลายเป็นเรื่องน่าขันไปทั่วแผ่นดินแล้ว

ครั้นแล้ว ฮ่องเต้จึงทรงคิดถึงเรื่องที่หลายคนเคยคาดเดาเอาไว้ว่า เว่ยซินหย่งโดดเด่นทั้งความสามารถและหน้าตา เมื่อมองจากเรื่องที่เดิมทีเขาเป็นบุตรชายจากอนุของบุตรหลานในสายของจือเปิ่นถังคนหนึ่งที่เสียไปตั้งแต่ในวัยหนุ่มเมื่อหลายสิบปีก่อน และกลับถูกรับมาเป็นบุตรบุญธรรมในรุ่ยอวี่ถังนั้น เห็นชัดว่าเขามีความทะเยอทะยานอยู่ไม่น้อยเลย …คนชนิดนี้จะยอมละทิ้งอนาคตที่สวยงามไปเพราะเว่ยเจิ้งหงกลับมาหายดีได้อย่างไร?

โดยนามแล้วเว่ยฉางเจวียนและเว่ยซินหย่งเป็นอาหลานกัน แต่ความจริงแล้วเกรงว่าคงจะเคยพบหน้ากันอย่างเป็นทางการเพียงครั้งสองครั้งเท่านั้น คงมิได้มีความผูกพันอันใด และคงมิใช่ว่าเว่ยซินหย่งจงใจมาเสนอเงื่อนไขใดเพราะเขาได้จดหมายสั่งเสียฉบับนี้มาหรอกนะ?

เมื่อฮ่องเต้ทรงมีความคิดเช่นนี้ จึงทรงให้สัญญากับเว่ยซินหย่งหนแล้วหนเล่าว่าจะให้เขาได้ทำงานสำคัญ ขอเพียงให้เขามีท่าทีอ่อนลง

เพียงแต่เว่ยซินหย่งก็ไม่ได้สะเพร่า และกลับนำความจริงทุกเรื่องทูลแก่ฮองเต้ แม้แต่เรื่องความแค้นระหว่างจางเสากวงแม่ลูกกับหลิวรั่วอวี้ซึ่งเป็นพระชายาองค์รัชทายาท เขาก็เล่าทั้งหมดโดยไม่ปิดบัง เมื่อพูดจบแล้วเว่ยซินหย่งจึงเอ่ยไปตามตรงว่า “ซินหย่งต่ำต้อยวาจาไร้น้ำหนัก เพียงมาแทนเหล่าผู้ใหญ่ในตระกูลเท่านั้นพะยะค่ะ นี่ล้วนเป็นหน้าตาของราชสำนักและตระกูลเว่ย จึงได้ส่งซินหย่งมาเข้าเฝ้าฯ องค์ฮ่องเต้ เพื่อมิให้เป็นที่สังเกตของผู้คน หากเปลี่ยนเป็นท่านพ่อหรือเหล่าพี่ชายในตระกูลมาเข้าเฝ้าฯ ก็เกรงว่าการที่หลานสาวต้องมาเสียไปทั้งยังอ่อนวัย ก็จะทำให้เกิดเสียงร่ำลือไม่งามขึ้นได้โดยง่าย ทว่ายามนี้ไม่เพียงแค่เหล่าญาติผู้ใหญ่ของซินหย่งเท่านั้น เหล่าตระกูลสูงศักดิ์ทั้งหกและสตรีชั้นสูงล้วนได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากราชสำนัก และมักจะเข้าออกภายในวังอยู่บ่อยครั้ง…”

คำพูดต่อไปก็ไม่จำเป็นต้องพูดแล้ว …สรุปก็คือตระกูลสูงศักดิ์ไม่เชื่อถือในตัว องค์รัชทายาทแล้ว องค์รัชทายาทจะรับสตรีชาวบ้านสักแปดพันคน ย่ำยีฉุดคราด ตบตีสังหารสตรีทั่วไป ในสายตาของตระกูลเลื่องชื่อล้วนไม่นับเป็นสิ่งใด ทว่ายามนี้องค์รัชทายาทล้วนยื่นพระหัตถ์เข้ามาในตระกูลสูงศักดิ์ ยิ่งไปกว่านั้นก็มิใช่ตระกูลในสายที่ห่างออกไปด้วย …นับแต่โบราณมาความแค้นสังหารบิดาและแย่งภรรยาก็นับว่าเป็นความแค้นที่ใหญ่หลวงที่สุดแล้ว ซึ่งในเวลานี้องค์รัชทายาทก็สร้างความโกรธแค้นต่อทุกคนด้วยความแค้นใหญ่หลวงในประการที่ว่ามาแล้ว…

เมื่อพูดจนถึงขั้นนี้ ฮ่องเต้ก็ทรงเข้าใจทันใดว่า แม้ว่าสาเหตุที่องค์รัชทายาททำเรื่องเช่นนี้ก็ด้วยถูกหลิวรั่วเหยียแม่ลูกวางแผน ทว่าตระกูลสูงศักดิ์ก็จะไม่ทีทางยอมให้เขาขึ้นครองราชย์แล้ว!

หากยังไม่ยอมทำตามคำขอที่เว่ยซินหย่งมาเสนอให้เป็นการส่วนตัว ว่าให้เปลี่ยนตัวผู้สืบราชบัลลังก์ เช่นนั้นก็ต้องไปสู้ตายกับหกตระกูลสูงศักดิ์เอาโดยตรงแล้ว!

พระชันษาสูงแล้ว ความปราดเปรื่องก็ถดถอย มีหรือฮ่องเต้จะทรงตัดสินพระทัยไปล่วงเกินหกตระกูลสูงศักดิ์ซึ่งเป็นผู้นำเหล่าตระกูลเลื่องชื่อในใต้หล้าได้?

ครั้งแล้ว เซินสวินจึงได้ล้มป่วยลงแล้ว

จากนั้น เขาก็ขอสละตำแหน่งองค์รัชทายาท ‘ด้วยตนเอง’

ในท้ายสุดของจดหมายที่นกพิราบสื่อสารนำมาเอ่ยไว้ประโยคหนึ่งว่า จางเสากวงภรรยาของหลิวไห้ล้มป่วย ด้วยรู้สึกว่าเมืองหลวงอึกทึกเกินไป จึงเดินทางไปพักฟื้นที่คฤหาสน์ในชานเมืองโดยมีหลิวรั่วเหยียบุตรสาวไปด้วย

ต่อให้เมืองหลวงอึกทึกเพียงใด พวกคนทั่วๆ ไปก็ไม่มีทางไปรบกวนเหล่าสตรีชั้นสูงที่อยู่ลึกเข้าไปในคฤหาสน์ใหญ่โตได้ นี่เห็นชัดว่าฮ่องเต้นำความแค้นไปลงที่ตัวพวกนางแล้ว

ติดก็ตรงที่เว่ยฉางเจวียนเพิ่งจะ ‘ล้มป่วยจนตาย’ หากหลิวรั่วเหยียแม่ลูกที่มีความสัมพันธ์อันดีกับนางก็มาเกิดเรื่องขึ้นอีก ก็ยากจะไม่ทำให้คนผู้คนคิดไปต่างๆ นานา เพื่อรักษาหน้าตาของราชสำนักและตระกูลเว่ย ฉะนั้นพวกนางจึงย้ายไปอยู่ที่คฤหาสน์ชานเมืองก่อน เพื่อไปให้ไกลจากสายตาผู้คน รอจนไม่มีคนสนใจพวกนางแล้ว พวกนางจึงค่อยๆ ตายไปเองได้

ด้วยจดหมายของนกพิราบสื่อสารสั้นนัก เขียนมาได้ไม่กี่ตัวอักษร ยิ่งไปกว่านั้นหนทางก็ยาวไกล มีความเป็นไปได้ไม่น้อยว่าอาจถูกคนสกัดจับระหว่างทางหรือบังเอิญตกไปอยู่ในมือผู้อื่น ฉะนั้นแต่ไรมานกพิราบสื่อสารของตระกูลเสิ่นล้วนใช้รหัสลับเขียน

เว่ยฉางอิ๋งหมอบเกาะอยู่ที่หัวไหล่ของสามี รออยู่เนิ่นนานสามีจึงแปลความในจดหมายให้ฟัง เมื่ออ่านจบแล้วก็ถอนหายใจยาวๆ คราวหนึ่ง กล่าวว่า “ที่สุดองค์รัชทายาทก็…”

ตั้งแต่ครั้งที่นางแต่งเข้าบ้านมายังไม่น่าน ด้วยเรื่องของเจียงเจิงทำให้เสิ่นจั้งเฟิงสังเกตเห็นท่าที่ของเซินสวินที่มีต่อตระกูลสูงศักดิ์ และเริ่มวางแผนจะเปลี่ยนตัวผู้สืบราชบัลลังก์ แม้เว่ยฉางอิ๋งจะไม่พูด แต่ในใจก็รู้สึกว่าตนมีความรับผิดชอบอยู่ด้วย โดยเฉพาะที่เสิ่นจั้งเฟิงเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าฮ่องเต้พระชันษาสูงแล้วไม่อยากให้มีเรื่องเดือดร้อนพระทัยมากนัก แม้จะไม่พอใจในตัวองค์รัชทายาท ทว่าก็ไม่จำเป็นต้องล้มล้างเขา …ในรัชสมัยปัจจุบันนี้ก็เคยถอดถอนองค์รัชทายาทมาสองพระองค์และฮองเฮาอีกหนึ่งพระองค์แล้ว อย่าว่าแต่ฮ่องเต้เลย แม้แต่ทั่วหล้าก็เกรงว่ายังรู้สึกรำคาญใจกับเรื่องที่ตำหนักตะวันออกลุแก่อำนาจเช่นเดียวกัน

ฉะนั้นเว่ยฉางอิ๋งจึงรู้สึกเป็นกังวลมาโดยตลอดว่าบ้านฝั่งสามีต้องลงทุนลงแรงไปมากมายเท่าใดเพื่อเรื่องการเปลี่ยนตัวผู้สืบราชบัลลังก์นี้

ดีที่เซินสวินรนหาที่ตายเอง จู่ๆ ก็มาทำให้คนจำนวนมากโกรธแค้น

ยามนี้หกตระกูลสูงศักดิ์ร่วมมือกับบีบให้เขาสละตำแหน่งเอง ซึ่งในเรื่องนี้ตระกูลเสิ่นก็ลงแรงไปไม่น้อย …เอ่อ แต่เหตุใดคนที่ออกหน้ากลับเป็นคนตระกูลเว่ยเล่า?

เว่ยฉางอิ๋งกลัดกลุ้มอยู่สักพัก แล้วก็เกิดสงสัยขึ้นมา “คงมิใช่ว่าเว่ยซินหย่งมีแผนการร้ายใดกระมัง?”

นางสงสัยในใจดังนี้ ทว่าเสิ่นจั้งเฟิงก็กลับคิดเช่นนี้ด้วยจริงๆ เขาเอามือปัดกระดาษไปมา กล่าวว่า “เซินสวินได้รับพระยศใหม่เป็นเหิงอ๋อง ยามนี้ตำหนักตะวันออกก็ว่างลงแล้ว แม้ฮ่องเต้จะพระชันษาสูง ทว่าก็ยังคงมีพระสติที่ชัดเจน ควรจะแต่งตั้งผู้สืบราชบัลลังก์พระองค์ใหม่ในทันที เพื่อมิให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย”

พระทายาทของฮ่องเต้มีตั้งมากมายเพียงนั้น ก่อนนี้แม้ว่าเซินเสวี่ยนจะชั่วโฉดเพียงใดก็ยังเป็นองค์รัชทายาทมาสิบกว่าปี ฐานะผู้สืบราชบัลลังก์ของเขาแทรกซึมลึกเข้าไปในจิตใจผู้คน เมื่อยามนี้ถูกถอดถอนแล้ว ไม่ว่าจะเปลี่ยนพระราชโอรสพระองค์ใดมาเป็นผู้สืบราชบัลลังก์ เขาผู้นั้นย่อมมีรากฐานที่ตื้นเขินนัก

ขอเพียงฮ่องเต้มิได้เลอะเลือน ก็จะต้องรีบสรรหาผู้สืบราชบัลลังก์พระองค์ใหม่โดยเร็วที่สุดและเร่งบ่มเพาะเขาอย่างเต็มกำลัง …เสิ่นจั้งเฟิงวางจดหมายลง กล่าวว่า “เรื่องที่เซินสวินได้พระยศใหม่เป็นเหิงอ๋องนี้ ก็นับว่าเป็นตระกูลหลิวทำให้ฮ่องเต้ทรงลำบาก รวมทั้งรุ่ยอวี่ถังเองด้วย ในบรรดาพระราชโอรสของฮ่องเต้ทั้งหมด องค์ชายที่พระชันษามากแล้วทุกพระองค์ โดยมากแทบไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯ ใกล้ชิด ในเรื่องความผูกพันย่อมไม่อาจเทียบได้กับองค์ชายที่ยังมิได้ออกไปครองแคว้นศักดินา ทว่าในบรรดาองค์ชายที่ยังมิได้ครองแคว้นนี้ องค์ชายสิบสองไม่เป็นที่สนพระทัยของฮ่องเต้ ส่วนองค์ชายสิบห้าและสิบหกแม้จะเป็นที่โปรดปรานและสนมเมี่ยวพระมารดาเลี้ยงก็เป็นสนมที่รักของฮ่องเต้ด้วย เพียงแต่ยังเยาว์วัยเกินไป หลังจากเว่ยซินหย่งเข้ามาเฝ้าฯ เป็นการส่วนตัวครานี้ ก็เกรงว่าฮ่องเต้จะยิ่งไม่ทรงวางพระทัยให้องค์ชายที่ยังทรงเยาว์วัยเข้ามากุมอำนาจแล้ว …อีอ๋อง…”

เว่ยฉางอิ๋งขมวดหัวคิ้วน้อยๆ …องค์ชายสิบเอ็ดเซินปั๋วที่ได้พระยศเป็นอีอ๋องแล้วผู้นี้มีเรื่องแค้นเคืองเล็กน้อยกับตระกูลเสิ่น ครั้งวันพระสูติขององค์หญิงหลินชวน และเหล่าสตรีชั้นสูงเข้าวังไปถวายพระพรก่อนนี้นั้น เซินปั๋วบังเอิญไปพบกับซูอวี๋เฟยในอุทยานและต้องใจนางยิ่งนัก ทั้งยังเคยดึงตัวเสิ่นจั้งหนิงไปสอบถามฐานะของซูอวี๋เฟยด้วย แต่ปรากฏว่าเป็นเพราะองค์ชายพระองค์นี้เป็นคนมีนิสัยโหดร้ายโกรธง่าย มิใช่ตัวเลือกของสามีที่ดีอันใด เสิ่นจั้งหนิงจึงหล่อเขา บอกว่าซูอวี๋เฟยคือเว่ยลิ่งเยวี่ยคุณหนูแห่งจือเปิ่นถังที่มีเรื่องขัดแย้งกับเว่ยฉางอิ๋ง

ครั้งนั้นเสิ่นจั้งหนิงคิดว่าต่อให้เซินปั๋วรู้ว่าถูกหลอกเข้าให้แล้ว แต่ดีชั่วก็ยังทำอันใดตนเองไม่ได้

ทว่าหากเซินปั๋วได้สืบราชบัลลังก์… นางจึงเอ่ยถึงเรื่องนี้โดยคร่าวๆ สักหน่อยว่า “…ทว่าผู้ที่เข้าวังไปทูลฯ ต่อฮ่องเต้ในครานี้ก็คือท่านอาหกของข้า และเว่ยลิ่งเยวี่ยที่อีอ๋องอยากจะอภิเษกให้มาเป็นพระชายาเอกก็นับว่าเป็นบุตรีตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวของข้าเช่นกัน กลับไม่รู้ว่าฮ่องเต้จะมาพาลกริ้วเอาหรือไม่? เพราะอย่างไรพระโอรสของฮ่องเต้ก็มีอยู่มากมายนัก”

“ก็เป็นเพราะท่านอาหกเว่ย จึงค่อนข้างเป็นไปได้ว่าฮ่องเต้จะทรงแต่งตั้งอีอ๋อง” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยเตือน “จือเปิ่นถังและรุ่ยอวี่ถังขัดแย้งกัน ฮ่องเต้ก็ทรงทราบ เดิมทีท่านอาหกเว่ยก็เป็นคนของจือเปิ่นถัง แต่ยามนี้กลับมาเป็นบุตรบุญธรรมของรุ่ยอวี่ถัง ฮ่องเต้ทรงโปรดปราน…จะได้ทอดพระเนตรการต่อสู้ภายของตระกูลสูงศักดิ์เป็นที่สุด”

“…หรือว่าเดิมทีท่านอาหกของข้าไปตกลงกับอีอ๋องเอาไว้ก่อนแล้ว?” สีหน้าของเว่ยฉางอิ๋งเปลี่ยนไปทันใด พลางพึมพำ “ยิ่งไปกว่านั้น เขาคิดจะทำการใดในอำเภอเถาฮวานี้กันแน่? หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับอีอ๋องเช่นกัน?”