ทัศนคติจากหลัวเจีย

 

“ท่านลุง จริงๆแล้วหรงเอ๋อ…หรงเอ๋อชอบท่านมานานแล้ว!”

เรือนร่างของเหลียงหวางหรงเดือดพล่านสุดเร้าร้อน ขณะกระโจนเข้าใส่นางปลดแพรพรรณอาภรณ์ออกจนหมด หวังเผด็จศึกทันทีที่ถึงตัวหวังหลินโป

ครั้งก่อนนางก็พลาดท่าเช่นนี้ให้กับเย่หยวน ในคราวนี้เองก็อีหรอบเดิมไม่มีผิดเพี้ยน นางได้ใจจนประมาทเกินไป โยนคำว่าระวังตัวปลดทิ้งไปจนหมด ดั่งว่าตนเองยิ่งใหญ่เหนือสรรพสิ่ง เมฆาสวรรค์เก้าชั้นควบคุมได้ดั่งใจ

เพราะเหตุนั้น จึงเป็นอีกครั้งที่นางพ่ายให้แก่เย่หยวนโดยไม่รู้ตัว

 

หวังเพียนหลานที่เห็นภาพฉากนี้ นางถึงกับสะดุ้งโหย่งด้วยความตกใจ ไฉนจู่ๆลูกสาวของนางถึงกลายมาเป็นแบบนี้?

หวังหลินโปขมวดคิ้วแน่น พร้อมโบกหลังมือตบหน้าดังสนั่น

 

เพี๊ยะ!

เสียงตบดังชัดกึกก้องไปทั่วห้องโถงใหญ่

เหลียงหวางหรงในสภาพเปลือยกายถูกตบกระเด็น หมุนเคว้งกลางอากาศ ก่อนตกลงบนพื้นและนอนแน่นิ่งไป

 

“หรงเอ๋อ! ท่านพี่ทำบ้าอะไรอยู่!”

หวังเปียนหลานกรีดร้องสุดเสียงเสมือนคนเสียสติ พร้อมปรี่ตรงไปช่วยลูกสาวของนาง

ทว่าหวังหลินโปหาได้สนใจน้องสาวของตนสักนิด สาดสายตาเฉียดเย็นเจือแววอำมหิตหลายส่วนใส่เย่หยวนโดยตรง

 

“วิชาลวงตา! ข้าประเมินเจ้าต่ำเกินไปจริงๆ! แต่เช่นนี้…เจ้าสมควรตาย!”

 

สีหน้าการแสดงออกของหวังหลินโปเยือกเย็นถึงขีดสุด เป็นที่ชัดแจ้ง ยามนี้เจตนาหวังฆ่าเย่หยวนให้ตายคาที่

 

ทว่าเย่หยวนเพียงยิ้มตอบว่า

“ในเมื่อไม่จริงใจต่อกันตั้งแต่แรก เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องคุยอะไรกันอีก แต่อย่าประมาทเย่คนนี้จนเกินไป! หลัวเจีย กลับกันเถอะ!”

เย่หยวนหมุนตัวควับจากไปโดยไม่เหลียวหลังมองอีกเลย

 

ส่อแววประหลาดใจสะท้อนออกจากนัยน์ตาของหลัวเจีย เฉพาะตอนนี้ท่าทีของเขาแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย พลางลอบมองเย่หยวนเป็นนัย

 

หวังหลินโปย่นคิ้วแทบติดชน เขาตะโกนขู่เสียงเย็นขึ้นว่า

“หากเจ้ากล้าย่างเท้าออกจากตระกูลหวัง นางนั้นจะต้องตายแน่นอน!”

 

เย่หยวนกล่าวตอบโดยไม่เหลียวหลังกลับมองใดๆ

“มั่นใจเถอะ หวางหรูจะต้องไม่ตาย แต่ท่านกลับไม่แน่! และไม่เพียงนางจะไม่ตายเท่านั้น แต่นางจะยังอ้าปากพูดขึ้นได้อีกครั้ง! ข้าจะทำให้นางทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าในสักวัน ใครที่เคยรังแกนาง ถึงตอนนั้นไล่คิดบัญชีทั้งต้นทั้งดอก!”

เมื่อกล่าวจบเย่หยวนก็เดินจากไปทันที หาได้แยแสหวังหลินโปใดๆอีกต่อไป

 

พอหวังหลินโปได้ยินแบบนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะเยาพดังลั่น และตะโกนไล่หลังกลับไป

“ฮ่าฮ่าฮ่า…แกมันไอ้เด็กโง่! พิษขนวิหคพันราตรีของตระกูลหวัง ต่อให้เป็นตาแก่เฟิงปิงก็ยังไม่มีปัญญาทำอะไรได้! อาศัยเศษเดนอย่างแก คงได้แต่คุยโม้โอ้อวดไปวันๆ? ฝันไปเถอะ!”

 

ต่อหน้าเย่หยวนที่ลั่นวาจาไว้ว่า จะทำให้หวางหรูสามารถกลับมาพูดได้อีกครั้งและขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้า หวังหลินโป เลือกที่จะไม่ใส่ใจแม้สักนิด

เพราะเรื่องจำพวกนี้…มันไม่มีทางเป็นไปได้!

 

เหตุผลที่เย่หยวนตัดสินใจลงมือกับเหลียงหวางหรง เป็นเพราะเขาตระหนักทราบแล้วว่าครอบครัวนี้หาดีไม่ได้สักคน และไม่มีความน่าเชื่อถืออะไรเลย

เขาลอบสังเกตน้ำเสียงและถ่อยคำของคนพวกนี้มาโดยตลอด พอหวังหลินโปรู้ว่าเขาไม่มีวิชาควบคุมอสูร อีกฝ่ายก็ทิ้งขว้างหมอดความสนใจ

สิ่งที่มาแทนคือ ท่าทางการแสดงออกที่เปี่ยมไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม

คำสัญญาของคนประเภทนี้กลับไว้วางใจไม่ได้

 

ต่อให้เย่หยวนคุกเข่าก้มกราบต่อหน้าเหลียงหวางหรงอย่างไร แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีทางให้โอสถถอนพิษแก่เขาแน่นอน

เหตุผลที่นางกล่าวออกไปเช่นนั้น หวังแค่เพื่อสร้างความอัปยศขมขื่นใจแก่เย่หยวนเล่นเท่านั้น

 

ทว่าน่าเสียดายนัก ทั้งๆที่เหลียงหวางต้องการจะสร้างความอับอายให้แก่เย่หยวน แต่กลับนางที่ต้องอับอายขายหน้าแทน!

 

เย่หยวนเดินตรงออกจากตระกูลหวังและไม่เหลียวมองอีกเป็นคำรบสอง

แผ่นหลังเย่หยวนค่อยๆลับสายตาไป สีหน้าการแสดงออกของหวังหลินโปเปี่ยมไปด้วยความอาฆาตสุดหัวใจ

 

 

………………………..

 

 

 

“สำหรับเย่หยวนคนนี้ เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร?”

หยางรุยกดสายตาลึกล้ำง้ำประกาย พลางเอ่ยปากขึ้นถามหลัวเจีย

เขาเป็นคนออกคำสั่งให้หลัวเจียเฝ้าติดตามเย่หยวนไป นอกจากนี้ยังมีอีกหน้าที่หนึ่งคือเฝ้าสังเกตเย่หยวน

เพราะท้ายที่สุดนี้ ภูมิหลังของเย่หยวนเป็นมาอย่างไรกลับไม่มีใครทราบเลย

 

“คุณธรรมสูงส่ง ฉลาดวางตัว มองการณ์ไกลเกินหยั่งรู้!”

หลัวเจียกล่าวประเมิน

 

หยางรุยเบิกตาโตขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ฟัง เขากล่าวตอบอย่างน่าประหลาดใจว่า

“โอ้? จะมีใครสักคนที่ทำให้เจ้าประเมินได้ขนาดนี้กล่าวว่ามิใช่เรื่องง่าย! เด็กคนนั้นน่าประทับใจเพียงนั้นเชียว?”

หยางรุยตระหนักดี หลัวเจียผู้นี้ดั่งทหารเจนศึกผ่านประสบการณ์ชีวิตนับครั้งไม่ถ้วน ผู้คนโดยรอบน้อยนักที่สามารถเข้าถึงเขาได้

และหลัวเจียคนนี้เองก็ไม่เคยกล่าวประเมินผู้ใดสูงส่งขนาดนี้มาก่อนเช่นกัน!

สามารถทำให้เขากล่าวว่า คุณธรรมสูงส่ง ฉลาดวางตัว จึงถึงขั้นเกินหยั่งรู้ได้ เห็นได้ชัดว่าเด็กคนนี้ไม่ธรรมดา

แต่ความพิการและทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเด็กคนนี้ที่เสียหายอย่างหนัก มันเป็นความจริงที่ไม่ตายในท้ายที่สุด แล้วหลัวเจียที่ใช้คำว่า‘เกินหยั่งรู้’แบบนี้ เขาต้องการจะสื่ออะไรกันแน่?

 

“บางที เขาอาจเป็นมังกรที่กำลังจำศีลอยู่!”

ประกายแสงแวววับสาดสะท้อนออกจากแววตาของหลัวเจีย

 

สีหน้าการแสดงออกของหยางรุงดูสนใจถึงทันตา เขากล่าวว่า

“ถ้าเช่นนั้น ความหมายของเจ้าคือ เราควรดูแลเด็กคนนี้ต่อไป?”

 

หลัวเจียเงียบไปชั่วขณะก่อนกล่าวว่า

“บางทีนี้อาจเป็นผลกำไรมหาศาลเกินจินตนาการ”

 

หยางรุยขมวดคิ้วพลางกล่าวต่อว่า

“แล้วเจ้าคิดว่าเขาจะหลอมกลั่นโอสถล้างพิษขั้นเทวะได้หรือไม่?”

 

หลัวเจียส่ายหัว เห็นได้ชัดเขาไม่คิดว่าเย่หยวนจะสร้างปาฏิหาริย์ได้

เพราะท้ายที่สุดนี้ เขามีเวลาแค่สามสิบกว่าวันเท่านั้น

และก็ดูเหมือนว่า เย่หยวนจะรู้แต่วิธีหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะ การจะมาเริ่มหลอมกลั่นโอสถล้างพิษในยามนี้กลับไม่ทันการณ์

 

…………………

 

 

เมื่อกลับมาถึงหอหมาสมบัติ เย่หยวนก็ขอยืมสมุนไพรจำนวนมากและผลึกปราณเทวะจากผู้จัดการซูไป พร้อมปลีกวิเวกเก็บตัวอยู่ในห้องทันที

สี่สิบวันที่ได้ ยามนี้เสียไปแล้วสี่วัน เขายังมีเวลาเหลือสามสิบวัน หรือก็คือหนึ่งปีในโลกของศิลาจารึกบัลลังก์พิภพ

ซึ่งในหนึ่งปีนี้ ไม่เพียงต้องฝึกปรือหลอมกลั่นโอสถให้ได้ขั้นเทวะเท่านั้น แต่เขายังต้องหลอมกลั่นโอสถล้างพิษหนึ่งดาวขั้นเทวะให้สำเร็จ!

งานนี้ยากเข็ญเสียยิ่งกว่าตอนที่เขาฝึกปรือหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะเสียด้วยซ้ำ

แม้ความเข้าใจของเย่หยวนต่อค่ายกลปราณเทวะชั้นต้นจะค่อนข้างลึกล้ำมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ปรารถนาที่จะหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะขั้นเทวะ นี่ยังคงขาดตกอยู่มาก

เพราะแม้แต่ตอนนี้เขาก็ยังไม่สามารถหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะขั้นสวรรค์ได้เลย!

 

“ค่ายกลปราณเทวะชั้นต้นเป็นรากฐานสำคัญสำหรับหลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งทั้งหมด หากมิอาจวฝึกปรือจนสำเร็จเชี่ยวชาญ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้ค่ายกลหลอมกลั่นชนิดอื่นๆให้คล่องแคล่วและมีประสิทธิภาพพอ!”

หวูเฉินกล่าว

 

“ผู้อาวุโสโปรดมั่นใจ ข้ายอมทราบดีว่าอะไรเป็นอะไร เรื่องรีบร้อนเก็บเกี่ยวผลลัพธ์แบบนั้น มันหาใช่นิสัยของผู้เยาว์ไม่”

เย่หยวนกล่าว

 

“ถึงแม้พรสวรรค์ของเจ้าจะไม่ธรรมดา แต่การจะหลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ให้ได้ขั้นเทวะภายในหนึ่งปี นี่ยังคงเป็นเรื่องยากมาก! ดังนั้นเจ้าจะต้องเตรียมใจให้พร้อม!”

 

“ข้าเตรียมใจพร้อมอยู่เสมอ! และข้าจักต้องทำสำเร็จแน่นอน!”

เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมสายตาอันมุ่งมั้ง

 

หวูเฉินจับตามองเย่หยวนแต่มิได้กล่าวอันใดตอบ

เขาค้นพบแล้วว่า เย่หยวนเป็นพวกที่แข็งแกร่งขึ้นก็ต่อเมื่อเผชิญพบกับปัญหาที่แข็งแกร่งกว่า

ยิ่งตกอยู่ในสถานการณ์กดดันยากลำบากมากเท่าไหร่ ความมุ่งมั่นของเขาก็ยิ่งขยายตัวขึ้นเป็นหลายทวีเท่า

ใช้ความสงบเข้าสยบทุกอุปสรรค!

นี่คือความรู้สึกที่เย่หยวนมอบให้แก่หวูเฉิน

 

ไม่ว่าหนทางเบื้องหน้าจะดูท่าสิ้นหวังเพียงใด แต่หวูเฉินก็ไม่เคยเห็นเย่หยวนหัวเสียขุ่นเคืองแม้สักครั้ง

หวูเฉินเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องยอมรับตามตรง บุคคลที่มีจิตใจมั่นคงขนาดนี้หาได้ยากมาก

บางทีที่เย่หยวนมาได้ถึงขนาดนี้ อาจเป็นเพราะความมุ่งมั่นของเขาเองล้วนๆ

 

 

สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับเลยก็คือ เย่หยวนที่เข้าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้าในตอนนั้น ได้ช่วยประหยัดเวลาไปมากโข

โดยปกติ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำความเข้าใจต่อสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ชนิดต่างๆได้อย่างลึกซึ้งภายในเวลาอันสั้นขนาดนี้

ผนวกกับการหลอมกลั่นนับครั้งไม่ถ้วนก่อนหน้า จึงทำให้ความเข้าใจของเย่หยวนต่อสมุนไพรเหล่านี้ก้าวล้ำไปเกินแปดจากสิบส่วนเต็มแล้ว!

 

เนื่องด้วยความคล่องมือและความเข้าใจต่อค่ายกลปราณเทวะชั้นต้นที่เพิ่มทวีขึ้นตามลำดับ คุณภาพโอสถปราณเทวะที่เย่หยวนหลอมกลั่นได้ก็สูงขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน

หนึ่งเดือดต่อมา ในที่สุดเย่หยวนก็หลอมกลั่นโอสถปราณเทวะขั้นสวรรค์ได้เป็นผลสำเร็จ!

 

ยามนี้ถึงคราวฝึกปรือจริงจัง เป้าหมายต่อไปคือ โอสถปราณเทวะขั้นเทวะ!