ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 130 เริ่มสอบการสอบความรู้

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

หนุ่มน้อยผู้นั้นผอมโกร่ง ทว่ามิได้ผอมไร้เรี่ยวแรง ภายใต้เสื้อผ้าที่เบาบาง ประหนึ่งมีพละกำลังจำนวนมากซุกซ่อนอยู่

เขาหรี่ตา จ้องมองแสงอาทิตย์ที่กำลังจะขึ้นทางทิศตะวันออก หวังจะไปให้ถึงและรู้สึกหวาดกลัว ทว่าไม่กล้าเข้าใกล้ ด้วยเหตุนี้จึงพยายามเมินเฉยสุดชีวิต ก็เหมือนกับอากัปกิริยาของเฉินฉางเซิงที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน

พระอาทิตย์ยามอรุณค่อยๆ โผล่ขึ้นมาพ้นขอบฟ้าและชั้นเมฆเบาบาง ในที่สุดก็ปรากฏอยู่ด้านหน้าสายตาผู้คนทั้งหมด

ทุกคนยังคงจ้องมองเฉินฉางเซิง คำวิจารณ์เซ็งแซ่

ได้ยินว่าเขาชำระล้างกระดูกไม่สำเร็จ แล้วอาศัยสิ่งใดที่จะเอาอันดับแรกประกาศแรกในการสอบใหญ่เล่า

โก่วหานสือขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่าเฉินฉางเซิงวันนี้กับเฉินฉางเซิงที่อยู่บนทางเดินวันนั้นมีบางอย่างที่ไม่เหมือนกัน ทว่ากลับมองไม่ออกว่ามีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง

เหมาชิวอวี่เป็นธรรมดาที่จะไม่เข้าแถวกับนักบวชธรรมดาเหล่านั้น ทว่านั่งอยู่บนที่นั่งแท่นรับชมในพระราชวังหลี เขามองเฉินฉางเซิงที่อยู่ไกลออกไป เกิดความคิดผิดแผกเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าจะชำระล้างกระดูกสำเร็จ แต่เหตุใดถึงรู้สึกแปลกประหลาดเล่า

เฉินฉางเซิงอยากจะถามถังซานสือลิ่วว่ารู้จักหนุ่มน้อยที่โดดเดี่ยวในขบวนของสำนักเด็ดดาราหรือไม่ พอดีว่าอาจารย์ซินได้เดินเข้ามา

“จะต้องชนะให้ได้นะ” อาจารย์ซินตบไหล่เขา กล่าวด้วยคำพูดที่หนักแน่นและมีความหมายลึกซึ้ง

เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจ หลายวันก่อนอาจารย์ซินไปสำนักฝึกหลวงติดต่อกันหลายครั้ง ล้วนแต่มิได้เอ่ยประโยคเช่นนี้ เพียงแค่อยากจะขจัดแรงกดดันออกไปจากเขาให้สิ้น แล้วเพราะเหตุใดก่อนการสอบใหญ่ เขากลับกล่าวเช่นนี้ออกมาเล่า

“ข้านำทรัพย์สินที่มีทั้งหมดพนันว่าจะชนะแล้ว” อาจารย์ซินจ้องมองเขาพลางเอ่ยต่อ “ถ้าหากวันนี้เจ้าไม่สามารถเอาอันดับแรกประกาศแรกได้ พรุ่งนี้จำไว้ว่าไปเก็บศพข้าที่แม่น้ำลั่ว”

ภายใต้สถานการณ์ขณะนี้ หากเฉินฉางเซิงไม่อาจเอาอันดับแรกได้ ไม่ใช่สำนักฝึกหลวงที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด แต่ว่าเป็นสำนักการศึกษากลางที่อยู่เบื้องหลังสำนักฝึกหลวง สำนักการศึกษากลางถ้าไม่อาจค้ำยันต่อไปได้ อาจารย์ซินคงหมดหนทางในอนาคตเป็นธรรมดา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจึงใช้ทรัพย์สินที่มีทั้งหมดพนันว่าเฉินฉางเซิงจะชนะ เป็นเรื่องที่มีเหตุผลอย่างยิ่ง

เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าควรจะกล่าวสิ่งใด ถังซานสือลิ่วจึงเอ่ยขึ้นมา “มิน่าเล่าอัตราของเมื่อคืนผันแปรอย่างยิ่ง”

กิจกรรมทางด้านการเงินทองของตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยแต่ไหนแต่ไรมิยินยอมอยู่ข้างหลังผู้อื่น ถึงแม้จะกล่าวว่ามิได้ใส่ใจเงินทองเล็กๆ น้อยๆ ในการพนันการสอบใหญ่ครั้งนี้ ทว่ายังคงจับจ้องอย่างเหนียวแน่น

อาจารย์ซินเอ่ยตอบ “ถ้าหากเพียงแค่ทรัพย์สินเล็กน้อยของข้าจะกระทบต่ออัตราจำนวนมากได้อย่างไรเล่า”

พวกเขามองไปยังแท่นรับชมของพระราชวังหลี ทอดสายตามองผู้สนับสนุนที่ใหญ่ที่สุดของสำนักฝึกหลวง

อยู่ที่นั่น ใต้เท้ามุขนายกเหมยหลี่ซาหรี่ดวงตาเล็กน้อย เดิมทีมองไม่ออกว่ากำลังหลับหรือว่าตื่น ไร้ผู้คนล่วงรู้ว่าเขานำเงินวางเดิมพันอยู่บนตัวเฉินฉางเซิงเท่าไหร่

ไร้ผู้คนล่วงรู้เช่นเดียวกัน ม่ออวี่ที่นั่งอยู่ข้างเขา ได้นำเงินเดิมพันอยู่บนตัวของเฉินฉางเซิงมากเท่าไหร่

ถูกต้องแล้ว แม่นางม่ออวี่คิดว่าเฉินฉางเซิงสามารถเอาอันดับแรกได้ ถึงแม้จะไม่มีเหตุผลใดๆ แต่ที่แปลกประหลาดก็คือนางรู้สึกว่าเขาทำได้

การสอบใหญ่แบ่งเป็นสอบความรู้ สอบประลองยุทธ์ และการต่อสู้ รวมทั้งหมดสามสนาม มิได้มีลำดับก่อนหลัง ทุกปีก็ตัดสินใจกันในขณะนั้น การสอบใหญ่ปีนี้อันดับแรกก็คือการสอบความรู้ หลังจากข้อบังคับได้ออกมาเมื่อห้าวันก่อน มีคนจำนวนมากคิดว่านี่เป็นเพราะสำนักการศึกษากลางดูแลสำนักฝึกหลวง หรือจะกล่าวให้ถูกต้องก็คือดูแลเฉินฉางเซิง

การสอบความรู้ได้จัดที่ตำหนักประจักษ์อักษรในพระราชวังหลี ก่อนที่จะเริ่มขึ้นมีเวลาเล็กน้อย อาจารย์ซินกดเสียงให้ต่ำลง คว้าเวลาเหล่านี้แนะนำคู่ต่อสู้ที่เข้าแข่งขันในสนามให้กับคนหนุ่มทั้งสามรู้ ถึงแม้หลายวันก่อนเขาได้ส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องส่งไปยังสำนักฝึกหลวง แต่มีเพียงเวลานี้เท่านั้นที่จะนำชื่อกับคนมาจับคู่ด้วยกันได้

ได้ยินการแนะนำ ท่าทางของถังซานสือลิ่วเปลี่ยนเป็นยิ่งนานยิ่งเยือกเย็นเคร่งครัด เฉินฉางเซิงยังคงเงียบนิ่ง ปีนี้คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งเข้าร่วมการสอบใหญ่มีมากเหลือเกิน ยังมีผู้มีฝีมือใช้ฐานะอื่นในการสมัคร หรือว่าอาจจะกำลังอำพรางตัวอยู่ในสำนักไหนสักแห่ง บุคคลเหล่านี้ขณะนี้ต่างก็นำสำนักฝึกหลวงกับเฉินฉางเซิงมาเป็นเป้าหมาย พวกเขาได้รับแรงกดดันที่จินตนาการรับรู้ได้

เวลานี้เอง กลุ่มฝูงชนเกิดความวุ่นวาย มีคนจำนวนมากเขย่งเท้ามองไกลออกไป เฉินฉางเซิงกับคนอื่นจึงหันหลังกลับไป เห็นเพียงแค่รถลากคันหนึ่งที่ออกมาจากด้านในของพระราชวังหลี ค่อยๆ เคลื่อนออกมาจากบนหนทางยาวเหยียด หญิงรับใช้สิบกว่าคนติดตามอยู่ด้านข้างรถลาก โดยมีนางกำนัลหลี่เดินอยู่ด้านหน้าสุดของรถลาก

ภายใต้การจับจ้องของสายตาผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน รถลากคันนั้นผ่านเสาหินมายังสนาม จอดอยู่ตรงตำแหน่งของสำนักฝึกหลวง

ลั่วลั่วลงมาจากรถลาก ทำความเคารพเฉินฉางเซิง “คารวะอาจารย์”

กลุ่มฝูงชนทั่วทั้งผืนฮือฮาขึ้น พวกนักเรียนที่เตรียมเข้าร่วมการสอบใหญ่ก็วุ่นวายขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เพิ่งจะมายังจิงตู เพียงแค่ได้ยินเรื่องเล่าขานเหล่านั้น จนกระทั่งเวลานี้ถึงรู้ว่าเรื่องเล่าขานเหล่านั้นเป็นเรื่องจริง องค์หญิงลั่วลั่วคิดไม่ถึงจะคารวะหนุ่มน้อยที่นามว่าเฉินฉางเซิงเป็นอาจารย์จริงๆ!

หนุ่มน้อยผู้นั้นในเมื่อเป็นอาจารย์ขององค์หญิงลั่วลั่วจะต้องมีความรู้ความสามารถจริงๆ มีคนจำนวนมากที่คิดเช่นนี้ แต่ว่าจะเอาอันดับแรกประกาศแรกรึ เห็นทียังคงเป็นเรื่องที่ไม่อาจเป็นไปได้

นักเรียหนอนหนังสือไม่กี่คนของสำนักต้นไหวมองไปยังทิศทางของสำนักฝึกหลวง ท่าทางเมินเฉย

สายตาของจวงห้วนอวี่ทอดมองไปยังด้านหน้า ราวกับว่ามิได้พินิจพิเคราะห์สิ่งใด ทว่าแขนเสื้อกลับสั่นเทาเล็กน้อย

โก่วหานสือกับคนอื่นที่อยู่ด้านหน้าสำนักฝึกหลวง ทำความเคารพลั่วลั่ว

เฉินฉางเซิงเตือนลั่วลั่ว นางจึงหันหลังกลับไป พยักหน้าเล็กน้อย เพื่อเป็นการทำความเคารพกลับ

“เจ้ามาช่วยเสริมให้กับพวกเราหรือ แล้วใต้เท้าสังฆราชเห็นด้วยแล้วหรือ” เฉินฉางเซิงมองนางถามด้วยความเป็นห่วง

“อาจารย์ ข้าเป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวง แน่นอนว่าจะเป็นตัวแทนของสำนักฝึกหลวงเข้าร่วมการสอบใหญ่”

ลั่วลั่วครุ่นคิด จึงเอ่ยเสริมว่า “ใต้เท้าสังฆราชเห็นด้วยแล้ว”

เมื่อทั้งสองสนทนาต่อกัน มิได้ตั้งใจให้เสียงเบาลง เสียงไพเราะของลั่วลั่วพัดโชยไปตามสนามของพระราชวังหลี ดังเข้าไปในโสตประสาทของทุกคน

ในสนามทั่วทั้งผืนเสียงดังอื้ออึงขึ้นมา!

จวงห้วนอวี่มิอาจทนได้อีกต่อไป หันกายเดินจากไป

คนหนุ่มหนอนหนังสือของสำนักต้นไหวขมวดคิ้วเล็กน้อย คล้ายกับว่าไม่ยินดี

คนที่เตรียมตัวจะเข้าร่วมการสอบใหญ่ถูกข่าวคราวนี้ทำให้สั่นคลอน แล้วจะยอมรับได้อย่างไรกันเล่า

มีเพียงแค่โก่วหานสือกับลูกศิษย์ทั้งสี่ของพรรคกระบี่หลีซานที่ท่าทางยังคงสงบนิ่งดังเช่นก่อนหน้า มิได้มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด

มีผู้คนจำนวนมากงุนงง หรืออาจจะไม่พึงพอใจ แต่มีคนที่กล้าเอ่ยถึงความแปลกใจนี้เป็นคนแรก ก็คือคนที่ชอบเอ่ยถึงข้อระเบียบของสำนักจวนราชวังหลีที่สุด เป็นซูม่ออวี๋ที่พูดน้อยคนนั้น “ถ้าหากองค์หญิงเข้าร่วมการแข่งขัน แล้วจะแข่งขันอย่างไรเล่า”

มุขนายกลืมตาขึ้น กระชับเสื้อคลุมในสายลมที่เหน็บหนาว เอ่ยอย่างมิได้ใส่ใจ “องค์หญิงเพียงแค่เข้าร่วม มิได้นับการจัดอันดับ”

กลุ่มฝูงชนได้ยินประโยคนี้พลันตะลึงงัน เวลานี้ถึงเข้าใจ ถ้าหากองค์หญิงลั่วลั่วยังใช้ฐานะนักเรียนของสำนักฝึกหลวงเข้าร่วมการสอบใหญ่ พวกเขาเหล่านี้จนถึงสำนักและพรรคของพวกเขา เดิมก็ไม่มีเหตุผลใดๆ มาขัดขวาง เวลานี้ได้รู้ว่าองค์หญิงหมดสิทธิ์ในสามอันดับแรก แล้วยังจะเอ่ยสิ่งใดได้อีกเล่า

ไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใด เวลาที่ค่อยๆ หมุนผ่านไป มีเสียงระฆังดังกังวานมาจากส่วนลึกที่สุดของพระราชวังหลี การสอบใหญ่ได้เริ่มอย่างเป็นทางการแล้ว

คนหนุ่มสาวจำนวนหลายร้อยคนยืนอยู่ด้านหน้าตำหนักประจักษ์อักษร แสงอาทิตย์ทาบทับใบหน้าพวกเขา

ทุกสำนัก ผู้อาวุโสของพรรคต่างๆ ทยอยออกไปแล้ว เหลือเพียงแค่พวกเขาที่บนใบหน้าต่างเห็นคำว่าตื่นเต้นสองคำนี้ชัดเจนยิ่งนัก

ทางด้านสำนักฝึกหลวง มีเพียงแค่เซวียนหยวนผ้อที่ตื่นเต้นอย่างยิ่ง เมื่อครั้งแรกเริ่มสอบเข้าสำนักเด็ดดารา เขาได้เปิดเผยจุดอ่อนของตนออกมา ถึงแม้ว่าในไม่กี่เดือนที่อยู่สำนักฝึกหลวงจะถูกเฉินฉางเซิงพาศึกษาตำราเป็นจำนวนไม่น้อยเลย เมื่อคิดว่าจะต้องเผชิญหน้ากับตัวอักษรสีดำละลานตา เขารู้สึกว่าหายใจหายคอไม่คล่อง

“เวลาสำคัญที่สุด สามารถตอบได้ก็ตอบ ตอบไม่ได้ก็ไม่ต้องตอบ ข้ามผ่านเสีย” ถังซานสือลิ่วเอ่ยกับเขา “การสอบทั้งสามสนามต่อเนื่องกัน หลังจากการสอบความรู้ก็จะเป็นการประลองยุทธ์ทันที ถึงแม้คะแนนสอบความรู้จะดีอย่างไร หากไม่สามารถผ่านด่านการประลองยุทธ์ก็ไม่สามารถเข้าสู่สนามการต่อสู้ได้ สุดท้ายแล้วก็เท่ากับไม่มีคะแนนใดๆ ทั้งสิ้น”

เซวียนหยวนผ้อพยักหน้าหงึกหงัก ในใจครุ่นคิดก็คงทำได้เพียงแค่นี้ เฉินฉางเซิงทราบดีว่าถังซานสือลิ่วก็ได้เตือนตนด้วย ไม่ต้องเสียเวลากับการสอบความรู้มากเกินไป เขาจะสามารถสอบผ่านการประลองยุทธ์ได้หรือไม่ เป็นเรื่องคุ้มค่าที่จะกังวลใจ ส่วนคะแนนการสอบความรู้ มิได้มีคนกังวล มองสายตาของผู้คนที่อยู่ด้านหน้าตำหนักประจักษ์อักษรก็รู้แล้ว

มีคนจำนวนมากที่เวลานี้ก็ยังคงจับจ้องที่เฉินฉางเซิง เพียงแค่ว่าไม่เหมือนเมื่อก่อนหรือว่าก่อนหน้านี้ สายตามิได้มีความสงสัยหรือว่าหัวเราะเยาะ มีเพียงแค่ความอิจฉาริษยากับความเลื่อมใสที่สลับซับซ้อนเลือนราง

ผ่านพ้นการต่อสู้ระหว่างสำนักฝึกหลวงกับพรรคกระบี่หลีซานในการชุมนุมไม้เลื้อย ยังมีการเปลี่ยนอันดับของการประกาศชิงอวิ๋นที่เครื่องพิสูจน์ จึงไม่มีผู้ใดสงสัยความสามารถทางด้านความรู้ของเฉินฉางเซิง ผู้คนค้นพบด้วยความตกตะลึง หลังจากโก่วหานสือคนหนุ่มรุ่นสุดท้ายแล้วก็ปรากฏคนประหลาดที่แตกฉานในคัมภีร์เต๋าอีกหนึ่งคน

ไม่มีผู้ใดเชื่อว่าเฉินฉางเซิงสามารถเอาอันดับแรกได้ แต่ทุกคนต่างยอมรับว่าในขั้นตอนการสอบความรู้เขาจะต้องมีความสามารถที่จะต่อสู้กับโก่วหานสือเอาอันดับที่ดีที่สุดได้เป็นแน่ อัตราการพนันทางด้านการสอบความรู้ทั่วทั้งดินแดนต้าลู่ก็ได้พิสูจน์ทางด้านนี้ ลำดับคะแนนของเขาตอนนี้อยู่อันดับหลังจากโก่วหานสือ อยู่ในตำแหน่งที่สอง

เสียงระฆังดังเป็นครั้งที่สอง นักเรียนที่จะเข้าร่วมการแข่งขันเข้าในสนาม

ตำหนักประจักษ์อักษรกว้างใหญ่อย่างยิ่ง ประตูหลายสิบบานเปิดออกพร้อมกัน ภายใต้สายตาที่สังเกตประหนึ่งเหยี่ยวของนักบวชนิกายหลวงกับขุนนางกรมอาญา มีคนหนุ่มหลายร้อยคนประหนึ่งปลาที่แหวกว่ายเข้ามา ไม่รู้ว่าหลังจากนี้เพียงชั่วครู่ผู้ใดจะกลายเป็นมังกร ไม่รู้ว่าผู้ใดจะเดินเข้าไปอยู่ในคันเบ็ดของต้าโจว และไม่รู้ว่าใครจะเป็นผู้ที่น่าเวทนาสงสารถูกเหยี่ยวคาบไปจากในน้ำ

ความเงียบได้เริ่มขึ้น ภายในตำหนักประจักษ์อักษรนำม่านลงไปถึงระเบียงเพื่อบังลม มีเพียงแค่แสงสว่างที่เล็ดลอดเข้าไปได้ เสียงของลมฝนกับเสียงจอแจก็ไม่อาจผ่านทะลุไปได้

พื้นในตำหนักกว้างขวางใหญ่โต มีโต๊ะหลายร้อยตัววางไว้แต่ว่ามิได้รู้สึกว่าเบียดเสียดกัน กลับรู้สึกกว้างขวางปลอดโปร่งเย็นสบาย ระหว่างโต๊ะแต่ละตัวก็ห่างกันอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าหลังจากชำระล้างกระดูกสายตาจะดีเพียงใดก็ยากที่จะไม่ให้เกิดเสียงเมื่อแอบมองคำตอบของโต๊ะข้างๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าในระหว่างการสอบมีนักบวชที่ผ่านระดับขั้นทะลวงอเวจีอย่างน้อยยี่สิบกว่าคนตรวจสอบมิหยุดหย่อน

นักบวชแจกข้อสอบ พวกนักเรียนจึงเริ่มเปิดข้อสอบออก เสียงกระดาษดังพึ่บพั่บ รวมเข้าด้วยกัน ประดุจฝนตกห่าใหญ่

มีคนที่ไม่ได้เปิดข้อสอบออกอ่านก็เริ่มฝนหมึกด้วยจิตใจที่สงบ ดังเช่นเทียนไห่เซิ่งเสวี่ย

มีคนที่เหม่อลอยด้วยความเบื่อหน่าย ดังเช่นลั่วลั่ว ถึงแม้คะแนนของนางจะไม่นับ เป็นธรรมดาที่จะเกียจคร้านสิ้นเปลืองพลังทำข้อสอบเหล่านั้น เวลาผ่านไปไม่นาน มีนักบวชท่านหนึ่งเดินมายังด้านหน้าโต๊ะของนาง ทำความเคารพด้วยความนอบน้อม เอ่ยเสียงเบาสองสามประโยค หลังจากนั้นนางก็ยืดตัวลุกขึ้น เดินตามนักบวชผู้นั้นไป คงจะไปยังตำหนักด้านข้างเพื่อพักผ่อน

มีคนที่หลับตาเริ่มทำสมาธิ ดังเช่นเฉินฉางเซิงที่แอบให้ความสนใจหนุ่มน้อยที่ใส่ชุดผืนเดียวมาตลอด

มีบางคนที่อยากจะทำสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้น อยากจะเปิดข้อสอบออกมาอ่านก็อ่าน อยากจะฝนหมึกก็ฝนหมึก อยากจะมองคนที่ตนสนใจก็มอง อยากจะหลับตาทำสมาธิก็ทำ รู้สึกว่ากระหายก็ยกมือขอน้ำชาจากอาจารย์ฝึกสอน รู้สึกง่วงนอนก็ขยี้ตา ราวกับว่าวันนี้เป็นวันที่ปกติธรรมดาวันหนึ่ง ดังเช่นเฉินฉางเซิงกับโก่วหานสือคิด

มิได้พยายามสงบนิ่งแต่เป็นการสงบนิ่งจริงๆ ถึงจะหมายความว่าเชื่อมั่นในตนเอง

เสียงระฆังครั้งที่สามดังขึ้น นักเรียนเข้าสอบเริ่มขยับพู่กัน

เฉินฉางเซิงยกพู่กันขึ้น มิได้จรดลงข้อสอบ มองตัวอักษรสีดำบนข้อสอบ เงียบนิ่งเป็นเวลานาน

จากวัดเก่าซีหนิงมายังเมืองจิงตูที่รุ่งโรจน์ จากหนุ่มน้อยนักพรตเต๋าที่ไร้คนรู้จักมาจนกระทั่งเป็นที่จับจ้อง เขาใช้เวลาเพียงแค่สิบเดือน

เขาเริ่มจรดพู่กันลงบนข้อสอบ

ไม่ไกลออกไป โก่วหานสือก็เริ่มตอบคำถามแล้ว